เสด็จอา (เล่มเดียวจบ) บทที่ 1
ข้าคือพระปิตุลา ผู้เป็นอาของฮ่องเต้
ทว่าข้ามิใช่อาแท้ๆ การสืบสายนั้นห่างกันอยู่ชั้นหนึ่ง บิดาของข้ากับถงกวงตี้ ปู่ของฮ่องเต้องค์ปัจจุบันเป็นพี่น้องร่วมอุทรกัน ข้าจึงนับเป็นอาผู้เป็นลูกพี่ลูกน้องของพระบิดาของฮ่องเต้
แต่เหล่าพี่น้องของอดีตฮ่องเต้ล้วนตายไปหมดแล้ว ข้าซึ่งเป็นอาไม่แท้จึงได้กลายเป็นอาที่สนิทชิดเชื้อยิ่งกว่าอาแท้ๆ เสียอีก
ประโยคสุดท้ายอันน่าสะอิดสะเอียนนั้นมิใช่ข้าเป็นคนพูด
คนที่พูดประโยคนี้คือไทเฮา
ครั้งแรกที่ไทเฮาเอ่ยประโยคนี้ออกมาฮ่องเต้ยังไม่ขึ้นครองราชย์ อดีตฮ่องเต้เองก็เพิ่งเสด็จสวรรคต พระนางสวมชุดไว้ทุกข์ หันมาเอ่ยกับข้าด้วยขอบตาแดงก่ำว่า ‘เฉิงจวิ้น แม้เจ้าจะเป็นลูกพี่ลูกน้องของอดีตฮ่องเต้ แต่ใจข้าเห็นเจ้าเป็นน้องแท้ๆ ของสามีมาโดยตลอด เจ้าเป็นอาที่ใกล้ชิดกับฉีเจ่อที่สุด สนิทชิดเชื้อยิ่งกว่าอาแท้ๆ เสียอีก’
ตอนนั้นข้าที่กำลังเศร้าโศกเสียใจรำลึกถึงอดีตฮ่องเต้อยู่พลันถูกคำพูดประโยคนี้ของพระนางทำให้ขนลุกเป็นตุ่มหนังไก่ไปทั้งตัว
จากนั้นประโยคต่อท้ายของพระนางก็ตามมาในทันทีว่า ‘วันหน้าฉีเจ่อยังต้องพึ่งพาเจ้านะเฉิงจวิ้น ช่วยเหลือเขาให้มาก ข้าขอร้องเจ้าตรงนี้แล้ว’
หลังจากวันนั้นมารดาของข้าก็มีประโยคสรุปได้ยอดเยี่ยมยิ่ง นางบอกว่า ‘ผู้ที่รายล้อมโอบอุ้มบัลลังก์ของฮ่องเต้ เมื่อต้องการใช้ประโยชน์จากเจ้าก็ตีสนิทกับเจ้ามากกว่าใครทั้งสิ้น เมื่อไร้ประโยชน์แล้วก็แทบอยากจะให้เจ้าตายไปเสีย’
จนเมื่อฝ่าบาททรงว่าราชการเองได้ บัลลังก์มั่นคงดังคราบเขม่าติดกระทะ บางครายามข้าเข้าๆ ออกๆ วังหลวงและได้พบไทเฮา สายตาที่พระนางมองข้าช่างดูเหมือนอยากจะให้ข้าตามไปรับใช้อดีตฮ่องเต้อย่างไรอย่างนั้น
คล้ายกับเมื่อปีนั้น อดีตฮ่องเต้และคนข้างกายก็มองบิดาของข้าเช่นนี้ ทรงยึดกุมความหวังเช่นนี้ไว้ในใจอยู่หลายปี ท้ายที่สุดก็สมหวังในวันที่บิดาข้าถูกฝังลงดิน ข้าคิดว่าวันที่พระองค์สวรรคตไปคงหลับตาลงได้อย่างสบายใจ น่าเสียดายที่โชคร้ายของรุ่นก่อนยังคงถ่ายทอดมาถึงรุ่นปัจจุบัน ฮองเฮาและโอรสของพระองค์ได้เจริญรอยตาม นั่นคือยังคงหมายหัวข้า
ตราบจนข้าลงโลงแล้วนั่นแหละ เรื่องนี้จึงจะนับว่าสิ้นสุด
เคยมีคนว่างงานอ่านรายงานสถานการณ์ของราชวงศ์ยามนี้แล้วสรุปออกมาเป็นสามเนื้อร้ายของราชสำนัก
หวังฉินจอมเขมือบ ท้องพระคลังไม่เคยเต็ม
อวิ๋นถังลักลอบเล่นพวก การเมืองไม่ใสสะอาด
ไหวอ๋องกุมอำนาจ หัวหน้าร้อยพิษ สั่นคลอนบัลลังก์ฮ่องเต้
หัวหน้าร้อยพิษที่กล่าวถึง ยอดคนชั่วผู้กุมอำนาจ เนื้อร้ายก้อนใหญ่ที่สุดก็คืออ๋องน้อยอย่างข้า ไหวอ๋องเฉิงจวิ้นนั่นเอง
กับคำพูดทำนองนี้ ข้ากล่าวได้เพียงว่าจนใจเหลือเกิน
แท้จริงแล้วข้าทำตัวอยู่ในกรอบมาโดยตลอด จงรักภักดี ไร้จิตคิดกอบโกยอำนาจ ไร้ใจจับจ้องบัลลังก์ฮ่องเต้ ข้ากล้าพูดว่าในราชสำนักนี้ไม่มีขุนนางที่จงรักภักดีไปมากกว่าข้าอีกแล้ว
ที่น่าสลดที่สุดก็คือเรื่องที่ข้าเป็นขุนนางผู้ซื่อสัตย์นั้นใต้หล้านี้กลับมีคนเชื่ออยู่ไม่กี่คน
แต่ข้าเป็นคนมีเหตุมีผลเสมอ ข้าขอพูดเหตุผลประโยคหนึ่งว่าการที่คนอื่นเข้าใจไปเช่นนี้ ความผิดมากมายที่สุดยังคงตกอยู่ที่บิดาข้า
ข้าจำได้ว่าเมื่อครั้งยังเยาว์ มารดามักพูดกับข้าว่า ‘บิดาของเจ้าเป็นคนโง่ที่สุดที่ข้าเคยพบพานมาในชีวิต’ จากนั้นนางก็จะลูบศีรษะข้าพลางเอ่ยว่า ‘เจ้าอย่าได้เป็นเช่นเขาเด็ดขาด’
ในสายตาของคนภายนอก บิดาของข้าไม่ได้ใกล้เคียงกับคำว่าโง่เลยแม้แต่น้อย อายุสิบห้าปีเข้าร่วมสงคราม อายุสิบเจ็ดปีก็ได้เป็นแม่ทัพใหญ่ ตลอดชีพวันเวลาส่วนมากใช้ชีวิตบนหลังม้า พ่ายแพ้เพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น
