เล่ห์กลจักรพรรดิ ตอนที่ 7

[บทที่ 7 หอหร่านเยว่] ตกลงสืบข่าวมาได้หรือไม่
สำนักพิมพ์โรส

[บทที่ 7 หอหร่านเยว่]
ตกลงสืบข่าวมาได้หรือไม่

เจียงหนาน มีฝนตกติดต่อกันไม่หยุด วันนี้กลับเห็นท้องฟ้าปลอด-โปร่งสดใสอย่างหาได้ยากยิ่ง เยี่ยจิ่นเพิ่งจะตากสมุนไพรเสร็จ ยังไม่ทันได้พักผ่อนดื่มชาสักอึกก็เห็นผู้ดูแลโรงทานในเมืองวิ่งเหยาะ ๆ เข้ามา คล้ายว่ามีเรื่องด่วนอะไรสักอย่างเกิดขึ้น
“เกิดอะไรขึ้น” เยี่ยจิ่นลุกขึ้นยืน
“ท่านหมอเทวดาเยี่ย ท่านรีบไปดูเร็วเข้าเถอะขอรับ” ผู้ดูแลทั้งปวดหัวทั้งกลืนไม่เข้าคายไม่ออก “ตบตีกันในโรงทานครั้งนี้ไม่จบไม่สิ้นสักที จะจับแยกก็แยกไม่ได้”
พวกผู้เฒ่าผู้แก่ชกต่อยกันหรือเนี่ย พอเยี่ยจิ่นได้ยินก็รู้สึกประหลาดใจ เมื่อถามให้ละเอียดถึงได้รู้ว่า ที่แท้แล้วไม่กี่วันมานี้ไป๋ไหลไฉไม่ทราบไม่พอใจอะไร เที่ยวหาเรื่องคนอื่นเขาไปทั่ว แล้วยังไปปล่อยเบากลางโรงอาหารอีกต่างหาก ดังนั้นทุกคนจึงรวมตัวกันทุบตีเขาหนึ่งยก

เยี่ยจิ่นรู้สึกปวดเศียรเวียนเกล้าเป็นที่สุด

เวลาผ่านไปชั่วหนึ่งก้านธูป ไป๋ไหลไฉนั่งร่ำไห้บ่นรำพึงรำพันอยู่บนเก้าอี้ศีรษะโพกไว้ด้วยผ้าพันแผล
เยี่ยจิ่นช่วยทำแผลให้เขาจนเสร็จ พอมองไปยังผู้ดูแลที่ยืนทำหน้าลำบากใจอยู่ตรงประตูแล้วก็ต้องถอนหายใจออกมาจากก้นบึ้ง “เอาเถอะต่อไปก็มาอาศัยอยู่กับข้าก็แล้วกัน”
ไป๋ไหลไฉยิ้มร่าขึ้นมาทันที
ผู้ดูแลรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก เขารีบสั่งให้เด็กหนุ่มสองสามคนมาช่วยเยี่ยจิ่นทำความสะอาดห้องรับรองแขกจนเอี่ยมอ่อง ทั้งยังเพิ่มผ้าปูที่นอนใหม่ให้ด้วย

เป็นเพราะเมื่อครู่มีลมพัดโหมมาลูกหนึ่ง ประกอบกับฝนที่ตกลงมาทำให้สมุนไพรที่ตากไว้ในลานบ้านก่อนหน้านี้เปียกชื้นไปกว่าครึ่ง แถมยังถูกลมพัดจนปลิวว่อนไปทั่ว เยี่ยจิ่นกวาดลานบ้านอย่างลวก ๆ ทั้งยังไม่กินอาหารค่ำแต่ตรงกลับไปพักผ่อนที่ห้องเลย ฝ่ายไป๋ไหลไฉกลับเจริญอาหารเป็นอย่างยิ่ง ไม่เพียงต้มบะหมี่ให้ตัวเอง แต่ยังผัดเนื้อตากแห้งชามใหญ่มากินอีกด้วย
เช้าวันถัดมา ตอนที่เยี่ยจิ่นตื่นขึ้นก็มีสมุนไพรที่เพิ่งเก็บมาใหม่ ๆวางอยู่เต็มโต๊ะ มีแม้กระทั่งดอกไม้แดงที่โตอยู่บนหน้าผานั่นด้วย
ไป๋ไหลไฉเดินโงนเงนเข้ามาพร้อมถือซาลาเปาสองสามลูกในมือ
“พวกนี้มาจากไหน” เยี่ยจิ่นถาม
ไป๋ไหลไฉทำหน้างุนงง “หา?”

