“เจ้าเรียกข้ามาทำไม?” ซือคงหลินเตะเข้าที่ปากชายเจ้าของขวานคู่และพูดด้วยความสงสัย “เมื่อกี้ข้ากำลังคิดอยู่ว่าพวกเจ้ารู้ชื่อข้าได้อย่างไร? เรารู้จักกันหรือ?”
“พรวด!” ชายที่ถือขวานพ่นเลือดออกมาจากปาก
“สกปรกมาก!” ซือคงหลินขมวดคิ้ว เขาหันและเดินไปข้างหน้าเจ้าเมืองที่เจ็ดและยื่นเท้าออกมา “เลียรองเท้าให้ข้า แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า”
“กลั่นแกล้งกันมากเกินไปแล้ว! ซือคงหลิน ตาแก่หัวขโมย อ๊า…” ก่อนที่เขาจะพูดจบเสียงร้องก็ดังขึ้น เสียงกรีดร้องที่ทำให้ผู้พบเห็นหรือได้ยินจะต้องเสียใจน้ำตาไหล เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดซึ่งดูเหมือนจะหมดเรี่ยวแรงนั้นทำให้ทั้งแคลร์และเฟิงอี้เซวียนขนลุกซู่ มันต้องเจ็บปวดแค่ไหนกันนะ?
ร่างกายของคนๆ นั้นไม่มีบาดแผลใดๆ! ซือคงหลินแค่สะบัดนิ้วของเขาเพื่อให้เปลวไฟสีทองห่อหุ้มร่างของคนนั้นไว้ แต่ร่างกายของคนๆ นั้นไม่มีรอยแผล ใดๆ แต่ทำไมถึงร้องได้เจ็บปวดขนาดนี้ล่ะ!
“หยุด ข้าขอร้อง หยุดเถอะ! ข้าจะเลียเอง!” เจ้าเมืองที่เจ็ดขยับไม่ได้และร้องโหยหวนอย่างสิ้นหวัง น้ำตาไหลออกมาจากดวงตาของเขา
ทั้งเฟิงอี้เซวียนและแคลร์ที่เฝ้าดูอยู่หยุดคิดด้วยความตกใจ นี่คือชายผู้แข็งแกร่งที่ดุร้ายและทรงพลังที่ต้อนจนพวกเขาจนมุมเมื่อกี้งั้นหรือ? ตอนนี้แย่ยิ่งกว่าหมาตกน้ำเสียอีก!
ซือคงหลินทำอะไรกับคนๆ นั้นกันแน่ เขาถึงเจ็บปวดขนาดที่ยอมทิ้งศักดิ์ศรีอีกครั้ง
ท่ามกลางสายตาที่ตกตะลึงของแคลร์และเฟิงอี้เซวียน เจ้าเมืองเจ็ดผู้อยู่ยงคงกระพันได้เลียรองเท้าของซือคงหลิน นี่เป็นสิ่งที่น่าเศร้ามากจนแทบร้องไห้ออกมา หลังจากเลียไปแล้ว สุดท้ายเขาก็ไม่ต้องลิ้มรสไฟดอกบัวนั่น ในใจของเขาก็ยิ่งเศร้าสุดๆ ไม่คิดเลยว่าหลังจากที่พวกเขาฝึกหนักมาหลายปี สุดท้ายแล้วพวกเขาก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของซือคงหลิน ซือคงหลินสามารถสังหารพวกเขาได้ในเสี้ยววินาทีด้วยการเคลื่อนไหวเพียงครั้งเดียวเท่านั้น พวกเขาพัฒนาความแข็งแกร่งมามากแล้ว แต่ไม่คิดเลยว่าซือคงหลินจะพัฒนาได้เร็วยิ่งขึ้นไปอีก!
“ท่าทางไม่จริงจังมากพอ เอาอีกที” คำพูดของซือคงหลินทำให้เจ้าเมืองที่เจ็ดรู้สึกแย่มาก
“กลั่นแกล้งกันมากเกินไปแล้ว!” เจ้าเมืองที่หกข้างๆ เขากัดฟันพูด
“เห้อ เจ้าพูดถูก ข้ามักจะกลั่นแกล้งผู้คนมากเกินไปเสมอ” ซือคงหลินไม่ได้โกรธ แต่อธิบายอย่างจริงจัง
“ข้าจะไม่ให้โอกาสเจ้าได้ดูถูกข้าอีก!” หลังจากที่หญิงสาวผู้เย้ายวนพูดประโยคนี้ด้วยเสียงต่ำก็มีแสงออกมาจากร่างกายของนาง จากนั้นนางก็สว่างขึ้นเรื่อยๆ
ระเบิดตัวเอง?!
