[บทที่ 8 จวนสกุลหลิวถึงคราวเคราะห์] ตั๊กแตนจ้องจับจักจั่นหารู้ไม่ว่านกขมิ้นอยู่ข้างหลัง
สำนักพิมพ์โรส
[บทที่ 8 จวนสกุลหลิวถึงคราวเคราะห์]
ตั๊กแตนจ้องจับจักจั่นหารู้ไม่ว่านกขมิ้นอยู่ข้างหลัง[1]
ปลายฤดูใบไม้ผลิ เป็นช่วงเวลาที่ชาวไร่ชาวนาวุ่นวายกับการเพาะปลูก ประชาชนได้พักผ่อนร่างกายมาตลอดฤดูหนาว ทุกคนต่างก็กระตือรือร้นเป็นอย่างยิ่ง ตลอดเส้นทางที่ผ่านมาหลายต่อหลายเมือง สองฝั่งลำคลองล้วนเต็มไปด้วยเสียงจ้อกแจ้กจอแจของผู้คนที่เดินกันขวักไขว่เป็นภาพของยุคแห่งความรุ่งเรืองโดยแท้
ฉู่เยวียนได้เห็นดังนั้นแล้วก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาบ้าง
“ฝ่าบาท” ซื่อสี่กงกงก้าวมาข้างหน้าเพื่อช่วยสวมเสื้อคลุมให้ก่อนจะกล่าว “ถัดไปก็จะถึงเมืองอวิ๋นสุ่ยแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ฉู่เยวียนพยักหน้า แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา เพียงเหม่อมองออกไปไกลแสนไกลอยู่อย่างนั้น
นายอำเภอเมืองอวิ๋นสุ่ยมีนามว่าหลิวปี้ เป็นญาติห่าง ๆ สายหนึ่งของหลิวกง แม้จะบอกว่าเป็นเพียงขุนนางขั้นเจ็ดตัวเล็ก ๆ ผู้หนึ่ง แต่ก็มีคนอีกไม่น้อยอิจฉาริษยาหมายตาตำแหน่งนี้ เพราะหากคลองเปิดใช้งานเมื่อไหร่โชคลาภก็ไหลมาเมื่อนั้น ไม่ว่าจะเป็นเกลือจากทางใต้ ธัญพืชจากทางเหนือตลอดจนใบชาและเครื่องเคลือบที่ถูกขนส่งไปยังตะวันตก ทั้งหมดนี้ล้วนต้องผ่านอวิ๋นสุ่ยเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้ไปทั้งสิ้น ต่อให้ไม่มีใจละโมบโลภมากแต่โอกาสทำเงินก็ยังมีอยู่ทั่วทุกหนแห่ง เมื่อเทียบกับชนบทห่างไกลแร้นแค้นที่อื่นแล้ว ที่นี่อุดมสมบูรณ์ร่ำรวยกว่าไม่รู้ตั้งกี่เท่า
แม้รู้ว่าฉู่เยวียนจะลงมาเจียงหนาน แต่หลิวปี้กลับไม่เป็นกังวลเท่าไหร่นัก เพราะสมุดบัญชีไม่มีปัญหาอะไรปรากฏให้เห็น อีกทั้งภายในจวนที่ว่าการก็มีแต่คนของตน และทุกคนต่างก็ลงเรือลำเดียวกัน ย่อมไม่มีใครจะไปกราบทูลเบื้องสูงเป็นแน่ ยิ่งไปกว่านั้นในเมืองหลวงยังมีหลิวไท่เหยีย[2]ท่านนั้นเป็นผู้หนุนหลังผู้ยิ่งใหญ่ของคนตระกูลหลิว ซึ่งไม่มีทางถูกโค่นล้มลงภายในเวลาชั่วประเดี๋ยวประด๋าวแน่ ดังนั้นเช้าตรู่วันนี้เขาจึงอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า จากนั้นก็พาข้ารับใช้ไปรอรับเสด็จที่ท่าเรือ รอบด้านมีประชาชนมารวมตัวกันเป็นจำนวนไม่น้อย ทุกคนมีแววตาตื่นเต้นดีใจล้วนแล้วแต่มารอเข้าเฝ้าองค์เหนือหัวกันทั้งสิ้น