เยี่ยจิ่นจ้องตาเขาอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็หยิบกระจาดมากวาดสมุนไพรใส่ลงไป
ไป๋ไหลไฉ “…”
เยี่ยจิ่นหมุนกายกลับเข้าห้องนอน
ไป๋ไหลไฉลูบคาง หน้าตาดูหมดจดสุภาพเรียบร้อย แต่ขี้โมโหเสียเหลือเกิน
ถึงจะรู้แล้วว่าตาเฒ่าผู้นี้น่าจะมีที่มาที่ไปไม่ธรรมดา แต่ตัวเยี่ยจิ่นนั้นไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกับใครในยุทธภพ ดังนั้นจึงไม่น่าจะมีคนตามมาล้างแค้น ทั้งยังคร้านจะซักไซ้ไล่เลียงอะไรด้วย ทุกวันจึงเก็บสมุนไพรตากสมุนไพรไปตามปกติวิสัย ไป๋ไหลไฉนั่งยองมองดูอยู่ข้าง ๆ ด้วยความสงสัยใคร่รู้ พลางเอ่ยปากคุยไปเรื่อยเปื่อย “วันนี้ข้าไปเดินเล่น ได้ยินคนพูดกันว่าฝ่าบาทจะเสด็จมาที่นี่”
เยี่ยจิ่นชะงักมือ “มาก็มาสิ หรือว่าท่านอยากจะไปหมอบกราบต้อนรับ”
ไป๋ไหลไฉล้วงกระเป๋าหยิบเมล็ดแตงโมออกมาแทะ
เยี่ยจิ่นถือตะแกรงใบเล็กมาคัดแยกสมุนไพรต่อ ดูคล้ายกับไม่ใส่ใจเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย

ฉู่เยวียนขึ้นครองราชย์ตอนอายุสิบแปด ต่อให้มีตระกูลเสิ่นคอยหนุนหลังก็ตามที แต่ในสายตาของคนจวนสกุลหลิวนั้นก็เป็นแค่เด็กน้อยที่ปีกยังไม่กล้าขายังไม่แข็งที่ดึงเอาพรรคขนาดใหญ่สักหน่อยในยุทธภพมาเป็นพวกก็เท่านั้น เป็นธรรมดาที่พวกนั้นจะไม่เห็นเขาอยู่ในสายตา ยิ่งไปกว่านั้นหลิวกงยังส่งคนไปคอยสอดแนมในวังหลวงอยู่เป็นจำนวนไม่น้อย กระทั่งเรื่องที่ว่าวันนี้ห้องเครื่องทำอาหารอะไรบ้างก็ยังส่งข่าวกลับไปยังจวนสกุลหลิวในทันที แต่กับเรื่องการเสด็จฯลงใต้อย่างกะทันหันครั้งนี้กลับไม่มีแม้แต่ข่าวลือให้รายงานกันล่วงหน้าเลยด้วยซ้ำ
“ท่านพ่อคิดยังไงกับเรื่องนี้หรือขอรับ” หลิวฟู่เต๋อลองถามอย่างระมัดระวัง
“คิดยังไงอะไร” หลิวกงยังคงหลับตานิ่ง มือคลึงลูกเหอเถา[1] เล่น
หลิวฟู่เต๋อกล่าวเป็นนัย “ตอนนี้ในวังหลวงว่างเปล่าอยู่นะขอรับ”
“คนเราไม่ควรหุนหันพลันแล่น” หลิวกงเอ่ย “จวนสกุลหลิวอำนาจล้นฟ้า เจ้าจะทำอะไรก็ต้องคิดให้รอบคอบเสียก่อน”
“เรื่องนี้ลูกย่อมเข้าใจดี แต่อำนาจล้นฟ้านี้เกรงว่าจะยังคงอยู่ต่อไปได้อีกไม่กี่ปีนะขอรับ” หลิวฟู่เต๋อตอบ “กระทั่งท่านพ่อก็ยังพูดเองเลยว่าผู้ที่นั่งอยู่กลางตำหนักจินหลวนเตี้ยน[2]ท่านนั้นอุปนิสัยและแนวทางแตกต่างจากอดีตจักรพรรดิ ถ้าหากท่านพ่อยังไม่ลงมืออีกละก็ เกรงว่าจุดจบที่ท่านพี่เผชิญไปก่อนหน้านี้จะเป็นจุดจบในอนาคตของจวนสกุลหลิวแน่แล้ว”
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าคิดจะทำอะไร” หลิวกงถามกลับ
หลิวฟู่เต๋อลังเลไม่กล้าพูด
หลิวกงส่ายหน้าแล้วหลับตาลงอีกครั้ง “ออกไปเถอะ”
หลิวฟู่เต๋อลอบถอนหายใจหนัก ๆ จากนั้นก็ลุกเดินออกไป เพราะอารมณ์หงุดหงิดฉุนเฉียวจึงจะออกจากจวนไปหาความหรรษา คนหามเกี้ยวรู้ว่าช่วงนี้เขาชอบฟังเพลง ดังนั้นจึงหามเขาตรงไปยังหอหร่านเยว่โดยไม่ต้องถามแม้สักคำ