แต่ในสายตาของมารดาและข้าที่ต่อมาเริ่มรู้เดียงสาแล้ว บิดาของข้านั้นช่างขาดแคลนจิตใจหวาดระแวง
ท่านเป็นน้องชายคนเล็กของฮ่องเต้ถงกวงตี้ ท่านมักย้อนระลึกถึงพระองค์ด้วยน้ำตาคลอเบ้าว่าเมื่อวัยเยาว์พระองค์ได้ดูแลท่าน รักท่านเช่นไรบ้าง ทรงสอนหนังสือให้ท่านด้วยพระองค์เอง ตอนนอนก็ช่วยห่มผ้าให้ อากาศเย็นก็คอยเพิ่มเสื้อผ้าให้…ผลคือท่านยอมควักเนื้อเฉือนหัวใจเพื่อตอบแทนคุณของเสด็จพี่
แต่ถงกวงตี้มีสุขภาพอ่อนแอ เสด็จสวรรคตก่อนวัยอันควร บิดาข้ายังไม่ทันได้แทนคุณ หลังจากร้องไห้หลั่งน้ำตาน้ำมูกแทบขาดใจ บิดาข้าก็ตัดสินใจตอบแทนบุญคุณนี้ไปยังโอรสของถงกวงตี้ พระบิดาของฮ่องเต้องค์ปัจจุบันแทน
ขอเพียงด่านชายแดนมีการเคลื่อนไหว ท่านก็จะรีบเสนอตัวไปยังแนวหน้าทันที เวลามีการว่าราชการ มีสิ่งใดที่ท่านรู้สึกว่าสามารถช่วยเหลือราชสำนักและแผ่นดินได้ ท่านต้องถ่ายทอดออกไป บ่อยครั้งกระทำด้วยอารมณ์ฮึกเหิมเร่าร้อน แต่คำเตือนมักไม่รื่นหู ท่านนึกว่าจงรักภักดีทั้งหัวใจ แต่ในสายตาของฮ่องเต้ นี่คือคุณูปการสูงส่งล้มล้างนาย เรียกได้ว่าทระนงหลงอำนาจ
มารดาข้าเคยเตือนท่านแล้ว แต่ท่านไม่ฟัง ท่านรู้สึกว่านั่นเป็นความคิดของสตรีเพศ หัวใจจงรักภักดีของท่านผืนฟ้าผืนดินรู้ตะวันจันทราเห็นเป็นพยาน แล้วไยลูกหลานเชื้อพระวงศ์แท้ๆ ของฮ่องเต้จะสัมผัสไม่ได้
มารดาของข้าจนใจ ได้แต่มองเขาโง่ไปจนถึงวาระสุดท้าย
บิดาข้าจากโลกนี้ไป อำนาจการทหารของท่านก็ถูกขุนนางสำคัญแบ่งทอนไปทันที ข้าก็ได้แต่รับช่วงต่อตำแหน่งอ๋อง มิได้รับตำแหน่งขุนนางกรมสำคัญอันใดในราชสำนัก นอกจากข้าแล้ว ฮ่องเต้ยังมีพระปิตุลาอีกหลายท่าน ซึ่งต่างก็มีตำแหน่งอ๋องทั้งสิ้น และไม่ว่าใครก็มีอำนาจมากกว่าพวกเราวังไหวอ๋อง แต่ไม่รู้ด้วยเหตุใด คนนอกเหล่านั้นถึงมักรู้สึกว่าวังไหวอ๋องของพวกเราต้องครอบครองกองกำลังลับอยู่กองกำลังหนึ่งที่เพียงพอจะล้มล้างราชวงศ์ได้
เมื่อปีนั้น ยามที่อดีตฮ่องเต้เพิ่งสวรรคต ไทเฮากล่าวคำชวนสะอิดสะเอียนนั้นกับข้า ปากของข้าก็แค่รับคำไปเฉยๆ ไหนเลยจะรู้ว่าคืนวันนั้นลูกพี่ลูกน้องของข้าและขุนนางคนสำคัญของราชสำนักได้เปิดประชุมกันและชวนข้าเข้าร่วมด้วย ครั้งนั้นเป็นอวิ๋นถังอาจารย์ของอัครเสนาบดีที่พูดว่า ‘แคว้นไม่อาจไร้ผู้นำแม้เพียงวันเดียว แต่นับจากฮ่องเต้สวรรคต บัลลังก์มังกรก็ว่างลงสองวันแล้ว รัชทายาทฉีเจ่อยังทรงพระเยาว์ อ๋องทุกท่านและใต้เท้าทั้งหลายคิดเห็นประการใด’
เมื่อถามมาถึงข้า ข้าก็พูดความจริงไปสองประโยคว่า ‘องค์รัชทายาทสืบทอดตำแหน่ง ถูกต้องตามหลักฟ้าดิน ขอกล่าววาจาไม่เคารพสักนิด นับแต่องค์ชายฉีเจ่อประสูติมาข้าก็เฝ้าดูพระองค์เจริญพระชันษา ทรงเฉลียวฉลาดเฉียบแหลม น้ำพระทัยกว้างขวางมีพระเมตตามาตั้งแต่เล็ก มาวันนี้แม้ยังทรงพระเยาว์ แต่หากเจริญพระชันษาแล้วต้องเป็นฮ่องเต้ผู้ทรงคุณธรรมแน่นอน’ ข้าพูดความจริงแล้วพ่วงด้วยการยกยอฮ่องเต้ต่ออีกเล็กน้อย คิดว่าเช่นนี้น่าจะมีประโยชน์บ้างในภายภาคหน้า
วันรุ่งขึ้น ฉีเจ่อก็ได้สืบทอดตำแหน่งฮ่องเต้ เย็นวันนั้นไทเฮาให้คนมาเรียกข้าเข้าวัง ทรงไล่คนซ้ายขวาออกไปจากห้องทรงพระอักษรแล้วจูงมือของฝ่าบาทมาตรัสว่า ‘ฝ่าบาท ทรงเป็นฮ่องเต้แล้วก็อย่าได้ลืมความชอบของเสด็จอาไหวอ๋องอย่างเด็ดขาด ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ในราชสำนัก เสด็จอาไหวอ๋องก็ต้องช่วยฝ่าบาทให้มากเช่นกัน’