ทันใดนั้น ซือคงหลินก็มาที่ตรงหน้าแคลร์ในทันที เขาดึงมือของแคลร์และหายตัวไป
เสียงโครมครามดังก้องไปทั่วท้องฟ้า ไม่มีใครรู้ว่ามีกี่คนที่สามารถรอดจากที่นั่นไปได้
เมื่อแคลร์กลับมามีสติอีกครั้ง นางพบว่าตัวเองอยู่หน้าศาลาพลับพลาหรูหราแห่งหนึ่ง
“เห้ย ทำไมเด็กคนนี้ถึงมาที่นี่ด้วยล่ะ?” ซือคงหลินขมวดคิ้วและมองไปที่เฟิงอี้เซวียนที่อยู่ที่นี่ด้วยอย่างงงงวย เขาแค่อยากพาเด็กผู้หญิงผู้นี้มาที่นี่ เด็กที่ใกล้จะตายผู้นี้มาปรากฏตัวที่นี่ด้วยกันได้อย่างไร? ดวงตาของซือคงหลินมองไปที่มือของคนทั้งสองที่จับกันอยู่ ที่แท้ปัญหาก็อยู่ตรงนี้นี่เอง
“เจ้าจะปล่อยมือนางแล้วกลับไปเอง หรือว่าจะให้ข้าฆ่าเจ้า เลือกเอา” ซือคงหลินพูดอย่างเย็นชาขณะมองไปที่เฟิงอี้เซวียน
“ฆ่าเขาไม่ได้นะ เขาเป็นศิษย์ของไป่หลี่จวี!” แคลร์ได้เห็นความชั่วร้ายของชายชราซือคงหลินแล้ว นางจึงรีบปกป้องเฟิงอี้เซวียนอย่างร้อนใจ
“ศิษย์ของไป่หลี่จวี?” ซือคงหลินลูบคางของเขา จากนั้นก็โบกมือและพูดอย่างรำคาญใจ “เอาล่ะ ไม่ฆ่า แต่ตอนนี้เจ้าออกไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้!”
“อาการบาดเจ็บของเขารุนแรงมาก! เขาต้องการการรักษา! ข้าก็ด้วย!” แคลร์พยายามพยุงร่างของนางและพยายามทำให้ตัวเองยังมีสติอยู่ สิ่งหนึ่งที่นางรู้ก็คือชายชราผู้ชั่วร้ายผู้นี้ปรากฏตัวขึ้นในสถานที่นั้นเพื่อนาง! ดังนั้นเขาจะไม่มีวันปล่อยให้นางตายหรอก!
“กินนี่” ซือคงหลินขมวดคิ้วอย่างเย็นชา เขาหยิบขวดลายครามออกมา จากนั้นก็เทยาออกมาแล้วส่งให้แคลร์
แคลร์หยิบยาขึ้นมา ยาในมือของนางมีกลิ่นหอมจางๆ แคลร์รู้เลยว่ายานี้ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
แต่ชายชราให้ยาเพียงเม็ดเดียว เห็นได้ชัดว่าเขาไม่สนใจเฟิงอี้เซวียน หลังจากให้ยากับแคลร์แล้ว ซือคงหลินก็หันกลับและเดินเข้าไปในศาลาที่สวยงามนั้นเลย
แคลร์บีบเม็ดยาแบ่งครึ่งแล้วยัดครึ่งหนึ่งเข้าไปในปากของเฟิงอี้เซวียนโดยไม่ลังเลใดๆ ในเวลานี้เฟิงอี้เซวียนกำลังจะหมดสติแล้วส่วนอีกครึ่งหนึ่งแคลร์กลืนด้วยตัวเอง
หลังจากที่แคลร์และเฟิงอี้เซวียนกินยาเข้าไปแล้ว พวกเขาก็รู้สึกได้ถึงความเย็นที่พุ่งพล่านภายในร่างกายอย่างรวดเร็ว ตอนนี้บาดแผลบนร่างกายของพวกเขาก็ดีขึ้น เลือดหยุดไหล และอาการมึนหัวค่อยๆ หายไปการก้าวเดินก็ไม่โคลงเคลงเหมือนก่อนหน้านี้
แคลร์ประหลาดใจกับผลลัพธ์มหัศจรรย์ของยาที่ซือคงหลินมอบให้ นางจำได้ว่าตอนที่นางไปถึงเกาะลมครั้งแรก ยาที่ท่านลมมอบให้ก็เป็นยาที่ทำโดยซือคงหลินเช่นกัน คนนี้จริงๆ แล้วมีความสามารถในแบบไหนกันแน่?