ต้วนเหยา “…”
กล้ามาจริง ๆ ด้วย
“ทำหน้าทำตาแบบนี้ใครจะกล้าเลือกเจ้า” ต้วนไป๋เยว่นั่งดื่มชาอยู่บนเก้าอี้แปดเซียน[3]
ต้วนเหยากัดฟันกรอด “ถ้างั้นท่านก็มาทำเองสิ” ตัวสูงใหญ่บึกบึนแบบนั้น คิดดูแล้วใคร ๆ ก็ต้องอยากได้
ต้วนไป๋เยว่เตือนความจำ “เคล็ดวิชาโพธิจิต”
“ฮึ!” ต้วนเหยาส่งเสียงเย็นชา รั้งกระโปรงขึ้นแล้วเดินออกจากห้องรับแขกไป
หลิวฟู่เต๋อกำลังเดินขึ้นบันได
ต้วนเหยายื่นผ้าเช็ดหน้าออกมา พลางแย้มยิ้มราวบุปผา
“ไป ๆ ๆ” ผู้ติดตามทำสีหน้ารังเกียจเดียดฉันท์แล้วทิ้งเศษเงินให้เขา “ผอมแห้งเป็นไม้เสียบผีแบบนี้ยังจะกล้าออกมาเสนอหน้าอีก อย่าได้มารบกวนนายน้อยบ้านข้าให้ต้องเสียอารมณ์นะ”
ในห้อง ต้วนไป๋เยว่ยันตัวหัวเราะกับผนัง
ต้วนเหยาเบิกตาโต
“เสี่ยวหงจ๋า…” หลิวฟู่เต๋ออดใจรอไม่ไหว ผลักประตูห้องเปิดออกแล้วรีบไปหาคู่ขาเก่า
ต้วนเหยายกเท้าถีบเปิดประตู แล้วนั่งลงบนเก้าอี้ด้วยความฉุนเฉียว“ข้าเชือดเจ้านั่นทิ้งได้ไหม”
ต้วนไป๋เยว่กลั้นยิ้มอย่างยากลำบาก “เรื่องสำเร็จเมื่อไหร่ก็เชือดได้ตามสบาย”
“งั้นตอนนี้จะทำยังไงดี” ต้วนเหยาถาม ท่านก็เห็นแล้วนี่ ไม่ใช่ว่าข้าไม่ช่วย แต่ข้าไร้ทุนรอนจะช่วย
ต้วนไป๋เยว่เรียกหากู้อวิ๋นชวน