สายตาของไทเฮาเต็มไปด้วยความหมายลึกซึ้ง ข้าอยากจะอธิบายให้พระนางฟังเหลือเกินว่าต้องมีการเข้าใจผิดบางอย่างแน่ แต่ก็อธิบายไม่ได้
คนเราก็เป็นเสียอย่างนี้ ยิ่งเจ้าอธิบายว่าเจ้าไม่มี เขาก็ยิ่งรู้สึกว่าเจ้ามี
กองกำลังลับของวังไหวอ๋องในความคิดของผู้อื่นโดยเฉพาะในความคิดของไทเฮานั้นยิ่งขยายเติบโตขึ้นเรื่อยๆ
ข้าจึงโชคดีได้เป็นขุนนางคนสำคัญอันดับหนึ่งของราชวงศ์ และเป็นอ๋องชั่วร้ายในความคิดของคนใต้หล้าตราบจนทุกวันนี้
วันนี้คือวันที่สองเดือนสี่
เดือนเป็นเลขคู่ วันก็เป็นเลขคู่ นี่นับเป็นวันดีวันหนึ่ง เหมาะสำหรับการขึ้นบ้านใหม่ แต่งงาน อาบน้ำ และออกเดินทาง
ข้ากำลังนั่งอยู่ที่โถงรับแขกด้านหน้า
ในโถงรับแขกมีแขกอยู่สองคน หนึ่งคืออวิ๋นอวี้ลูกชายของอวิ๋นถัง ส่วนอีกคนได้ข่าวมาว่าเพิ่งได้รับการสนับสนุนให้เป็นผู้ตรวจการน้อยในสำนักตรวจการ
อวิ๋นถังซึ่งเป็นหนึ่งในสามเนื้อร้ายที่ก้อนเล็กกว่าข้าเล็กน้อยมิได้มีแต่ชื่อเสียงจอมปลอมเท่านั้น แค่ดูลูกชายของเขาอย่างอวิ๋นอวี้ก็รู้แล้ว อายุเพียงแค่ยี่สิบสองยี่สิบสามปีกลับดำรงตำแหน่งขุนนางน้อยใหญ่ถึงสามสี่ตำแหน่งในราชสำนัก หัวหน้าสำนักตรวจการก็เป็นหนึ่งในนั้น และผู้ตรวจการน้อยคนใหม่ที่อายุมากกว่าเขาหลายปีก็ทำได้เพียงเคารพนบนอบต่อเขา ยอมให้ถูกลากมาคารวะข้า
อวิ๋นอวี้พูดกับข้าด้วยท่าทีจริงจัง “ผู้ตรวจการน้อยเฮ่อนั้นเป็นคนเก่งที่หาได้ยาก เพียงแต่อายุยังน้อย ประสบการณ์ยังอ่อนด้อย หวังว่าในวันข้างหน้าไหวอ๋องจะช่วยดูแลด้วย”
จากนั้นก็หันไปพูดยิ้มๆ กับผู้ตรวจการน้อยสกุลเฮ่อที่ทำตัวอยู่ในระเบียบเสียจนคล้ายไม้กระดานฝาโลง “เจ้าคงรู้จักไหวอ๋อง เขาไม่เพียงเป็นพระปิตุลาของฝ่าบาท แต่ยังเป็นพระปิตุลาที่สนิทสนมกับฝ่าบาทมากที่สุดด้วย”
คำพูดนี้ข้าได้ยินมาตลอดระยะเวลาหลายปีจนชินชาเสียแล้ว ดังนั้นจึงแค่หันไปมอบรอยยิ้มเป็นมิตรให้แก่ผู้ตรวจการน้อย
ทว่าแค่การเข้าพบปกติธรรมดาครั้งหนึ่งก็สมควรเป็นเช่นนี้
จนกระทั่งชายาของข้าหุนหันเข้ามา
ฉีหลี่ หลานอีกคนของข้าซึ่งเป็นทายาทโซ่วอ๋องเคยติติงข้าว่า ‘เสด็จอาอะไรก็ดีทั้งนั้น เพียงแต่ไม่ว่าเจอเรื่องอะไรก็คิดแต่ว่าเหตุผลในใต้หล้านี้ล้วนอยู่ข้างท่าน สิ่งใดๆ ล้วนเป็นความผิดของคนรอบข้าง ส่วนท่านไม่เคยผิดเลย ข้อเสียนี้ช่างทำให้คนขัดใจเสียจริง’
ข้ารู้สึกว่าคำพูดของเขาไม่ถูกต้องมาโดยตลอด ข้านึกค้านอย่างยิ่ง แต่ไหนแต่ไรมาข้ามักพิจารณาตนเองเสมอ เมื่อเจอเรื่องอันใดก็จะหาว่าตนทำผิดเช่นไรก่อน แต่ปกติแล้วก็จะหาไม่เจอจริงๆ เช่นนี้ถึงไปหาดูจากผู้อื่น
ตอนนี้ก็เช่นกัน ข้ามองไปที่ชายา ก็ยังคงพิจารณาตนเองว่าไปทำเรื่องอะไรที่ทำให้นางกระทำกิริยาผิดมารยาทน่าตกตะลึงเช่นนี้
ข้าพิจารณาอยู่ชั่วครู่ พบว่าไม่ได้ทำอะไรผิด
ตั้งแต่นางแต่งเข้าวังไหวอ๋องของข้า หลายปีมานี้ข้าก็เคารพ เลี้ยงดูนาง นางต้องการทอง ข้าก็จะไม่ให้เงินนางเด็ดขาด นางต้องการสวมผ้าไหม ข้าก็จะไม่ให้นางสวมผ้าต่วนแน่นอน
หนึ่ง ข้าไม่เคยพูดกับนางรุนแรง สอง ข้าไม่เคยรับอนุ
แต่เหตุใดชายาถึงได้ยืนหลังตั้งตรง เชิดหน้ายืดอกแล้วพูดว่า “ท่านอ๋อง ข้าท้องแล้ว! แน่นอนว่าไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขของท่าน!”
โถงรับแขกเงียบสนิท
สีหน้าของผู้ตรวจการน้อยเฮ่อตกใจจนซีดขาว ส่วนอวิ๋นอวี้หลุดหัวเราะครั้งหนึ่ง
นางเบี่ยงกาย ชี้ไปยังเงาร่างที่ถูกมัดเป็นขนมจ้างตรงข้างประตูกั้นโถงรับแขกกับห้องด้านใน “ข้าขอบอกท่านอ๋องอย่างไม่กลัว เด็กในท้องของข้าเป็นลูกของข้ากับเขา!”