เมื่อถึงเวลาเที่ยงวัน ในที่สุดเรือใหญ่ก็แล่นเข้ามาใกล้อย่างแช่มช้าธงสีเหลืองอร่ามโบกสะบัดบนยอดเสากระโดงเรือ เหล่าราชองครักษ์ยืนถือกระบี่อยู่สองฟากกราบเรือ คมกระบี่สะท้อนแสงเย็นยะเยือกภายใต้ดวงตะวัน พาให้หลายต่อหลายคนอดรู้สึกหวาดหวั่นไม่ได้
“กระหม่อมน้อมรับเสด็จฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ!” หลิวปี้นำทุกคนคุกเข่ารับเสด็จ เหล่าไพร่ฟ้าประชาชนเองก็คุกเข่าเสียงดังพึ่บพั่บตามกันเป็นทิวแถว
ณ ลานบ้านเล็ก ๆ ที่อยู่ห่างไปไม่ไกล เยี่ยจิ่นกำลังตากสมุนไพรอยู่เช่นเคยท่าทางคล้ายไม่ได้ยินเสียงเอะอะมะเทิ่งใด ๆ
“จะไม่ไปดูจริง ๆ เหรอ” ไป๋ไหลไฉรู้สึกคันหัวใจยุบยิบเสียเหลือเกิน
“ท่านอยากไปก็ไปเองสิ ข้าไม่ได้รั้งท่านไว้สักหน่อย” เยี่ยจิ่นถือตะกร้าใบน้อยยืนขึ้น “เจ้าเหนือหัวก็คนเหมือนกัน มีสองตาหนึ่งจมูกทำไมจะต้องถ่อไปคุกเข่ามองดูด้วยล่ะ”
“ก็จริง” ไป๋ไหลไฉนั่งยองอยู่บนเก้าอี้ ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ลุกขึ้น “แต่ยังไงข้าก็อยากจะไปดู ไม่แน่ว่าอาจจะได้เงินก็ได้” อย่างไรเสียนั่นก็คือฝ่าบาทเชียวนะ
เยี่ยจิ่นนึกเสียใจเหลือเกินที่ช่วยพาตาเฒ่าคนนี้ลงมาจากภูเขา
ฉู่เยวียนเดินลงมาจากเรือ หลิวปี้เงยหน้าขึ้นพร้อมรอยยิ้มกว้าง “ฝ่าบาท”
รอบด้านเงียบกริบ มีชาวบ้านที่ขวัญกล้าหน่อยแอบชำเลืองมองแล้วก็อดไม่ได้ที่จะนึกชื่นชมอยู่ในใจ ฝ่าบาทรูปโฉมงดงามจริง ๆ กวาน[3]ประดับหยกยกรั้งพระเกศาสีดำขลับ ดวงพระเนตรสว่างสุกใสดั่งดวงดาราพระนาสิกโด่งเป็นสันงดงาม ทั้งร่างแผ่กลิ่นอายสูงส่งน่าเกรงขาม จากนั้นชาวบ้านผู้นั้นก็รีบก้มหัวกลับลงไปแต่โดยดี
“อ้ายชิงลุกขึ้นเถอะ” ฉู่เยวียนก้าวไปหาพร้อมยื่นมือเข้าไปช่วยพยุงเขาขึ้นมาด้วยตัวเอง
หลิวปี้ยิ้มเสียจนใบหน้ายับย่น แล้วกล่าวทักทายต่อ “ซื่อสี่กงกงแม่ทัพเสิ่น”
“เมืองอวิ๋นสุ่ยแห่งนี้ช่างคึกคักรุ่งเรืองนัก” เสิ่นเชียนฟานเอ่ย “ใต้เท้าหลิวบริหารดูแลได้ดีจริง ๆ”
“แม่ทัพเสิ่นก็ชมกันเกินไป นี่เป็นหน้าที่ที่ข้าพึงกระทำอยู่แล้วขอรับเป็นหน้าที่ของข้าอยู่แล้ว” หลิวปี้ผินกายเปิดทางให้ “ที่จวนได้ตระเตรียมงานเลี้ยงต้อนรับเอาไว้เรียบร้อย เชิญฝ่าบาทเสด็จเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