ในอีกห้องหนึ่ง หลิวฟู่เต๋อยังฟังไม่จบเพลงก็มีคนไม่รู้ที่ต่ำที่สูงมาเคาะประตูเสียได้ เดิมทีกำลังโกรธเกรี้ยว แต่พอเปิดประตูมาเห็นว่าเป็นกู้อวิ๋นชวนเจ้าของหอหร่านเยว่ ถึงได้รีบเปลี่ยนสีหน้าเป็นแย้มยิ้มในทันที “เถ้าแก่กู้ช่างมีเวลาว่างอะไรอย่างนี้ วันนี้ยังมาหากันเป็นพิเศษ”
กู้อวิ๋นชวนดึงต้วนเหยามาข้างหน้า
หลิวฟู่เต๋อ “…”
ต้วนเหยา “…”
“นับตั้งแต่เสี่ยวเยว่มาอยู่ที่หอหร่านเยว่ของข้าก็ได้แต่พร่ำบอกว่าชื่นชมเลื่อมใสในตัวนายน้อยหลิวยิ่งนัก ทั้งยังถวิลหามิอาจลืมเลือน พวกข้าได้ยินแล้วต่างก็ซาบซึ้งสะเทือนใจ” กู้อวิ๋นชวนสีหน้าราบเรียบ “ในเมื่อตอนนี้นายน้อยหลิวก็มาแล้ว ขอท่านโปรดอนุญาตให้เสี่ยวเยว่อยู่เป็นเพื่อนสักพักเถอะนะขอรับ ให้นางได้สมดั่งใจปรารถนา ไม่ต้องปาดน้ำตาอยู่ทุกค่ำคืนเช่นนี้อีก”
พอเห็นชายรูปร่างอ้วนใหญ่ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยฝีดาษแล้ว ต้วน-เหยาก็ต้องบังคับตัวเองไม่ให้วู่วามถอดรองเท้าออกมาตบหน้าเขาเสียก่อนพลางกล่าว “อืม”
หลิวฟู่เต๋อมองประเมินทั้งบนล่างรอบหนึ่ง แม้จะผอมแห้งไปหน่อยแต่รูปร่างหน้าตาก็หมดจดงดงามมีเสน่ห์ ริมฝีปากจิ้มลิ้มนั่นก็น่ามองนักยิ่งไปกว่านั้นยังได้กู้อวิ๋นชวนพามาด้วยตัวเอง จะอย่างไรก็ต้องไว้หน้าให้เขาบ้าง ดังนั้นนอกจากเขาจะรับปากอย่างใจกว้างแล้ว ยังถึงกับจ่ายเงินให้ถึงสองเท่าอีกด้วย
กู้อวิ๋นชวนช่วยปิดประตูห้องให้เขาอย่างรู้ใจ จากนั้นก็หมุนกายกลับไปยังห้องของต้วนไป๋เยว่ “ดีที่เหยาเอ๋อร์นิสัยดี ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่นละก็คงจะขับไสไล่ส่งพี่ชายอย่างเจ้าออกจากตระกูลไปนานแล้ว”
“เขาน่ะเหรอนิสัยดี” ต้วนไป๋เยว่หลุดหัวเราะ “เจ้าคล้ายกับจะลืมสระห้าพิษของจวนซีหนานหวังไปแล้วนะ”
“ทำไมถึงต้องจับตาดูหลิวฟู่เต๋อ” กู้อวิ๋นชวนถาม
ต้วนไป๋เยว่ตอบ “เพราะคนผู้นี้หน้าตาไม่ถูกจริตข้า”
กู้อวิ๋นชวน “…”