ผู้ตรวจการน้อยเฮ่อที่หน้าซีดเซียวตัวสั่นระริกพลันลุกขึ้นคิดจะไป แต่อวิ๋นอวี้ทับชายแขนเสื้อเขาอยู่ บังคับให้เขานั่งลง ส่วนตนเองยิ้มระรื่นชมเหตุการณ์ต่อไป
ชายามองข้าด้วยใบหน้าอาบน้ำตา กล่าวเสียงเฉียบขาด “วันนี้ข้าทำเรื่องเช่นนี้ เพราะข้าต้องการจะพูดออกมาต่อหน้าธารกำนัล ท่านอ๋องคิดจะจัดการข้าเช่นไร” นางจ้องข้า สายตาประหนึ่งมีด “ข้าต้องการจะบอกกับท่านว่าคนที่ไล่ต้อนข้าจนถึงขั้นนี้ล้วนเป็นท่านทั้งสิ้น เป็นท่านที่ค่อยๆ บีบบังคับข้าจนถึงวันนี้ ข้าขอยอมตายดีกว่าทนเช่นนี้ต่อไป ต่อให้ข้าดิ้นรนจนต้องตายก็จะทำให้ท่านสูญสิ้นซึ่งศักดิ์ศรี”
สองตาของนางแดงก่ำ เต็มไปด้วยความแค้นถึงขั้นเฉือนเนื้อเถือกระดูกข้า
“ท่านอ๋อง ถึงเวลานี้แล้วไฉนท่านยังไม่พูดอะไรอีก ไยไม่กล้าต่อว่าข้า ไม่กล้าเรียกคนมาลากข้าออกไป นั่นเพราะว่าท่านไร้ความกล้า เพราะว่าท่านติดค้างข้าอย่างไรเล่า”
ข้าได้ยินเสียงอุทาน คล้ายอวิ๋นอวี้กำลังจิบน้ำชาแล้วถือถ้วยชมดูต่อ แววตาสื่ออารมณ์สนุกคึกคักมาก
ชายาก้าวมาด้านหน้าหนึ่งก้าว จ้องข้าเขม็ง “เพราะท่านกลัวผู้คนจะรู้ว่าไหวอ๋องเฉิงจวิ้นเป็นผู้ชมชอบบุรุษและไร้ความสามารถบนเตียง”
เรื่องขายหน้าที่สุดในรอบพันปีเกิดขึ้นวันนี้ที่วังไหวอ๋อง
ถ้วยชากระทบโต๊ะเสียงดังกึก เสียงอวิ๋นอวี้เอ่ยขึ้น “พระชายา ข้าน้อยที่เป็นคนนอกขอกล่าวสักประโยค เรื่องไร้ความสามารถบนเตียง คงเป็นท่านที่ใส่ความท่านอ๋องแล้ว ท่านอ๋องเคยไปสถานเริงรมย์กับพวกข้าอยู่หลายครา แม้จะโปรดบุรุษเพศ แต่พวกข้าน้อยรวมทั้งเหล่าคณิกาชายหญิงสามารถเป็นพยานได้ ไหวอ๋องค่อนข้างช่ำชองเรื่องบนเตียง มิได้ไม่ถนัดอย่างที่ท่านอ้าง”
ชายาพลันส่งเสียงหัวเราะดังก้อง หัวเราะจนตัวโก่ง หายใจแทบไม่ทัน
นางชี้นิ้วมาทางข้า “ท่านรู้หรือไม่ ท่านทำลายทั้งชีวิตของข้า ข้าแค้นท่าน ไม่ว่าเป็นคนเป็นผี ข้าล้วนไม่ละเว้นท่าน วันนี้ข้าจะทำให้เป็นเรื่องใหญ่ต่อหน้าคนนอก คนใต้หล้าจะได้รู้ว่าไหวอ๋องเป็นเต่า* ตัวหนึ่ง”
นางชี้ไปยังขนมจ้างที่ข้างประตู พูดกลั้วหัวเราะในลำคอ “เป็นเช่นไรเล่าท่านอ๋อง เห็นชู้ของข้าแล้วรู้สึกแปลกใจบ้างหรือไม่ ไม่ทราบว่าท่านอ๋องคิดจะลงโทษข้ากับเขาเช่นไร”
ขนมจ้างเงยหน้าขึ้นช้าๆ ใช้ดวงตาใสกระจ่างมองมายังข้า
ขมับของข้าเต้นตุบๆ ปวดเสียจนมึนงงไปครึ่งศีรษะ
ข้าอยากจะบอกกับนางว่า ‘เจ้าผิดแล้ว ตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดเหตุการณ์ในวันนี้เวลานี้มิใช่ข้า’
ชายาแต่งกับข้ามาหลายปี ข้ากับนางไม่เคยได้เป็นสามีภรรยากันทางกายจริง นั่นมิใช่เพราะข้าไม่อยาก แต่เป็นนางเองที่ไม่ยอมมาโดยตลอด
ชายาเป็นบุตรีของขุนนางหลี่ ราชเลขาธิการที่มีชื่อเสียงด้านความจงรักภักดี ในราชสำนักที่สามเนื้อร้ายแปดเปื้อนจนด่างพร้อย ขุนนางหลี่ประหนึ่งเสาตี่จู้** ขาวสะอาดที่ตั้งกลางน้ำเน่าไหลเชี่ยว เป็นที่ไว้วางใจของอดีตฮ่องเต้กับไทเฮาองค์ปัจจุบันยิ่ง ท้ายที่สุดหักโหมงานเกินไป อายุเพียงสี่สิบหกปีก็จบชีวิตลงในจวนว่าราชการนั่นเอง
ครั้งนั้นข้ายังเป็นหนุ่มน้อยที่ถึงวัยแต่งภรรยา ไทเฮาเกรงว่าข้าจะแต่งงานกับลูกสาวของหวังฉินหรืออวิ๋นถัง ทำให้เนื้อร้ายรวมเป็นกลุ่มก้อนเดียวกัน จึงเป็นแม่สื่อขอบุตรีของขุนนางหลี่ให้กับข้าด้วยพระองค์เอง จะอย่างไรก็มีขุนนางหลี่คอยเหนี่ยวรั้งเนื้อร้ายเช่นข้าเอาไว้
