แคลร์หัวเราะเสียงเย็นแล้วถาม “ตอนนี้จักรพรรดิอายุเท่าไหร่แล้วล่ะ? สุขภาพเป็นอย่างไรบ้าง?” คนเหล่านี้ไม่รู้ประวัติศาสตร์จีนไม่เข้าใจเจตนาที่แท้จริงของจักรพรรดิถ้าหากแผ่นดินนี้มีจักรพรรดิคล้ายยุคของถังเกาจูหลี่หยวนพวกเขาคงจะรู้ถึงเจตนาที่แท้จริงของจักรพรรดิแห่งอันพาแกรนด์องค์ปัจจุบัน
“จักรพรรดิ ยังไม่ถึงห้าสิบสุขภาพยังดีมากอยู่” แม้ว่าสีเฉ่าฉีจะสงสัยในคำถามของแคลร์แต่ก็ตอบอย่างตรงไปตรงมา
“ถ้าพวกเจ้ามีอาหารเลิศรสกินตลอดสามมื้อต่อวันแต่อยู่มาวันหนึ่งให้พวกเจ้ากินแค่เพียงวันละหนึ่งมื้อ และยังเป็นของเหลือเย็นชืดด้วยพวกเจ้าจะยอมหรือไม่?” แคลร์มีรอยยิ้มเย้ยหยันที่มุมปากแล้วถามเสียงเย็นชา
“ไร้สาระคนโง่เท่านั้นที่จะยอม” สีเฉ่าฉีรีบตอบอย่างเย็นชา
“เช่นนั้นพวกเจ้าคิดว่าจักรพรรดิเป็นคนโง่หรือไม่?” แคลร์พูดคำเหล่านี้เบาๆ
ทั้งสามคนที่อยู่ในห้องตะลึงไปชั่วขณะ
สีเฉ่าซื่อวางกาน้ำชาลงและขมวดคิ้ว “จักรพรรดิกุมอำนาจไว้ในมือ สั่งได้ทุกอย่าง ทุกคนล้วนทำตาม”
“หากจักรพรรดิสละบังลังก์ให้รัชทายาทอำนาจก็จะไม่อยู่ในกำมืออีกต่อไปแล้วก็ไม่มีใครทำตามเขา นี่คือของเลิศรสและของเหลือเย็นชืด”เฟล็ปส์กังวลหัวใจมีความหนาวเหน็บมากขึ้นประหลาดใจกับความลุ่มลึกน่ากลัวของจักรพรรดิองค์ปัจจุบันและประหลาดใจความฉลาดน่ากลัวของหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้า
“แต่ว่าหากจักรพรรดิองค์ปัจจุบันปล่อยให้องค์ชายทั้งสองต่อสู้กันเช่นนี้เขาไม่กลัวว่าประเทศเพื่อนบ้านอย่างลากัคจะเข้ามาแทรกหรือ?” เฟล็ปส์ขมวดคิ้วถามไม่กล้าดูถูกหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าเดิมทีเขาคิดว่านางเพียงแค่ถือโอกาสที่มีสัญญาบางอย่างกับเทพเจ้าแห่งความมืดแล้วจึงได้เป็นนักบุญของวิหารแห่งความมืด แต่ดูตอนนี้หญิงผู้นี้ไม่มีทางจะเป็นแค่คนธรรมดาแน่นอน นางมองเห็นสาระสำคัญของสิ่งต่างๆ ได้อย่างถี่ถ้วนทีเดียว
“การต่อสู้ขององค์ชายทั้งสองไม่ได้ส่งผลกระทบต่ออำนาจของแผ่นดิน กลุ่มอัศวินแห่งพายุและทีมกริฟฟอนเป็นเพียงผู้ปกป้องความปลอดภัยของราชวงศ์เท่านั้นไม่ใช่กองทัพความแข็งแกร่งที่แท้จริงของอันพาแกรนด์ไม่ได้สั่นคลอนจุดนี้ลากัคก็รู้ดี อีกทั้งตอนนี้ลากัคไม่เข้มแข็งพอที่จะทำสงครามกับอันพาแกรนด์ต้องใช้เวลามากในการเตรียมตัวสำหรับสงคราม” แคลร์ค่อยๆอธิบาย
“หรือว่าจักรพรรดิไม่กลัวที่จะสิ้นสุดลงหรือ?ถ้าองค์ชายทั้งสองตายพร้อมกันจะทำอย่างไรล่ะ?” สีเฉ่าฉีขมวดคิ้วถาม
“ข้าปวดหัวกับระดับสมองของเจ้าจัง” แคลร์พูดขึ้นเบาๆ
สีเฉ่าฉีอึ้งไปก่อน แล้วก็กระตุกยิ้มมุมปากคนเขลาทั้งหลายต่างรู้ว่าคำนี้ไม่ใช่คำที่ดีเท่าไหร่
“เฮ้อ…” สีเฉ่าซื่อแสดงออกถึงความเจ็บใจกับความไม่เอาถ่าน
“จักรพรรดิแข็งแรงดีจะให้กำเนิดทายาทสืบสกุลอีกก็ไม่มีปัญหาหรอก”เฟล็ปส์พูดอย่างมีนัยยะออกมามองสายตาสีเฉ่าฉีอย่างประหลาดใจเช่นกัน
สีเฉ่าฉีกระตุกยิ้มมุมปากใบหน้าฉายแววชั่วร้าย
“ท่านนักบุญ ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือกลุ่มคนของวิหารแห่งแสงจะหาทางทำให้เรื่องของแม่ของท่านถูกข้อกล่าวหาอย่างแน่นอน” เฟล็ปส์แตะคางและคิด “คงจะรวมพยานให้ปากคำเกี่ยวกับแม่ของท่าน งานเลี้ยงน้ำชาในวันนั้นแม่ของท่านรับผิดชอบเพียงผู้เดียว คนจำนวนมาก เงื่อนไขที่มากมาย มักจะมีคนออกมาสร้างสิ่งที่เรียกว่าความจริงบางอย่างอยู่แล้ว”
“ปัญหานี้ ท่านปู่เองก็คงจะคำนึงถึง”แคลร์ไม่กังวลในเรื่องนี้
“ท่านจินตนาการถึงความโสมมของวิหารแห่งแสงไม่ได้หรอกระมัดระวังไว้จะดีกว่าคำตัดสินของแม่ท่านคงจะมาถึงเร็วๆ นี้” เฟล็ปส์เข้าใจแก่นแท้ของวิหารแห่งแสงอย่างชัดเจน
“อืมขอบคุณมากเฟล็ปส์” แคลร์พยักหน้าและขอบคุณจากใจจริง
“ไม่หรอกนี่คือสิ่งที่ผู้ใต้บังคับบัญชาควรทำให้ท่าน” เฟล็ปส์พูดด้วยรอยยิ้มจากการพูดคุยในครั้งนี้แคลร์ในสายตาของเฟล็ปส์แตกต่างไปจากเดินแล้ว หญิงสาวผู้นี้ อาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่างได้จริงๆ
“แต่ว่าตอนนี้ข้าต้องอยู่ที่นี่อาการบาดเจ็บของข้ายังไม่หายดี” แคลร์พูดอย่างเคร่งขรึม “ข้าต้องการความสงบเพื่อรักษาตัว”
“ไม่มีปัญหา ท่านนักบุญมากับข้าเถิดหากต้องการสิ่งใดขอให้บอกข้าข้าจะรายงานให้ท่านทราบทันทีหากมีข่าวจากโลกภายนอก” เฟล็ปส์รับปากอย่างเคร่งขรึม
“อืม” แคลร์ลุกขึ้นแล้วตามเฟล็ปส์ออกไป
สีเฉ่าฉีลูบจมูกมองไปที่ประตู “ทำไมข้าต้องตัวสั่นทุกทีเวลาที่เจอนางด้วยนะ?”
สีเฉ่าซื่อเงียบไม่พูดอะไร แล้วเก็บชุดน้ำชาออกจากห้องไปสีเฉ่าฉีรีบตามออกไป สิ่งที่พวกเขาต้องทำในตอนนี้คือไปสืบข่าวภายนอกแล้วกลับมารายงานเฟล็ปส์
แคลร์กำลังพักผ่อนอยู่ในห้องที่เงียบสงบของคฤหาสน์หลังนี้กระจกดอกบัวซ่อมแซมเส้นเลือดที่เสียหายของแคลร์แล้วเพียงสามวันก็กลับมาเหมือนเดิมตอนนี้แคลร์ฝึกฝนกระจกดอกบัวได้ถึงขั้นที่สิบเอ็ดแล้ว
คืนนี้ขณะที่แคลร์นั่งฝึกวิชาอยู่นั้นก็มีเสียงดังขึ้นที่หน้าต่างไม่ใช่เสียงคนของเฟล็ปส์มารบกวนแน่นอนแคลร์ลืมตาขึ้น ลงจากเตียงไปเปิดหน้าต่างเงาสีดำและสีขาวขนาดเล็กพุ่งเข้ามากระทบหน้าอกของแคลร์
แคลร์ยิ้มแล้วเอื้อมมือไปกอดดวงไฟน้อยๆ ทั้งสองนอกจากไป๋ตี้และเฮยหยู่ยังจะมีใครอีกล่ะเด็กน้อยทั้งสองนี้มาที่นี่โดยอาศัยความสัมพันธ์ทางพันธะในร่างกายเช่นนั้นแล้วจินเหยียนล่ะ? ทันใดนั้นแคลร์ก็นึกถึงชายที่ยืนอยู่ข้างหลังนางอย่างเงียบๆ มาตลอด
“จินเหยียนล่ะ?” แคลร์จำได้ว่าอูมาริเคยบอกว่าจินเหยียนดูเหมือนจะกลับไปที่ตระกูลฮิลล์บอกเบาะแสกับท่านปู่แล้วก็บอกลาทุกคน บอกว่าจะไปฝึกวิชา แล้วเอาไป๋ตี้และเฮยหยู่ไปด้วยแต่ตอนนี้เด็กทั้งสองอยู่ที่นี่แล้วแต่กลับไม่เห็นจินเหยียน
“จี๊บๆ!”
“ฮู่ๆ!”
เด็กน้อยทั้งสองพูดภาษาที่พวกเขาเท่านั้นที่เข้าใจแล้วพุ่งหาแคลร์พร้อมส่งเสียงเอะอะ
“พอแล้วไม่ต้องพูดแล้ว” แคลร์มองไปที่เด็กน้อยทั้งสองอย่างปวดหัว พูดไปนางก็ฟังไม่เข้าใจหรอก
ไป๋ตี้และเฮยหยู่กระโดดขึ้นไปเกาะไหล่ของแคลร์พร้อมถูหน้ากับไหล่ของแคลร์ด้วยความรัก
ที่วิหารแห่งแสง
พระสันตะปาปายืนมองที่หน้าต่างแล้วก็ได้ยินเสียงเคาะประตูเบาๆ
“เข้ามาสิ” พระสันตะปาปาหันทางประตูแล้วพูดอย่างเคร่งขรึม
ประตูถูกผลักออกเบาๆ เผยให้เห็นร่างของราอูล
“พระสันตปาปา” ราอูลเดินเข้ามาและปิดประตู
“อีกนานแค่ไหนกว่าเขาจะถึง?” พระสันตะปาปาถามเมื่อเดินไปนั่งลงที่หน้าชั้นหนังสือ
“ออกเดินทางข้ามคืนพรุ่งนี้บ่ายๆ คงจะถึง” ดวงตาของราอูลเป็นประกายสับสนพระสันตะปาปาทำเช่นนี้หรือ?เช่นนี้มันดีแล้วหรือ?
พระสันตะปาปาเห็นความสับสนในตาของราอูลและถอนหายใจออกมาเบาๆ “ราอูลครั้งนี้เป็นโอกาส เป็นโอกาสที่ดีมากในแผ่นดินนี้ อันพาแกรนด์เป็นประเทศที่แข็งแกร่งที่สุดหากประชาชนชาวอันพาแกรนด์อยู่ภายใต้อำนาจของวิหารแห่งแสงแสงเจิดจรัสของเทพีแห่งแสงจะสาดส่องไปทั่วแผ่นดิน”
“พระสันตปาปาแล้วท่านนักบวชล่ะ? นางคือคนที่ท่านเทพีเลือก ตอนนี้คงจะมีเรื่องขัดแย้งในเรื่องนี้แน่ๆ” ราอูลพูดอย่างกังวล
“นางหายไปตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ก็ยังไม่กลับมาเลยนำจดหมายไปบอกตระกูลฮิลล์ว่าจะไปฝึกนี่เป็นเรื่องที่ดีไม่ใช่หรือ? จัดการเรื่องทั้งหมดนี้ตอนที่นางไม่อยู่ รอนางกลับมาฟังเรื่องราวทั้งหมดยังมีอะไรให้ต้องพูดอีกล่ะ?”พระสันตะปาปาไม่กังวลใจเรื่องนี้เลย
“เช่นนี้ได้จริงๆ หรือ?” ราอูลยังคงลังเลไม่ตัดสินใจ และกังวลอยู่ในใจตลอด
“ถ้าคนผู้นั้นยอมรับจากปากเองว่าถูกองค์ชายสองยุยงให้สังหารองค์ชายใหญ่จะมีอะไรน่าเชื่อมากกว่านี้หรือ?” พระสันตปาปายิ้มเย็นชาเต็มไปด้วยความมั่นใจและดูหมิ่น
ราอูลเงียบพูดแบบนี้ก็ถูกแต่ว่า ทุกอย่างจะเป็นไปได้ด้วยดีจริงๆ หรือ? ทำไมความวิตกกังวลที่ไม่มีเหตุผลในใจของเขาถึงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ นะ
“เอาเถอะเจ้าไปเถอะถ้าเขามาถึงแล้วก็พาเขาไปเจอหญิงผู้นั้นเสียจำไว้ว่าต้องไปเจอกันอย่างลับๆ นะ” พระสันตะปาปาโบกมือให้ราอูลออกไป
ราอูลถอนหายใจเตรียมเดินออกไป
“เดี๋ยวก่อน!” พระสันตปาปากลับเรียกราอูลอีกครั้ง
“พระสันตะปาปามีอะไรจะสั่งอีกหรือไม่?”
“เจ้าหาข้ออ้างพาคลิฟไปที่อื่นยิ่งไกลยิ่งดีอย่าให้เขาเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้” พระสันตปาปาขมวดคิ้วเขานึกได้ว่าคลิฟกำจัดยาก เขาแข็งแกร่งและเป็นอาจารย์ของแคลร์เมื่อเกิดเรื่องกับแม่ของแคลร์แน่นอนว่าเขาต้องไม่วางเฉยกับเรื่องนี้แน่
“พระสันตปาปา!” สีหน้าของราอูลเปลี่ยนไปเขารู้ดีว่าหากเขาทำเช่นนี้ระหว่างเขากับคลิฟจะเปลี่ยนไปเป็นอย่างไร
“เจ้าแค่แกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องเสียหาข้ออ้างพาเขาไปให้ไกลจากที่นี่” พระสันตะปาปาพูดอย่างเย็นชา สีหน้านิ่งเฉย “ข้ารู้เรื่องมิตรภาพของพวกเจ้าทั้งสองแต่อย่าลืมว่าเจ้าเป็นใคร แล้วก็แม้ว่าคลิฟจะเป็นจอมเวทชั้นเซียนแล้วอย่างไรล่ะเจ้าคิดจริงๆหรือว่าในวิหารจะไม่มีใครทำอะไรเขาได้เลย?”
ราอูลเงียบไป จอมเวทชั้นเซียน ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่มาก แต่ว่ากำลังของวิหารแห่งแสงแม้แต่เขาที่เป็นพระคาร์ดินัลก็ยังไม่รู้หมดทุกอย่าง แต่ว่าพระโยคนี้ของพระสันตะปาปาไม่ใช่เพียงคำขู่ มันคือเรื่องจริง! คนที่มีความสามารถในวิหารแห่งแสงไม่มีใครจินตนาการได้เลย ในสำนักพระคาร์ดินัลทั้งสิบสองกลุ่มในอันพาแกรนด์และประเทศอื่นๆ ยังมีพระคาร์ดินัลคนอื่นๆ นอกจากเขาอีกยี่สิบสามคน และความแข็งแกร่งของคนเหล่านั้นก็ไม่อาจหยั่งรู้ได้เลย พวกเขาไม่เหมือนกับคลิฟ ไม่แสวงหาชื่อเสียงและโชคลาภ บางคนไปถึงระดับจอมเวทชั้นเซียนขั้นสูงสุดแล้ว แต่ก็ไม่เคยออกมาเปิดเผย
คำพูดของพระสันตปาปาทำให้หัวใจของราอูลหนักอึ้งคลิฟคือเพื่อนที่ดีที่สุดในชีวิตของเขาเขาไม่อยากให้เกิดอะไรขึ้นกับคลิฟแน่นอน
“ครับพระสันตปาปา” ราอูลตอบอย่างลำบากใจ
“ไปเถอะ “ พระสันตปาปาโบกมือให้ราอูลกลับไป
ราอูลก้าวถอยหลังออกไปอย่างเงียบงัน และพบกับเหลิ่งหลิงยวิ๋นที่ยืนอยู่เงียบๆ ตรงทางเดิน
“หลิงยวิ๋น…” ราอูลก้าวไปข้างหน้าช้าๆ พูดอย่างยากลำบาก
“อาจารย์ ท่านจะทำเช่นนั้นจริงๆ หรือ?” เหลิ่งหลิงยวิ๋นขมวดคิ้วกัดฟันแล้วถาม
ราอูลเงียบและถอนหายใจออกมาช้าๆ
“อาจารย์!ผู้นั้นคือแม่ของแคลร์ถ้าแคลร์กลับมาล่ะ?”เหลิ่งหลิงยวิ๋นกังวลเมื่อเห็นท่าทีของราอูล
“หลิงยวิ๋นเจ้าคิดว่าอาจารย์อยากจะทำหรือ? คนผู้นั้น ข้าจะทนเห็นนางเจ็บปวดทรมานได้งั้นหรือ?” ราอูลทำอะไรไม่ถูกน้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า