ต้วนเหยาดีดฉินไม่เป็น อีกทั้งร้องเพลงก็ไม่ได้ แต่โชคดีที่ปากหวานช่างจำนรรจา เพื่อเคล็ดวิชาโพธิจิต เรื่องบางเรื่องก็สามารถกัดฟันยอมทนได้อยู่ แต่ก็แค่บางเรื่องเท่านั้น ตอนที่หลิวฟู่เต๋อได้คืบจะเอาศอกคิดอยากจะแนบชิด ต้วนเหยาก็จวนเจียนจะล้วงเอาแมลงพิษออกมาปาใส่หน้าเขาอยู่รอมร่อ
โชคดีที่เสี่ยวหงสตรีดีดฉินนั้นหัวไว เมื่อเห็นท่าไม่ดีก็รีบแย้มยิ้มก่อนจะเข้ามาแทรกระหว่างกลาง ทั้งยังคำนับสุราแก่เขาจอกหนึ่ง เหตุการณ์ถึงคลี่คลายลงไปได้
ต้วนไป๋เยว่นั่งดื่มชาอย่างไม่รีบไม่ร้อนอยู่ห้องข้าง ๆ
ผ่านไปอีกหนึ่งชั่วยามเต็ม ๆ ต้วนเหยาถึงกลับมา ดูจากสีหน้าแล้วท่าทางจะโกรธจัด
“เป็นยังไงบ้าง” ต้วนไป๋เยว่ถาม
“เขาอยากจะตบแต่งข้าเข้าบ้านเป็นอนุ” ต้วนเหยาจิ้มโต๊ะอย่างแรง
ต้วนไป๋เยว่ปลาบปลื้ม “ท่านพ่อท่านแม่ในปรโลกรู้เข้าจะต้องดีใจจนน้ำตาไหลเป็นแน่”
ยังไม่ทันขาดคำ แมงมุมตัวเขื่องก็ลอยละลิ่วพุ่งใส่หน้าทันที
“ไม่รู้ว่าสัญชาตญาณการระวังภัยของเขาสูงหรือว่าไม่รู้อะไรเลยจริง ๆกันแน่” ต้วนเหยากล่าว “สรุปเท่าที่ฟังมา หนนี้จวนสกุลหลิวต้องการจะจัดงานฉลองวันเกิด มีเชิญคณะละครมาแสดง แขกเหรื่อนอกจากขุนนางใหญ่ในราชสำนักก็เป็นพวกผู้ลากมากดีที่มีชื่อเสียง ไม่มีท่าทีว่าจะวางแผนก่อกบฏอะไรเลย”
“แล้วซาต๋าล่ะ” ต้วนไป๋เยว่ถาม
ต้วนเหยากล่าว “ข้าพูดว่าอยากไปดินแดนซีอวี้เพื่อเปิดหูเปิดตา เขาก็บอกว่าที่นั่นมีแต่พายุทรายเวิ้งว้าง ไม่มีทิวทัศน์สวยงามอะไร ข้าเลยบอกว่าตอนอยู่บ้านเกิดได้ยินเรื่องเล่าเกี่ยวกับซาต๋ามาไม่น้อย เขากลับถามข้าว่าบ้านเกิดอยู่ที่ไหน นานสองนานก็ยังดึงหัวข้อเดิมกลับมาคุยไม่ได้”
ต้วนไป๋เยว่ส่ายหน้า
“เฮ้!” ต้วนเหยาไม่พอใจ
“ท่าทางข้าจะเสียเปรียบ” ต้วนไป๋เยว่กล่าว “ต้องส่งเคล็ดวิชาโพธิจิตให้ไปเปล่า ๆ เสียแล้ว”
“ท่านอย่าได้พูดว่าจะเปลี่ยนใจเชียวนะ” ต้วนเหยายกมือเท้าเอว
“ไม่เปลี่ยนใจแน่นอนอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าเรื่องจะสอนให้น่ะยังไม่ใช่ตอนนี้” ต้วนไป๋เยว่ลุกขึ้นยืน “คืนนี้เจ้าอยู่ค้างที่นี่ ข้าจะเข้าวังสักหน่อย”
เมื่อเห็นพี่ชายจากไป ต้วนเหยาก็ถอดเครื่องเคราที่ใช้แปลงโฉมออกแล้วนั่งเคี้ยวขนมอยู่ข้างโต๊ะ
กู้อวิ๋นชวนผลักประตูเข้ามา “พี่ต้วนล่ะ”
“เข้าวังไปแล้ว” ต้วนเหยาพูดไปเรื่อย “ลอบพบคนรัก”
กู้อวิ๋นชวนหัวเราะ “ทำไมเหยาเอ๋อร์ดูอารมณ์เสียนักล่ะ”
“ล้วงข้อมูลที่มีประโยชน์มาไม่ได้เลยสักอย่าง” ต้วนเหยานึกอยากจิ้มโต๊ะขึ้นมาอีกแล้ว “ว่าแล้วเชียวว่าแผนมันห่วย!” แถมยังเกือบถูกอันธพาลหาเศษหาเลยอีก
“จะเป็นไปได้ยังไงกัน” กู้อวิ๋นชวนแปลกใจ “ก่อนหน้านี้พี่ต้วนยังพูดอยู่เลยว่ามาหอหร่านเยว่ครั้งนี้เก็บเกี่ยวไปได้ไม่น้อย วันหน้าจะเชิญข้าดื่มเหล้าด้วยซ้ำไป”
“เอ๋?” ต้วนเหยาฟังแล้วไม่เข้าใจ เก็บเกี่ยวไปได้ไม่น้อย? แต่ก็เห็นชัด ๆ ว่าตัวเขาเองถามอะไรไปก็ไม่ได้ข้อมูลกลับมาเลยแท้ ๆ
กู้อวิ๋นชวนตบศีรษะเขาเบา ๆ อย่างมีความหมายลึกซึ้ง อ่อนเยาว์เกินไปจริง ๆ ยังขาดประสบการณ์นะ