ข้าก็ยินดีที่จะรับนางมาเป็นชายา คุณหนูหลี่มีชื่อเสียงเลื่องลือในเมืองหลวง เล่าลือกันว่านางมีรูปลักษณ์งดงาม เก่งกาจพิณหมากกลอนภาพ ไม่มีหนุ่มน้อยผู้ใดมิชอบคนงามเช่นนี้ ข้ารู้ว่าชื่อเล่นของนางคือ ‘หรูหรู’ ชอบสีเหลืองอ่อนหรือสีชาด ชอบอ่านกลอนของไป๋จูอี้*** ทั้งนี้เพราะข้าตั้งใจใช้คนไปสืบเรื่องของนางมาโดยเฉพาะ ขาดก็แต่ปีนกำแพงจวนสกุลหลี่ ใช้ใบไม้เขียนกลอนสองสามประโยคแล้วโยนเข้าไปตกในสวนใกล้ห้องของนางเท่านั้น
ทว่าต่อมาข้าได้ยินว่าเมื่อนางรู้ว่าต้องแต่งให้กับข้าแล้วก็ร้องห่มร้องไห้จะเป็นจะตาย อดอาหารต่อต้านไม่ต้องการแต่งให้กับอ๋องชั่วเช่นข้า ขุนนางหลี่กับภรรยาอธิบายเหตุผลกับนาง หลังจากกล่อมอยู่หลายวัน คุณหนูหรูหรูถึงตัดสินใจสละตนเองเพื่อคนใต้หล้า แต่งเข้าวังไหวอ๋องของข้า
เมื่อข้าได้ยินเรื่องเช่นนี้แน่นอนว่าต้องรู้สึกไม่ยินดี แต่คิดแล้วข้าที่เป็นถึงอ๋องคงไม่ถูกรังเกียจถึงเพียงนั้น รอจนนางแต่งเข้าวังแล้วได้เห็นรูปลักษณ์หล่อเหลางามสง่าและตัวตนแท้จริงอันซื่อสัตย์จริงใจของข้าแล้ว ไม่แน่ว่าอาจเปลี่ยนใจร่วมใช้ชีวิตกับข้าอย่างมีความสุขก็เป็นได้
* เต่าในที่นี้เป็นคำที่ใช้เรียกบุคคลที่ภรรยามีชู้
** เสาตี่จู้ เป็นชื่อภูเขาที่ตั้งอยู่กลางแม่น้ำหวงเหอที่ไหลเชี่ยว ลักษณะคล้ายเสา
*** ไป๋จูอี้หรือไป๋เล่อเทียน นักกลอนแนวทางสัจนิยมที่มีชื่อเสียงสมัยราชวงศ์ถัง
จนกระทั่งถึงคืนเข้าหอ ข้าเลิกผ้าคลุมศีรษะของนาง ครั้นแล้วก็ได้เห็นใบหน้างามล่มเมือง นัยน์ตาของนางหลุบมองต่ำ ภายใต้แสงเทียน นางแลดูงามสง่าเยือกเย็นเป็นพิเศษ ทว่าไม่แสดงอารมณ์แม้แต่น้อย สีหน้าเย็นชาคล้ายถ้วยน้ำเปล่า
ข้าคิดว่านางขัดเขิน จึงจับมือของนางขึ้นมาแล้วพูดว่า ‘ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปเจ้ากับข้าคือภรรยาสามี เจ้าเป็นชายาของไหวอ๋อง ภรรยาของข้าจิ่งเว่ยอี้ เจ้าไม่ต้องเรียกข้าว่าท่านอ๋อง เรียกชื่อข้าเว่ยอี้หรือสมญานามเฉิงจวิ้นก็ได้ตามใจ หรือเจ้าจะเรียกว่าพี่อี้หรือพี่จวิ้น (หล่อเหลา) ย่อมได้ทั้งสิ้น’
ข้าหวังว่าคำว่า ‘พี่จวิ้น’ จะหยอกให้นางยิ้มได้ แต่ใบหน้าของนางกลับยังคงเรียบเฉยเหมือนน้ำเย็น มือที่ถูกข้ากุมไว้ก็เย็นเฉียบ ทั้งยังสั่นระริก
ข้าก้มศีรษะลงคิดจะจูบริมฝีปากของนาง นางหลับตาลงด้วยท่าทีขอยอมสละเพื่อคุณธรรม ขอบตาค่อยๆ มีหยดน้ำตาซึม
ข้าชะงักกลางคัน ไม่ได้จุมพิตลงไป ถอนหายใจถามนาง ‘ข้าแค่แตะต้องเจ้า เจ้าก็เสียใจถึงเพียงนี้เชียวหรือ’
นางไม่เอ่ยวาจา หยดน้ำที่ขอบตาเอ่อล้นเป็นสายไหลผ่านแก้มของนาง
ข้ารู้สึกกลัดกลุ้ม ข้ามิใช่คนที่ชอบบังคับใครให้ลำบากใจ และไม่ถึงขั้นขาดคู่เรียงเคียงหมอน ไม่จำเป็นต้องบังคับสตรีที่ดีงามเช่นนี้
ดังนั้นข้าจึงเอ่ยอย่างเข้าอกเข้าใจว่า ‘ในเมื่อเจ้าไม่ยินยอมให้ข้าแตะต้อง ข้าก็จะไม่แตะต้องแล้ว รอจนเมื่อใดเจ้ารู้สึกว่าพร้อม เจ้ากับข้าค่อยกระทำกิจของสามีภรรยาแล้วกัน’
เมื่อกล่าวจบข้าก็ไปยังห้องหนังสือ ข้ามคืนวิวาห์อย่างเงียบเหงาเดียวดาย
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ข้าก็ยังคงปฏิบัติต่อนางเฉกเช่นชายาของข้า สิ่งใดที่ควรมีนางมิเคยขาด นางต้องการสิ่งใด ข้าก็มอบสิ่งนั้นให้นาง
บางคราข้ายังถามนาง ‘ชายา เวลานี้เจ้าเปลี่ยนใจหรือยัง’
ปีสองปีแรกนางยังคงปั้นหน้าเย็นชา ปีที่สามที่สี่นางเริ่มส่งเสียงหึแล้วสะบัดหน้าหนี ปีที่ห้าที่หกในที่สุดนางก็เหลือบมองข้า จากนั้นก็ใช้ฟันขาวกัดริมฝีปากก่อนหันหน้าหนี ขณะข้ากำลังคิดว่าในเมื่อมีการพัฒนาขึ้นเล็กน้อย ไม่แน่ว่าวันใดนางอาจจะยินยอมพร้อมใจ วันนี้นางกลับทำเช่นนี้กับข้าได้
ชายา ข้าไม่เข้าใจเจ้าเลยจริงๆ
ที่ไม่เข้าใจยิ่งกว่านั้นก็คือตอนนี้นางกลับพูดย้ำไปย้ำมาปัดความผิดมาที่ข้าทั้งหมด หาว่าข้าละเลยนาง ไม่เพียงติติงว่าข้าชมชอบบุรุษเพศ ยังหาว่าข้าไร้ความสามารถอีก
หรือว่านี่จะเป็นความผิดของข้าจริงๆ
เรื่องชมชอบบุรุษเพศขอพักไว้ไม่กล่าวถึง นางไม่ยอมสนใจข้า แต่ข้าคงไม่อาจทำตัวเป็นนักบวชด้วยเหตุนี้
เช่นนั้นถึงเรียกว่าผิดปกติแล้ว
ในเวลานี้เองขนมจ้างที่อยู่ข้างประตูก็เอ่ยปากพูด “ท่านอ๋อง ข้าน้อยกับพระชายามิได้กระทำเรื่องเช่นนั้น”
ในห้องโถงพลันเงียบสงัด
ดวงตาสว่างเป็นประกายของอวิ๋นอวี้มองไปที่เขาก่อนมองมาที่ข้า
ขนมจ้างมีดวงตาใสกระจ่างเปิดเผยจริงใจ “ข้าน้อยได้รับความกรุณาจากท่านอ๋อง ถึงได้พักพิงอาศัยที่วังอ๋อง เรื่องผิดศีลธรรมจรรยาเช่นนี้ แม้ร่างจะแหลกสลายก็ไม่กระทำแน่นอน”
เขาหลับตาลง “ท่านอ๋องกับพระชายาฆ่าข้าน้อยได้ ลงโทษข้าน้อยได้ แต่พระชายาดูหมิ่นเกียรติของข้าน้อย ยิ่งกว่านั้นยังดูหมิ่นเกียรติของท่านอ๋องเช่นนี้ ข้าน้อยไม่ขอยอมทนเด็ดขาด”
เสียงของเขาไม่นับว่าดังมากและค่อนข้างราบเรียบ แต่ไม่รู้ด้วยเหตุใด ในห้องโถงอันเงียบสงัดนี้กลับให้ความรู้สึกฮึกเหิม
นางหัวเราะอีกคราหนึ่ง ก่อนพูดแทรกท้ายประโยคของเขาว่า “เกียรติเช่นนั้นหรือ ฮ่าๆ คนเช่นเจ้ากลับพร่ำพูดถึงเกียรติได้ ช่างน่าขำนัก ต้องให้ข้าพูดให้ทุกคนฟังหรือไม่ว่าท่านอ๋องนำตัวเจ้ากลับมาทำอะไร”
คำพูดของนางเต็มไปด้วยคำเสียดสีจากความเกลียดชัง ท้ายที่สุดข้าก็ไม่อาจไม่เอ่ยปาก “ชายา เหอจ้งคือผู้ที่ข้าชื่นชมในความสามารถ จึงจ้างมาทำงานบัญชี เจ้าเองก็รู้ดี”
ชายาพูดว่า “ท่านอ๋อง เรื่องดำเนินมาจนถึงวันนี้แล้ว ไยต้องเสแสร้งอีก บุรุษหนุ่มที่ท่านพากลับมามีใครที่ท่านบริสุทธิ์ใจด้วยบ้าง”
“หึๆ” อวิ๋นอวี้ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้รับแขกส่งเสียงหัวเราะอีกครั้ง
เหอจ้งพลันหน้าแดง “ข้าน้อย…”
เรื่องมาถึงขั้นนี้ ข้าไม่อาจไม่พูดด้วยความโมโห “ชายา เจ้าจะยังเรื่อยเจื้อยไร้แก่นสารไปถึงเมื่อใด ข้าเคยพาคนที่มีความสัมพันธ์กับข้ากลับวังอ๋องเมื่อใดกัน”
อวิ๋นอวี้กระแอมครั้งหนึ่งก่อนปล่อยเสียงหัวเราะดังลั่น ส่วนใบหน้าผู้ตรวจการน้อยเฮ่อปรากฏหลากหลายสีสัน คล้ายจะแข็งทื่อไปแล้ว
เห็นเหตุการณ์เลยเถิดจนยากจะจัดการแล้วข้าก็ถอนหายใจยาว “เอาเถิด ชายาก็ก่อกวนมาพอแล้ว เรื่องที่ต้องการให้ผู้อื่นรู้ก็รู้กันหมดแล้ว เรื่องนี้พอกันแค่นี้ก่อน” ข้าเรียกองครักษ์เข้ามาพาชายาและเหอจ้งไปแยกกันกักตัวในห้องว่างชั่วคราว
ตอนที่ชายาถูกพาออกไปนางยังคงดีดดิ้น เอ่ยปากด่าทอเสียงดัง ขนาดถูกนำตัวไปครู่หนึ่งแล้ว เสียงของนางยังก้องกังวานอยู่ไม่หายไปไหน
อวิ๋นอวี้หมุนฝาถ้วยชาพลางพูดว่า “วันนี้ช่างบังเอิญนัก ไม่คาดว่าพาผู้ตรวจการน้อยเฮ่อมาคารวะท่านอ๋องแล้วจะได้เห็นเหตุการณ์ที่หาชมได้ยากยิ่ง”
ผู้ตรวจการน้อยเฮ่อไม่เอ่ยปาก ตัวสั่นงันงก
อวิ๋นอวี้ยิ้มให้เขา “เจ้าไม่ต้องกลัว เจ้ากับข้าได้เห็นเหตุการณ์ที่ไม่สมควรเห็น นับว่าเปิดหูเปิดตา แม้ท่านอ๋องจะฆ่าปิดปากทุกคนที่อยู่ที่นี่ในวันนี้ ก็ยังมีอีกตั้งหลายคนรวมทั้งข้าตายเป็นเพื่อนเจ้าหรือมิใช่”
ปิดปาก ใครจะปิดปากคนทั้งหมดได้
เกรงว่ายังไม่ถึงครึ่งวัน คนทั่วเมืองหลวงคงรู้ฉายายอดเต่าของข้าไหวอ๋องแล้ว
อวิ๋นอวี้จิบชาคำหนึ่ง ก่อนส่งเสียงล้อเลียน “เมื่อครู่ข้าเห็นว่าบัณฑิตเหอจ้งผู้นั้นหน้าตาค่อนข้างงามอยู่ ช่วงนี้ท่านอ๋องชมชอบรสชาติจืดชืดลงเรื่อยๆ แล้ว”
ข้ารู้สึกขมขื่นยิ่ง จนคร้านจะอธิบายแก้ความ
อธิบายไปผู้ใดจะเชื่อ ด้วยชื่อเสียงของข้า ข้าอธิบายอะไรไปล้วนไม่มีใครเชื่อถือ
แม้ข้าจะชมชอบบุรุษ แต่ก็ทำอยู่แต่ในหอโคมเขียว ไม่เคยเกี้ยวบุรุษทั่วไปให้เสื่อมเสีย เมื่อสองเดือนก่อนบัณฑิตเหอจ้งผู้นี้หิวจนเป็นลมบนถนนขณะเร่ขายภาพอักษร ข้าเกิดใจดีขึ้นมาจึงรับไว้ให้อยู่ในวัง แล้วใช้คนจัดหางานตำแหน่งบัญชีให้ทำด้วย ถือว่าทำดีสั่งสมบุญ ผ่านมาหลายวัน ข้าเกือบจะลืมเขาไปแล้ว ไม่นึกว่าชายาจะคิดโยงไปเองเช่นนี้
เรื่องนี้นับว่าข้าพลอยทำให้เขาเดือดร้อนแล้ว
อีกทั้งข้าไม่เชื่อเด็ดขาดว่าเขาจะเป็นชู้กับชายา ทั้งเป็นบิดาของเด็กในท้อง
อวิ๋นอวี้วางถ้วยชา ลุกขึ้นยืนกล่าวว่า “ท่านอ๋อง หากท่านยังไม่ปิดปากข้ากับผู้ตรวจการน้อยเฮ่อ พวกข้าคงต้องขอตัวแล้ว”
ข้ายิ้มอย่างขมขื่น “วันนี้ทำให้ทั้งสองท่านชมเรื่องน่าขันแล้ว คงไม่เดินไปส่ง”
อวิ๋นอวี้ยกมือคารวะ ก่อนพาผู้ตรวจการน้อยจากไป ข้านั่งอยู่บนเก้าอี้ พลันคิดอยากให้เวลานี้มีใครเอาไม้มาฟาดข้าให้สลบที
เหล่าข้ารับใช้นางกำนัลต่างแอบมองข้าด้วยสายตาเวทนาและคาดเดา จางเซียว หัวหน้าข้ารับใช้ฝ่ายในที่อายุมากที่สุดในวังอ๋องเอ่ยถามข้าอย่างระมัดระวัง “ท่านอ๋อง เรื่องของพระชายา…”
ข้ายกมือขึ้นมาวางบนหน้าผาก “อย่าเพิ่งให้เรื่องรั่วไหลออกไป หาหมอมาตรวจชีพจรนางก่อน”
ตรวจพบชีพจรตั้งครรภ์ของชายาจริง อายุครรภ์เกือบสองเดือนแล้ว
เด็กนี่ไม่ใช่ลูกของข้าแน่นอน สองเดือนก็เป็นระยะเวลาที่เหอจ้งเข้ามาอยู่ในวังพอดี
ข่าวคราวแพร่ออกไปเร็วกว่าที่ข้าคาดไว้ ยามบ่ายก็มีคนฝ่ายในรับพระบัญชาของฮ่องเต้มาเรียกข้าเข้าวังแล้ว
ภายในอุทยานหลวงใบไม้เขียวครึ้ม บุปผาสดสวย ข้าก้าวย่างบนระเบียงคดเคี้ยว ปลาไนในสระน้ำใต้ระเบียงถูกเลี้ยงจนเคยชิน พอสัมผัสถึงเงาคนก็สะบัดหัวหางว่ายมาออรวมกัน น้ำเป็นระลอกสีแดงไล่ตามหลังเงาของคนที่อยู่เหนือสระ
ณ สุดปลายทางของระเบียงทางเดิน ผ่านสองพุ่มดอกไม้ หนึ่งก้อนหินพิสดาร ภายในประตูตำหนักที่แง้มเปิดอยู่กึ่งหนึ่ง เงาร่างเหลืองสว่างกำลังถือม้วนกระดาษจับพู่กัน ขันทีฝ่ายในเอ่ยทูล เมื่อได้ยินเสียงอนุญาตให้เข้าเฝ้า ข้าก็ก้าวเข้าตำหนัก คุกเข่าลงหน้าโต๊ะทรงพระอักษรด้วยความเคารพ ชายแขนฉลองพระองค์สีเหลืองสว่างปลิวไหวเล็กน้อย จากนั้นทรงวางกระดาษและพู่กันในมือลง “เสด็จอามาแล้วหรือ รีบลุกขึ้นเถิด มิต้องมากพิธี”
ช่วงหลายปีมานี้น้อยครั้งที่ฝ่าบาทจะทรงเรียกข้าว่าเสด็จอา ปกติเรียกข้าว่าไหวอ๋องหรือไม่ก็เฉิงจวิ้น ทุกครั้งที่เรียกเสด็จอาข้ามักอกสั่นขวัญหายเพราะต้องมิใช่เรื่องดีแน่
ครั้นแล้วหลังจากข้าลุกขึ้นก็เห็นคิ้วของฮ่องเต้ขมวดเล็กน้อย พระองค์ตรัสด้วยสีหน้าที่แสดงความห่วงใย “เราได้ยินมาว่าที่วังของเสด็จอาเกิดเหตุวิกฤตในครอบครัว”
ข้าทูลตอบ “ไม่ถึงขนาดเหตุวิกฤตพ่ะย่ะค่ะ เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยอันไม่ควรค่าแก่การเอ่ยถึงเท่านั้น”
คิ้วของฉีเจ่อคลายออก นั่งพิงพนักเก้าอี้มังกร “เสด็จอาเตรียมจัดการเรื่องนี้อย่างไร”
ชายาของข้าผู้นี้มีไทเฮาเป็นแม่สื่อ ฮ่องเต้เป็นเจ้าภาพงานแต่ง หากข้าต้องการจัดการนางก็สมควรทูลบอกทั้งสองพระองค์ถึงจะถูก
ดังนั้นข้าจึงทูลว่า “นี่เป็นเรื่องอับอายในครอบครัว กระหม่อมไม่ต้องการให้แพร่ออกไปภายนอก จึงคิดสืบสวนเรื่องนี้ภายในให้กระจ่างเสียก่อนค่อยคิดถึงเรื่องอื่นพ่ะย่ะค่ะ”
ฉีเจ่อหยิบฎีกาตรงหน้าขึ้นมาพลิกดู “ในเมื่อเสด็จอาไม่ต้องการให้เรื่องแพร่ออกสู่ภายนอก เราก็จะได้บอกทางสำนักราชวังว่าอย่าเพิ่งแทรกแซง เราได้ยินมาว่าชายาสารภาพทั้งหมดแล้ว เสด็จอายังจะต้องสืบสวนอันใดอีก”
ข้าทูลว่า “แม้ชายาจะกล่าวเช่นนั้น ทางที่ดีก็ยังคงต้องสืบหาความจริงอีกครั้ง ไม่อาจอาศัยความเพียงข้างเดียวมาใส่ความผู้บริสุทธิ์”
ฉีเจ่อปิดฎีกา “เสด็จอาพูดว่าความเพียงข้างเดียว คิดว่าคงหมายถึงคำพูดของชายา เช่นนั้นผู้บริสุทธิ์หมายถึงผู้ใด”
ข้าทูลตอบ “ชายากับเหอจ้ง ผู้ที่เกี่ยวข้อง…ทั้งหมดล้วนสมควรสืบสวนอย่างถี่ถ้วน ไม่อาจใส่ความผู้ใด กระหม่อมมีความเห็นเช่นนี้”
ฉีเจ่อกำฎีกากล่าวว่า “อ้อ ที่แท้ผู้ที่เกี่ยวข้องอีกคนชื่อว่าเหอจ้ง” มุมปากคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “ครั้งหน้าหากเสด็จอาจะพาคนกลับวังอ๋องคงต้องระมัดระวังสักเล็กน้อย”
เฮ่อ ในเมื่อไม่อาจอธิบายได้ก็ไม่อธิบายแล้วกัน
ข้าโค้งกายแล้วทูลไปว่า “กระหม่อมรับราชโองการ วันหน้าจะระมัดระวังแน่นอน”
ฉีเจ่อโยนฎีกาในมือกลับไปที่โต๊ะ “เอาเถิด ในเมื่อเสด็จอายังต้องทำการสืบสวนก็กลับไปวังอ๋องก่อนแล้วกัน”
ข้าคุกเข่าทูลลาอย่างนบนอบ จากนั้นก็ถอยออกจากตำหนัก
ที่ระเบียงทางเดิน อวิ๋นอวี้กับอีกคนหนึ่งกำลังเดินมาทางนี้ พวกเขาพบกับข้าที่กลางระเบียงทางเดิน
อวิ๋นอวี้กล่าวยิ้มๆ “ที่แท้ฝ่าบาทก็ทรงทราบเรื่องแล้ว ท่านอ๋อง ข้าน้อยต้องขอบอกท่านว่าเรื่องนี้ข้าน้อยมิได้เป็นคนพูด เพียงแต่ข้าน้อยต้องขอกล่าวมากความสักประโยคว่าท่านควรจะปรับปรุงนิสัยเสเพลของท่านบ้าง สตรีแน่นอนว่าพึ่งพาไม่ได้ แต่ถ้ามองย้อนกลับบุรุษเองก็เชื่อถือไม่ได้เช่นกัน” เขายิ้มกว้างพร้อมเหลือบมองข้างกาย “ท่านเสนาบดีหลิ่ว ข้ากล่าวถูกต้องหรือไม่”
ข้ามองคนข้างกายอวิ๋นอวี้ ก่อนยิ้มแหยพูดว่า “ใต้เท้าอวิ๋นอย่าได้สาดเกลือใส่สะเก็ดแผลของข้าอีกเลย เรื่องเช่นนี้แน่นอนว่าไม่สะดวกจะกล่าวอันใด ใต้เท้าอวิ๋นอย่าได้หาพรรคพวกเลย”
แม้อวิ๋นอวี้มักชอบถากถาง แต่ก็มีขอบเขต พูดถึงแค่นี้ก็หยุด หาเรื่องมาพูดคุยอีกสองสามประโยคแล้วต่างคนก็ต่างขอตัวกลับ
คนที่อยู่ด้านข้างเขาก้มตัวเล็กน้อย “ไหวอ๋อง ข้าขอตัวก่อน”
ข้าก็คำนับตอบ “เชิญเสนาบดีหลิ่วตามสบาย”
ข้ามองอวิ๋นอวี้กับแผ่นหลังสีน้ำเงินเข้มนั้นค่อยๆ เดินจากไปอีกทาง ความรู้สึกหลายอย่างในใจปนเปไปหมด แต่ก็อดไม่ได้ที่จะมองเงาร่างนั้นให้นานขึ้นอีกนิด ใต้หล้าล้วนรู้ว่าข้าไหวอ๋องนั้นชมชอบบุรุษ
แท้จริงแล้วแรกเริ่มข้าเสแสร้ง มิได้ชมชอบบุรุษจริง
ตอนนั้นข้าคิดว่าไทเฮากับฮ่องเต้หลานชายของข้ามักจะระแวงข้าอยู่ตลอด คงเหนื่อยยิ่งนัก ถ้าข้ามีทายาท คาดคะเนอย่างดีที่สุดแล้วสถานภาพของเขาก็คงไม่ต่างไปจากข้าในตอนนี้เท่าไร
ดังนั้นมิสู้ให้เชื้อสายของไหวอ๋องจบสิ้นไปเลยที่รุ่นของข้า ข้าจึงแสร้งเป็นชื่นชอบบุรุษเพื่อให้ไทเฮาและฮ่องเต้สบายใจ
คำเท็จพูดมากเข้าอาจถึงขั้นหลอกตัวเองให้เชื่อถือได้ เสแสร้งชอบบุรุษมากเข้าก็มึนๆ งงๆ ชอบเข้าจริงเสียแล้ว
รอจนข้าพบว่าทีเล่นกลายเป็นทีจริง ความผิดพลาดนี้ก็ไม่อาจแก้ไขกลับมาเช่นเดิมได้แล้ว
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อใดที่ใจของข้ามีคนผู้หนึ่งอาศัยอยู่ จะไล่อย่างไรก็ไม่ไป
อยู่ในที่มืดนานวัน จึงชอบความสว่าง
มักกินแต่หวาน จึงเฝ้าหมายจะชิมรสเค็ม
ข้าคิดว่าในตอนนั้นอาจเป็นเพราะเหตุผลนี้ถึงทำให้ข้าถูกใจคนผู้นี้ หลิ่วถงอี่ นามรอง หรานซือ
ข้าคือเนื้อร้ายก้อนใหญ่ที่สุดของราชสำนัก เขากลับเป็นขุนนางผู้ซื่อสัตย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดนับแต่ขุนนางหลี่ เปรียบเสมือนเสาตี่จู้ขาวสะอาดที่ตั้งกลางน้ำเน่าไหลเชี่ยว
เขาคือเสนาบดีที่ดี ไม่ว่าจากปากของคนในราชสำนักหรือชาวบ้าน เมื่อข้าพบเขา ข้าทำได้เพียงรับหนึ่งคำขานว่า ‘ไหวอ๋อง’ จากเขา และเรียกเขาว่า ‘เสนาบดีหลิ่ว’ เท่านั้น