“แคลร์ ที่นี่คือที่ไหน?” เฟิงอี้เซวียนหันไปมองรอบๆ ที่นี่ดูเหมือนจะเป็นช่องเขา ศาลาที่สวยงามแห่งนี้ตั้งอยู่ในส่วนที่ลึกที่สุดของช่องเขา
“ปล่อยมือก่อน!” แคลร์พูด เฟิงอี้เซวียนยังคงจับมือของแคลร์ไว้แน่น
เฟิงอี้เซวียนยิ้มและปล่อยมือของแคลร์ ในใจของเขามีแต่ความอาวรณ์ เขาคิดว่าจะจับได้อีกสักพักก่อนแคลร์จะรู้ตัว ฮึ…
“ข้าไม่รู้ เขาคงอยู่ที่นี่อย่างสันโดษเหมือนกับท่านลม” แคลร์มองไปรอบๆ สภาพแวดล้อมที่นี่เขียวชอุ่มและสวยงาม แต่เมื่อเทียบกับกระท่อมที่ท่านลมอาศัยอยู่อย่างสันโดษแล้ว ศาลาของซือคงหลินนั้นหรูหราเกินไปเห็นได้เลยว่าทั้งสองคนมีนิสัยใจคอที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
“เข้ามาสิ” เสียงเฉยเมยของซือคงหลินลอยมาจากประตูรั้ว
แคลร์เดินเข้าไปข้างใน เฟิงอี้เซวียนก็เดินตามไปอย่างใกล้ชิด
ทันทีที่ทั้งสองเข้ามาในบ้าน พวกเขาก็ได้เห็นภาพที่ไม่ธรรมดา!
หญิงสาวผมบลอนด์แต่งกายด้วยชุดกระโปรงสั้นสุดๆ เผยให้เห็นต้นขาที่ขาวราวกับหิมะของนาง ร่างกายท่อนบนของนางเปลือยไหล่และหลังเผยให้เห็นผิวสีขาวราวกับหิมะของนาง ความงามที่หาตัวจับยากของนางน่าตกใจยิ่งกว่า นางกำลังรินชาร้อนให้ซือคงหลินอยู่ จากนั้นนางก็เดินไปข้างหลังซือคงหลินและนวดไหล่ “นายท่าน ทำไมเมื่อกี้ถึงออกไปแบบกะทันหันล่ะคะ?”
นายท่าน?
เฟิงอี้เซวียนและแคลร์อึ้ง
ภาพตรงหน้านี้คืออะไร?
ความงามที่ไร้ที่ติและเย้ายวน นางถูกขังไว้ที่นี่หรือ?
เฟิงอี้เซวียนและแคลร์รู้สึกหนาวสั่น แต่ทันใดนั้นก็ถูกสีดวงตาของสาวงามดึงดูด
ดวงตาสีทอง!
สาวสวยเย้ายวนที่ไม่มีใครเทียบได้นี้มีตาสีทองจริงๆ!
ทันใดนั้นแคลร์ก็จำสิ่งที่ดอกบัวสีทองพูดได้ การฝึกฝนกระจกดอกบัวเมื่อบรรลุขั้นที่สองแล้ว ผู้ฝึกจะให้กำเนิดดอกบัวสีทอง จากนั้นจะเป็นการดึงดูดสายฟ้าฟาด ซือคงหลินเป็นผู้สร้างเคล็ดวิชาลับนี้ เช่นนั้น สาวงามที่ไม่มีใครเทียบได้นี้ ซือคงหลินเป็นผู้ให้กำเนิดนางงั้นหรือ?