ในลำคลอง ฉู่เยวียนกำลังนั่งกินอาหารค่ำอยู่ในห้องพักในเรือ ส่วนซื่อสี่กงกงนั้นกว่าจะกลับมาก็เกือบจะดึกดื่นแล้ว วันนี้ประจวบเหมาะกับที่เรือจอดเทียบอยู่ใกล้วัดจินกวง ได้ยินมาว่าสามารถทำนายทายทักโชคชะตาได้แม่นยำนัก เขาจึงเป็นตัวแทนไปเสี่ยงเซียมซีดู
“เป็นอย่างไร” ฉู่เยวียนถาม
ซื่อสี่กงกงส่ายหัวไปมา “วัดนี้คงจะคุยโวโอ้อวดออกมาเองพ่ะย่ะค่ะไม่มีทางเป็นจริง ไม่มีทางเป็นจริงเลยพ่ะย่ะค่ะ”
“ทำนายออกมาว่าต้วนไป๋เยว่มีดวงชะตาจักรพรรดิหรือไงกัน” ฉู่เยวียนไม่อินังขังขอบ เดิมทีเขาก็แค่มอบปาจื้อ[4] ให้ไปทำนายดูว่าการเดินทางครั้งนี้ของเขาสุดท้ายแล้วจะดีหรือร้ายก็เท่านั้น
ซื่อสี่กงกงโบกไม้โบกมือปฏิเสธพัลวัน “ไม่ได้เหลวไหลถึงเพียงนั้นหรอกพ่ะย่ะค่ะ แต่วันนี้ตอนที่กระหม่อมส่งปาจื้อของต้วนหวังไปให้พระรูปนั้นก็ตกใจจนใบหน้าขาวซีด ถามไถ่ไม่หยุดเลยว่าปาจื้อบนกระดาษเป็นของแม่นางน้อยบ้านไหน ทั้งยังบอกอีกว่าเป็นดวงชะตาหวงโฮ่วที่พันปีจะมีสักหน ภายภาคหน้าจะต้องได้เข้าวังไปเป็นหวงโฮ่วแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”ทำเอาชาวบ้านร้านช่องที่อยู่โดยรอบออเข้ามาห้อมล้อม อิจฉาตาร้อนกันเป็นแถว
ฉู่เยวียน “…”
ฉู่เยวียน “…”
ฉู่เยวียน “…”
“หม่อมฉันถึงได้บอกว่าไม่มีทางเป็นจริง ไม่มีทางเป็นจริงยังไงล่ะพ่ะย่ะค่ะ” ซื่อสี่กงกงยังคงหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก
ฉู่เยวียนกัดฟันพูด “ทหาร!”
“ฝ่าบาท” ราชองครักษ์เข้ามาพลางขานรับ
“ส่งราชโองการกลับไป ขุดย้ายต้นเหมยต้นนั้นออกไปให้เรา” ฉู่เยวียนโกรธจัด เขาสะบัดแขนเสื้อแล้วเดินเข้าห้องไป
ราชองครักษ์กับซื่อสี่กงกงหันมามองหน้ากันและกัน นี่เพิ่งจะเอาไปปลูกใหม่ไม่กี่วันเองนะ เอาอีกแล้วเหรอเนี่ย…