ท่ามกลางฝูงชน ตาเฒ่าผู้หนึ่งกำลังแกะเมล็ดแตงโมชมเรื่องครึกครื้นแล้วยังยืดคอเขย่งเท้ามองอย่างสุดแรงอีกด้วย แค่มองก็รู้แล้วว่าเป็นคนชอบยุ่งเรื่องคนอื่น รอจนกระทั่งราชรถจากไป ประชาชนแยกย้ายกันแล้วนั่นแหละ เจ้าตัวถึงได้กลับบ้านด้วยความอาลัยอาวรณ์
“ไม่ได้เงินกลับมาหรือไง” เยี่ยจิ่นแกล้งแหย่เมื่อเห็นเขาเดินคอตกเข้ามาในลานบ้าน
“ฝ่าบาทขี้เหนียวขนาดนี้ได้ด้วยเหรอ” ไป๋ไหลไฉกลับมานั่งที่โต๊ะหินกล่าวอย่างเกรี้ยวกราด “ดูแล้วคล้ายกับท่านหมอมากแท้ ๆ ก็นึกว่าจะเป็นคนดีมีเมตตาเสียอีก ที่ไหนได้ อย่าว่าแต่เงินเลย กระทั่งซาลาเปาสักลูกก็ยังไม่มีให้”
“นี่ท่านว่าใครหน้าคล้ายเขากัน” เยี่ยจิ่นแววตาดุร้าย
ไป๋ไหลไฉตอบทันควัน “เจ้า!”
เยี่ยจิ่นส่งเสียงหึเย็นเยียบ จากนั้นก็เชิดคางขึ้นและค่อย ๆ เดินกลับห้องนอนไป
ไป๋ไหลไฉตบหน้าอกตัวเองเบา ๆ พร้อมผ่อนลมหายใจเฮือกใหญ่น่ากลัวเสียจริง…
ฉู่เยวียนไม่ชอบความหรูหราฟุ่มเฟือย ดังนั้นหลิวปี้ย่อมไม่กล้าจัดงานเลี้ยงใหญ่โต อาหารแม้จะมีมากมายแต่ล้วนเป็นอาหารพื้น ๆ ทั้งสิ้น สุราเองก็เป็นสุราเส้าซิงหวงที่สุดแสนธรรมดา ฉู่เยวียนสนทนากับผู้อื่นเรื่องการปรับเปลี่ยนเส้นทางลำคลองเพียงไม่กี่ประโยค และไม่ได้ถามไถ่เรื่องอื่นใดอีก หลังจากงานเลี้ยงเลิกราก็กลับไปพักผ่อนที่ห้องนอนแต่หัววัน กระทั่งเหล่าขุนนางต่างถิ่นก็ยังไม่มีโอกาสได้เข้าเฝ้า
ฝ่ายหลิวปี้ถอนหายใจด้วยความโล่งอก นึกว่าอย่างน้อยก็จะถูกตรวจสอบบัญชีเสียอีก คาดไม่ถึงเลยว่าจะไม่เอ่ยถึงเลยแม้สักคำ
หากอิงตามแผนการเดิม ฉู่เยวียนจะอยู่ที่นี่เพียงสองวันเท่านั้น รอจนเรือเติมเสบียงได้เพียงพอเมื่อไหร่ก็จะเดินทางลงใต้ต่อไปยังเมืองเชียนเยี่ย แต่ใครเล่าจะคาดคิดว่าเพราะไม่กี่วันก่อนถูกลมโกรกเอาตอนอยู่บนเรือ ทำให้ฉู่เยวียนต้องพิษลมเย็นเข้า นับตั้งแต่วันที่สองที่มาถึงเมืองอวิ๋นสุ่ยเขาก็เริ่มมีไข้แล้ว แพทย์หลวงที่ตามเสด็จเฝ้าดูแลอยู่ถึงห้าวันเต็มกว่าจะฟื้นตัวกลับมาได้ในที่สุด
“ได้ยินว่าฝ่าบาทถูกพิษลมเย็นเข้าให้แล้ว” ที่ลานบ้านเล็ก ไป๋ไหลไฉใช้ศอกสะกิดกวน “ท่านเป็นหมอก็ควรเสนอตัวไปถวายการรักษาไม่ใช่หรือไง เกิดโชคดีรักษาหายขึ้นมาก็ไม่แน่ว่าจะได้เข้าวังไปเป็นแพทย์หลวงเชียวนา”
“อย่างข้าเนี่ยนะจะไปเป็นแพทย์หลวงให้เจ้านั่น” เยี่ยจิ่นใช้กระบวยตักขี้ไหมสาดใส่ไปด้วยความโมโห จากนั้นก็ยกมือเท้าเอวกล่าว “ฝันไปเถอะ!”
ไป๋ไหลไฉกุมหัววิ่งแจ้นออกไปข้างนอก
นี่ท่านหมอคิดจะกินคนหรืออย่างไร…
ฝ่ายหลิวปี้เองก็รู้สึกกังวลกับเรื่องนี้ แต่เขากลับไม่ได้กลัวว่าจะเกิดเรื่องขึ้นกับฉู่เยวียนที่นี่ อย่างไรเสียก็เป็นแค่พิษลมเย็นเท่านั้น ที่เขากังวลก็คือไม่รู้ว่าพิษลมเย็นหนนี้เป็นเรื่องจริงหรือเท็จ หากว่าเท็จ ที่แท้แล้วมีจุดประสงค์อะไรอยู่เบื้องหลังกันแน่
“ใต้เท้าวิตกกังวลเกินไปแล้วนะขอรับ” พ่อบ้านประจำจวนที่ว่าการนามว่าหลิวหม่านดูจะใจเย็นกว่าเขามากนัก ฝ่ายนั้นซุกมือในแขนเสื้อพลางกล่าวด้วยท่าทีไม่อนาทรร้อนใจ “ฝ่าบาททรงประชวร ทั้งท่านและข้าย่อมต้องถวายการรับใช้อย่างเต็มกำลัง แล้วจะไปคิดถึงเรื่องอื่นอีกทำไมกัน”
หลิวปี้ทำท่าจะเอ่ยอะไรออกมาแต่ก็ยั้งไว้ ชั่วครู่นั้นเขาไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ คิดจะถามมากหน่อยก็ไม่กล้า รู้สึกหวาดหวั่นเป็นกังวลไปหมด กระทั่งค่ำคืนยามพักผ่อนก็ยังหนักอกหนักใจยิ่งพลิกกายไปมาจนอนุภรรยาใบหน้าบูดบึ้ง จวบจนฟ้าสางนั่นแล้วถึงจะข่มตาหลับลงไปได้ ทว่าเพิ่งจะปิดตาไปหยก ๆ กลับต้องมาถูกกองกำลังรักษาพระองค์หิ้วลงมาจากเตียง
“แม่ทัพเสิ่น แม่ทัพเสิ่น นี่มันหมายความว่ายังไงกัน” หลิวปี้ตระหนกตกใจจนใบหน้าไร้สี
“ทหาร จับเจ้ากบฏนี่โยนเข้าคุกซะ” เสิ่นเชียนฟานสั่งการด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ
กบฏเหรอ หลิวปี้หน้าซีดเผือด คิดอยากจะเรียกร้องความยุติธรรมแต่กลับถูกต่อยจนกรามหลุดเสียก่อน และถูกจับลากเข้าคุกไปในทันที
จวนที่ว่าการนายอำเภอถูกกองกำลังรักษาพระองค์ล้อมเอาไว้ เมื่อพวกชาวบ้านที่ตื่นแต่เช้าเห็นเข้าต่างก็สับสนงุนงงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ พอกลับบ้านก็เอาไปขบคิดกับภรรยาของตน ทุกคนล้วนเห็นว่าน่าจะเป็นเพราะความผิดฐานฉ้อราษฎร์บังหลวงของหลิวปี้ในช่วงหลายปีให้หลังนี้ถูกเปิดเผยแล้วจึงถูกฝ่าบาทจับเข้าคุก จวบจนกระทั่งตกค่ำถึงมีข่าวออกมาบอกว่าสาเหตุเป็นเพราะแพทย์หลวงตรวจสอบเจอว่าอาหารในจวนสกุลหลิวมีพิษ
วางยาพิษองค์เหนือหัว…ไพร่ฟ้าประชาชนได้ยินเข้าก็ใบหน้าซีดเผือดโทษหนักถึงขั้นสังหารล้างตระกูลประหารชีวิตเก้าชั่วโคตรเช่นนี้ ยังมีคนกล้าทำอย่างไม่เกรงกลัวฟ้าดินอีกหรือ
ข่าวแพร่กระจายมาถึงหูของเยี่ยจิ่น ไป๋ไหลไฉจ้องเขาด้วยความระมัดระวัง “ฝ่าบาทถูกพิษแล้วนะ ท่านหมอจะไม่ไปดูหน่อยเหรอ”
เยี่ยจิ่นวางโกร่งบดยา[4] “ข้ากับเขาไม่ได้รู้จักมักจี่กันสักหน่อย”
“ใต้หล้านี้มีคนเจ็บป่วยมากมาย แล้วท่านหมอจะไปรู้จักทุกคนได้ยังไง” ไป๋ไหลไฉตอบ “ไม่ใช่ว่าใครเจ็บใครป่วยก็ช่วยตรวจให้คนนั้นหรอกเหรอ”
เยี่ยจิ่นถูกเขาก่อกวนเสียจนไม่สบายใจ ตัวเองเลยออกไปเดินเตร็ดเตร่ตามถนนเสียเลย
ประตูจวนที่ว่าการถูกล้อมเอาไว้จนกลายเป็นเหมือนกำแพงเหล็กไปแล้ว ไม่เพียงมีกองกำลังรักษาพระองค์ที่ฉู่เยวียนพามาด้วยเท่านั้น แต่ยังมีกองกำลังรักษาการณ์ที่เสิ่นเชียนฟานระดมมาจากที่อื่นอีกด้วย ตอนแรกที่เยี่ยจิ่นได้ข่าวก็ยังรู้สึกสับสนวุ่นวายใจอยู่หรอก แต่ต่อมาพอค่อย ๆ ลองคิดให้รอบคอบอีกทีก็พบว่า หากไม่มีการตระเตรียมรับมืออะไรมาเลยจนถูกวางยาพิษจริง แล้วใครหน้าไหนเขาจะเตรียมจัดวางกำลังคนและม้าจำนวนมากขนาดนี้ในเขตใกล้เคียงไว้ล่วงหน้าเพียงเพื่อจะมารอจับกบฏเอาวันนี้กันเล่า
…
ฮึ่ม!
หมอเทวดาเยี่ยกระทืบเท้าด้วยความโกรธเกรี้ยว จากนั้นก็เดินฮึดฮัดไปกินข้าวที่ร้านอาหารดับโมโห
ตอนเด็กก็ชอบแกล้งป่วยหลอกบิดามาแล้ว โตมาก็ยังนิสัยเหมือนเดิมอีก เห็นทีจะเห็นอกเห็นใจคนผู้นี้ไม่ได้จริง ๆ
“ฝ่าบาท” ในห้องหนังสือของจวนที่ว่าการ เสิ่นเชียนฟานกล่าว “หนังสือรับสารภาพเขียนเสร็จแล้ว หลิวปี้เองก็ลงนามแล้วด้วย กระหม่อมจะนำคนกลับไปยังเมืองหลวงเดี๋ยวนี้พ่ะย่ะค่ะ”
ฉู่เยวียนพยักหน้า “การเดินทางครั้งนี้อันตรายนัก ลำบากแม่ทัพแล้ว”
“เป็นหน้าที่อันพึงกระทำของกระหม่อมอยู่แล้วพ่ะย่ะค่ะ” เสิ่นเชียน-ฟานกล่าว “เพียงแต่หากว่าซีหนานหวังยังอยู่ในเมืองหลวง…”
“เขาไม่ทำให้เจ้าลำบากแน่” ฉู่เยวียนขัด “และหากเขาไม่รู้จักหนักเบาขึ้นมาจริง ๆ ก็ให้เขามาหาเราที่เจียงหนานด้วยตัวเองก็แล้วกัน”
“พ่ะย่ะค่ะ” เสิ่นเชียนฟานก้มศีรษะรับพระบัญชา พอออกจากห้องหนังสือก็นำคนและม้าจำนวนหลายสิบลงแส้เร่งม้าเดินทางติดต่อกันทั้งวันทั้งคืน มุ่งหน้าตรงกลับไปเมืองหลวงอย่างลับ ๆ
หลิวปี้ฆ่าตัวตายหนีความผิดระหว่างอยู่ในคุก ภรรยาและลูกทั้งหมดถูกเนรเทศไปไห่หนาน นายอำเภอคนใหม่จะมารับหน้าที่ภายในสิบวัน กองกำลังรักษาการณ์มาแทนที่ทหารยามรักษาประตูเมืองที่มีอยู่เดิม คอยตรวจสอบประชาชนที่เข้าออกอย่างละเอียดทุกวัน กระทั่งแมลงวันสักตัวยังไม่อาจจะเล็ดลอดไปได้ตามใจชอบ ฉับพลันบรรยากาศภายในเมืองก็ตึงเครียดขึ้นมาแค่เดินไปตามท้องถนนก็พาให้รู้สึกอึดอัดใจ
เยี่ยจิ่นกำลังครุ่นคิดวางแผนว่าตัวเองควรจะย้ายออกไปอยู่เขตอื่นก่อนหรือไม่ ไว้รอให้ที่นี่สงบลงแล้วค่อยกลับมาอีกที
“ท่านหมอจะไปไม่ได้นะ” ไป๋ไหลไฉยื้อห่อสัมภาระของเขาเอาไว้ไม่ยอมปล่อยมือ “เมื่อคืนวานข้าได้อ่านปรากฏการณ์ฟ้า—”
“นี่ท่านอ่านปรากฏการณ์ฟ้ากับเขาเป็นด้วย?” เยี่ยจิ่นตัดบทอย่างไม่เชื่อถือ
“ย่อมต้องเป็นสิ” ไป๋ไหลไฉพยักหน้า
เยี่ยจิ่นถาม “แล้วเห็นอะไรบ้าง”
ไป๋ไหลไฉตอบ “แพะเข้ารังหมาป่า”
เยี่ยจิ่นส่ายหัว “อย่างท่านนี่ถ้าไปนั่งทำนายดวงชะตาข้างถนนละก็เงินสักอีแปะ[5] เดียวก็คงจะหาไม่ได้” พูดจาไพเราะรื่นหูไม่เป็นก็แล้วไปเถิดแต่กระทั่งจะพูดอะไรที่เป็นมงคลสักหน่อยก็ยังไม่ได้ด้วยนี่สิ แพะเข้ารังหมาป่าอะไรกัน
“ฝ่าบาททรงยึดทรัพย์บ้านหลิวปี้ แต่กลับเจอเงินเพียงไม่มาก” ไป๋-ไหลไฉจุปาก “ทั้งที่นั่นน่ะเป็นขุนนางคดโกงตัวใหญ่เชียวนา กอบโกยอะไรได้ก็กอบโกยแท้ ๆ”
“ท่านคิดจะพูดอะไรกันแน่” เยี่ยจิ่นทำหน้านิ่ว
“เงินไปไหนหมด ลองถามใต้เท้าเฉิงหัวหน้ากองกำลังรักษาการณ์ที่ถูกโยกมาจากซีหนานหนนี้ดูสิ น่ากลัวว่าจะแจ่มแจ้งขึ้นเยอะทีเดียวเชียว” ไป๋ไหลไฉแทะเมล็ดแตงโมต่อ
เยี่ยจิ่นผุดลุกขึ้นยืนในทันที
“ได้ยินมาว่าแม่ทัพเสิ่นกลับเมืองหลวงไปแล้วด้วย” ไป๋ไหลไฉเอ่ยต่ออย่างไม่รีบไม่ร้อน “หลิวปี้ก็ตายแล้ว แต่ใครบอกกันล่ะว่าก่อนหน้านี้คนที่คุมจวนที่ว่าการนายอำเภอเป็นเขา”
เยี่ยจิ่นกระทืบเท้า หมุนกายแล้ววิ่งออกจากลานบ้าน
ในจวนที่ว่าการ หลินหย่งนายอำเภอที่เพิ่งย้ายมาใหม่ถูกมัดมือไพล่หลังและถูกจับโยนเข้าคุก เพียงชั่วข้ามคืนกองกำลังรักษาการณ์ตงหนานกว่าครึ่งก่อกบฏ ทั้งยังกักขังฉู่เยวียนไว้ภายในจวนอย่างเงียบเชียบ
ฉู่เยวียนยืนไพล่มือไขว้หลังอยู่กลางลาน มองดูหลิวหม่านกับเฉิงซวนหัวหน้ากองกำลังรักษาการณ์ที่อยู่เบื้องหน้าด้วยสายตาเย็นชา
“บังอาจ!” ซื่อสี่กงกงยืนขวางอยู่ด้านหน้า “ยังไม่รีบถอยออกไปอีก”
หลิวหม่านน้ำเสียงคลุมเครือ “ในเมื่อเรื่องก็มาถึงขั้นนี้แล้ว ก็ขอฝ่าบาทประทับต่ออีกสักระยะเถอะพ่ะย่ะค่ะ รอให้เมืองหลวงมีข่าวมาก่อนแล้วค่อยออกไปยังไม่สาย”
“ดีเหลือเกิน” ฉู่เยวียนไม่ใส่ใจเขาแม้สักนิด เอาแต่มองเฉิงซวนด้วยสายตาเย็นเยียบ “เราดูเจ้าผิดไปจริง ๆ”
เฉิงซวนไม่ปริปาก ใบหน้าขาวซีด เดิมทีเขาเป็นแค่พ่อครัวทหารตัวเล็ก ๆ ในกองกำลังตงหนาน อาศัยการสนับสนุนจากฉู่เยวียนถึงไต่เต้าจนมาเป็นหัวหน้ากองได้ เพียงแต่ว่าพอมีอำนาจในมือมากเข้าก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะเกิดความโลภโมโทสัน ด้วยเหตุนี้เองจึงถูกหลิวปี้จับจุดอ่อนได้ ฉู่-เยวียนเองนั้นแต่ไหนแต่ไรมาเวลาลงโทษขุนนางฉ้อฉลก็ไม่เคยอ่อนข้อให้อยู่แล้ว อย่างไรเสียก็มีแต่ตายกับตายลูกเดียว ดังนั้นเขาจึงต้องร่วมมือกับสกุลหลิวอย่างไร้ทางเลือก แต่ไม่คาดคิดเลยว่าฝ่ายนั้นจะกล้าถึงขนาดนี้
แต่ในเมื่อลงเรือโจรไปแล้ว ต่อให้หนทางข้างหน้าจะมีเพียงทางตายก็ได้แต่ต้องกล้ำกลืนฝืนทนนั่งลงไปเท่านั้น
________________________________________
[1] เป็นสุภาษิต หมายถึง คนที่เห็นแต่ประโยชน์ตรงหน้า แต่มองข้ามอันตรายที่ซ่อนอยู่ข้างกาย
[2] เป็นคำเรียกขาน หมายถึง “ท่านปู่” ใช้เรียกปู่หรือผู้อาวุโสของตระกูลในเชิงยกย่อง
[3] ที่ครอบมวยผมของคนจีนในยุคโบราณ ใช้แสดงฐานะบรรดาศักดิ์
[4] ครกและสากขนาดเล็กที่ใช้ตำหรือบดยา
[5] สำเนียงจีนกลางอ่านว่า “เหวิน” เป็นหน่วยเงินสำริดของจีนโบราณที่มีมูลค่าน้อยที่สุด มีลักษณะเป็นเหรียญที่มีรูตรงกลาง 1,000 เหวินจะมีค่าเท่ากับ 1 เหลี่ยง (ตำลึง)