จู่ๆ แคลร์ก็รู้สึกว่าโลกยุ่งเหยิงไปหมด
“นั่งลงสิ” ซือคงหลินดื่มชาและพูดกับแคลร์เบาๆ ในสายตาเขาไม่มีเฟิงอี้เซวียนอยู่เลย มีเพียงแคลร์เท่านั้น
แคลร์นั่ง เฟิงอี้เซวียนก็นั่งลงด้วย
“เจ้าเริ่มฝึกกระจกดอกบัวตั้งแต่เมื่อไหร่?” ซือคงหลินถาม
แคลร์คำนวณเวลาและบอกซือคงหลิน
มีคลื่นที่มองไม่เห็นในดวงตาของซือคงหลินที่ไม่ได้มีท่าทีอะไรมาโดยตลอด
“อืม ไม่เลว” ซือคงหลินวางถ้วยน้ำชาลงและพูดอะไรบางอย่างที่แคลร์ไม่เข้าใจ
สาวงามที่ไร้ที่ติมองไปที่แคลร์ที่กำลังงุนงงและพูดว่า “เจ้าผ่านระดับแล้ว นายท่านไม่ฆ่าเจ้าหรอก เจ้าบรรลุสิบขั้นแรกในเวลาอันสั้นมาก เขาทำใจฆ่าเจ้าไม่ได้หรอก”
ซือคงหลินเหล่ตามองไปที่แคลร์ “การที่จะสามารถเข้าใจคำที่ข้าเขียน ได้นั้น มีเพียงสองกรณีเท่านั้น หนึ่งคือเจ้ามาจากโลกนั้นเช่นกัน สองงานเขียนแบบนี้ได้เผยแพร่อยู่ในครอบครัวของเจ้ามานานแล้ว แต่ข้าไม่สนใจในกรณีใดๆ ทั้งนั้น ประเด็นตอนนี้คือเจ้าได้เรียนรู้กระจกดอกบัวของข้าและเจ้าเป็นคนที่มีศักยภาพมากที่สุด”
“ในอดีต มีคนไร้ความสามารถเรียนรู้กระจกดอกบัวของอาจารย์บ้างเป็นครั้งคราว แต่ความสามารถที่น่าเบื่อของพวกเขา ทำให้เคล็ดวิชาลัยของนายท่านเสื่อมเสีย ดังนั้นข้าจึงฆ่าพวกเขาทั้งหมด” สาวงามพูดอย่างตรงไปตรงมา
เฟิงอี้เซวียนและแคลร์ตกใจมาก นี่มันตรรกะแบบไหนกัน!
“แล้วอย่างไรต่อล่ะ?” แคลร์ถามอย่างใจเย็น
“ดังนั้น เจ้าโชคดีมากที่นายท่านยอมรับเจ้าแล้ว เจ้าเป็นผู้สืบทอดกระจกดอกบัวแล้ว!” ดวงตาสีทองที่สวยงามยิ้ม
“เจ้าไปได้แล้ว เมื่อเจ้าบรรลุไปถึงขั้นที่สิบสอง ข้าจะไปหาเจ้าเพื่อสอนเคล็บลับต่อให้” ซือคงหลินพูดอย่างใจเย็น
นั่นคือทั้งหมด?
ไม่มีอะไรแล้วหรือ?
แคลร์มองซือคงหลินและสาวงามด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย จู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นและพานางกลับมาเพื่อพูดเท่านี้น่ะหรือ?
“แต่ที่นี่คือที่ไหน? เราจะกลับกันไปได้อย่างไร?” แคลร์ถามถึงประเด็นสำคัญ
ม้วนกระดาษหนึ่งม้วนปรากฏขึ้นในมือของซือคงหลิน เขาโยนมันไปที่แคลร์ นางเอื้อมมือไปจับและจ้องมัน นี่ คือม้วนเวทย์เคลื่อนย้ายแบบหลายคน
“ไปเถอะ นายท่านของข้ากำลังอารมณ์ดี” สาวงามส่ายเอวของนางและหัวเราะคิกคัก
แคลร์ไม่ได้พูดอะไรอีก นางดึงเฟิงอี้เซวียนมาและฉีกม้วนหนังสือ จากนั้นแสงสีขาวก็กระพริบ แคลร์และเฟิงอี้เซวียนหายไปในทันที
“นายท่าน ในที่สุดก็เจอคนที่ให้กำเนิดดอกบัวทองแล้ว ทีนี้ข้าก็มีเพื่อนร่วมทางด้วยแล้วสินะ ฮิฮิ” สาวงามตาโตดูตื่นเต้นมาก
“นั่นก็ต้องให้นางบรรลุขั้นที่สิบสองให้สำเร็จก่อน ถ้าไม่ผ่าน ข้าจะฆ่านางแล้วหาผู้สืบทอดคนอื่น” ซือคงหลินบอกการตัดสินใจของเขา
“อ่า นายท่าน คงจะเป็นเรื่องที่น่าเสียดายมากหลังจากที่รอคอยมานานหลายปี ในที่สุดอัจฉริยะคนนี้ก็ปรากฏตัวขึ้น” สาวงามถอนหายใจเฮือกใหญ่
ซือคงหลินไม่ได้พูดอะไรและนัยน์ตานกอินทรีคู่นั้นเปล่งประกายอันเฉียบแหลมออกมา
ตอนนี้หัวใจของเขายังไม่สงบเลย เขารอมาหลายปีแล้ว ในที่สุดเขาก็ได้เจอกับอัจฉริยะผู้นี้ เขารู้ดีกว่าใครๆ ว่าผู้หญิงคนนี้จะต้องบรรลุขั้นที่สิบสองอย่างแน่นอน ในที่สุดเขาก็พบผู้สืบทอดแล้ว
เมื่อแคลร์และเฟิงอี้เซวียนปรากฏตัวอีกครั้ง ทั้งสองก็มองไปรอบๆ
……………………………………………………………………………..