________________________________________
[1] หมายถึงลูกวอลนัต สมัยจีนโบราณลูกวอลนัตเป็นหนึ่งในการละเล่นของผู้ดีมีเงิน นิยมใช้ลูกวอลนัตสองลูกมาหมุนคลึงในมือ ว่ากันว่าเพื่อสร้างสมาธิ บ้างก็ว่าเพื่อให้เลือดหมุนเวียนดี หรือกระทั่งสามารถเก็บพลังชีวิตในลูกวอลนัตได้ ดังนั้นเจ้าของมักจะนิยมพกติดตัวไม่ห่าง หากวอลนัตแตกเสียหายจึงถือเป็นลางร้ายสำหรับเจ้าของ
[2] แปลตรงตัวว่า “ตำหนักกระดิ่งทอง” ในที่นี้สื่อถึงกระดิ่งที่แขวนอยู่บนรถม้าพระที่นั่งของจักรพรรดิ ตำหนักจินหลวนเตี้ยนเป็นอีกชื่อหนึ่งของตำหนักไท่เหอซึ่งเป็นท้องพระโรงใหญ่ ใช้ว่าราชการจัดงานราชประเพณี ภายในมีบัลลังก์มังกรทองตั้งอยู่
[3] หมายถึงเก้าอี้ตัวใหญ่มีพนักพิงหลัง เป็นเก้าอี้เข้าชุดกับโต๊ะแปดเซียนซึ่งเป็นโต๊ะสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ แต่ละด้านนั่งได้สองคน รวมทุกด้านเป็นแปดคน จึงเรียกว่าโต๊ะแปดเซียน
[4] หมายถึง “แปดอักษร” คือการใช้ตัวอักษรแทนสัญลักษณ์วัน เดือน ปี และเวลาเกิดทั้งสิ้นแปดตัวอักษร โดยสามารถทำนายครอบคลุมบุคลิกลักษณะท่าทาง นิสัยใจคอ ความรุ่งเรืองและตกต่ำ โชคลาภ เคราะห์ร้าย ตลอดจนครอบครัวและคนรอบข้างได้

เล่ห์กลจักรพรรดิ

เล่ห์กลจักรพรรดิ

เล่ห์กลจักรพรรดิ
Status: Ongoing
อ่านนิยาย เล่ห์กลจักรพรรดิเรื่องย่อ เพราะถือกำเนิดในตระกูลหน่อเนื้อเชื้อกษัตริย์ “ฉู่เยวียน” จึงต้องเดินทางหมากทุกตาด้วยความระมัดระวัง หากว่าพลาดพลั้งเพียงก้าวเดียวก็จะแพ้ราบคาบทั้งกระดาน ชันษาสิบแปดขึ้นครองราชย์ไม่ถึงครึ่งปี อวิ๋นหนานก็เกิดสงครามกลางเมือง แม้เหล่าขุนนางเก่าแก่ในราชสำนักจะคิดอ่านแตกต่างกันไป แต่ทุกผู้ก็ล้วนกำลังเฝ้ารอดูว่า ตี้หวัง พระองค์ใหม่จะทรงยุติเรื่องนี้อย่างไร แต่ใครเล่าจะคาดคิดว่าตี้หวังยังไม่ทันจะได้ลงมือ ไกลออกไปพันหลี่นั้น ซีหนานหวัง “ต้วนไป๋เยว่” ก็ได้นำทัพออกเข่นฆ่าสังหารผู้ต่อต้านเสียแล้ว ใช้เวลาเพียงครึ่งปีก็ปราบปรามจลาจลสงบลงได้ ภายในวังหลวงเงาจันทร์อ่อนจาง ฉู่เยวียน หยดครั่งผนึกจดหมายลับด้วยตัวเองแล้วเร่งส่งไปยังอวิ๋นหนานที่อยู่ห่างถึงแปดร้อยหลี่ “หนนี้ต้องการให้เราใช้สิ่งใดมาแลกเปลี่ยน” ปลายพู่กันตวัดเส้นสายลึกซึ้งทรงพลังจนแทบจะมองเห็นได้ชัดว่ายามขีดเขียนอักษรประโยคนี้ ตี้หวังผู้อ่อนเยาว์กริ้วโกรธถึงเพียงใด ต้วนไป๋เยว่ กางกระดาษออกอย่างเนิบนาบเชื่องช้า ตอบกลับอย่างตรงไปตรงมาเพียงคำเดียวว่า “เจ้า”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset