“ไม่หรอก ข้าเพิ่งมาถึง มาเริ่มเรียนกันเถอะ” คามิลล์ยิ้ม
แคลร์นั่งลง บนโต๊ะมีคนวางหนังสือสำหรับเรียนในวันนี้ไว้ให้แล้ว
คามิลล์เขียนสูตรบนกระดาน ส่วนแคลร์ก็ตั้งใจฟัง แต่จู่ๆ การเคลื่อนไหวเล็กๆ ของคามิลล์ก็ทำให้แคลร์สงสัย
ท่าเขียนของคามิลล์ดูติดๆ ขัดๆ แม้จะเป็นเพียงแค่เล็กน้อย แต่การเคลื่อนไหวเช่นนั้นแคลร์รับรู้ได้ว่าเป็นเพราะเขาได้รับบาดเจ็บ เมื่อยกมือขึ้นจะกระทบต่อบาดแผล ใบหน้าหล่อเหลาของคามิลล์ยังคงมีรอยยิ้มที่อ่อนโยน ลักษณะของเขาก็ดีมากเช่นกัน ดูจากภายนอกแล้วเขาดูไม่เหมือนจะบาดเจ็บอะไร ยิ่งไปกว่านั้นเขาเป็นนักวิชาการและยังเป็นศิษย์ของนักวิชาการที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองหลวง ใครจะไปทำร้ายเขาได้ล่ะ?
แต่ความจริงมักน่าแปลกใจเสมอ แคลร์แน่ใจว่าคามิลล์ได้รับบาดเจ็บ อีกทั้งยังเป็นการบาดเจ็บไม่เบาเลยด้วย
แคลร์ไม่ได้ถาม เรื่องพวกนี้ไม่ได้มีผลอะไรกับนาง ในเมื่อคามิลล์ปิดบังเช่นนี้ เขาก็คงไม่ต้องการให้ใครรู้ สำหรับตัวตนที่ไม่น่าธรรมดาของคามิลล์ แคลร์เองก็ไม่ได้อยากรู้อยากเห็นด้วยเช่นกัน
การเรียนในช่วงเช้าผ่านไปด้วยดี
คามิลล์ปฏิเสธคำเชิญกินอาหารอย่างมีชั้นเชิงและกลับไป
ตอนเที่ยง แคลร์กินอาหารกับกอร์ตั้นและแคทเธอรีน นางสังเกตได้ว่ากอร์ตั้นนั่งเหม่อลอย
ดูเหมือนว่ามีจะบางอย่างเกิดขึ้น
กอร์ตั้นรีบร้อนออกไปในขณะที่ยังกินไม่เสร็จด้วยซ้ำ
แคลร์มองกอร์ตั้นที่หายตัวไปจากทางเข้าห้องโถงอย่างครุ่นคิดแล้วค่อยๆ กินต่อ
“เจ้าอยากรู้ใช่ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น? ” เสียงของวัลโดดังขึ้นในหัวของแคลร์
“มีอะไรก็พูดมาตามตรง” แคลร์พูดอย่างเย็นชาด้วยใบหน้าว่างเปล่า
“ไปถามอัศวินของเจ้าสิ ตอนอัศวินของเจ้าออกมาจากหุบเขาพายุ เขาไปพบองค์ชายสองแล้วใช้ภาษามือสื่อสารกัน” วัลโดกล่าว
“ข้ารู้ว่าเขาทำงานกับองค์ชายสอง แต่เขาก็ทำงานให้ท่านปู่ด้วยเช่นกัน” แคลร์พูดสิ่งที่ทำให้วัลโดประหลาดใจ
“เจ้ารู้ทั้งหมดหรือ? ” วัลโดอุทาน
“ถ้าข้าเดาไม่ผิด พวกเขา…” แคลร์หยุดตรงนี้ ทำให้วัลโดร้อนใจแทบตาย
“มันคืออะไร? พูดมาสิ” วัลโดถาม
“วัลโด…” แคลร์พูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ “เจ้ารู้หรือไม่ว่าความอยากรู้อยากเห็นมักจะต้องจ่ายด้วยชีวิตนะ” น้ำเสียงของนางทำให้หัวใจของวัลโดหนาวเหน็บ เด็กสาวที่ดูสดใสในวัยเพียงสิบกว่าๆ ผู้นี้ไม่ได้ทำให้ผู้อื่นรู้สึกอบอุ่นเหมือนกับรูปลักษณ์ภายนอกของนางเลย
วัลโดปิดปากเงียบอย่างเชื่อฟัง เขาไม่ส่งเสียงอะไรออกมาอีกเลย
หลังจากพูดคุยกับแคทเธอรีนเสร็จ แคลร์ก็กลับไปพัก หลังจากพักเที่ยงแล้ว ช่วงบ่ายนางมีวิชาขี่ม้าและวิชาดาบรออยู่
จินเหยียนเดินตามแคลร์ไปจนถึงหน้าห้อง
ทันใดนั้นแคลร์ก็หันกลับมามองจินเหยียนแล้วถามอย่างใจเย็น “เมื่อคืนมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นใช่หรือไม่? เกี่ยวข้องกับองค์ชายสองหรือ? “
แคลร์พูดจบ ใบหน้าของจินเหยียนก็เปลี่ยนไปทันที
แต่ในช่วงเวลาต่อมา จินเหยียนก็กลับมามีสีหน้าปกติ
“เมื่อคืน องค์ชายทสองถูกลอบสังหาร เนื่องจากตอนนั้นผู้นำของกลุ่มอัศวินพายุอยู่ที่นั่นพอดี ผู้ลอบสังหารจึงทำไม่สำเร็จ หัวหน้าอัศวินเองก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นกันครับ” จินเหยียนพูดด้วยน้ำเสียงทุ้ม แต่แววตาของเขายังไม่ละจาก ใบหน้าของแคลร์ ดูเหมือนเขาต้องการจะเห็นอะไรบางอย่าง แต่ใบหน้าที่เรียบเฉยของแคลร์ก็ทำให้เขาผิดหวัง
“สิ่งเหล่านี้คงจะเป็นความลับสินะ? ” แคลร์พูดอย่างเรียบ
จินเหยียนไม่พูด แต่พยักหน้าเบาๆ
“แล้วทำไมเจ้าถึงบอกข้าเรื่องนี้? ” มุมปากของแคลร์ปรากฎรอยยิ้ม กอร์ตั้นไม่ได้บอกแคลร์เกี่ยวกับเรื่องนี้ ประการแรกคือเขาไม่อยากให้ข่าวการลอบสังหารองค์ชายสองแพร่กระจายออกไป ประการที่สองคือเขาไม่อยากให้แคลร์มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย แต่ตอนนี้จินเหยียนกลับบอกแคลร์ตรงๆ มันหมายความว่าอย่างไร?
“คุณหนูไม่ใช่แคลร์คนเก่า” น้ำเสียงของจินเหยียนมีความมั่นใจแฝงอยู่
“หึ” แคลร์ยิ้มเยาะ เงยหน้าขึ้นพูดกับจินเหยียน “จินเหยียน เรย์มอนด์ ข้าคือแคลร์ ฮิลล์ ผู้เกิดใหม่จากขี้เถ้า คนที่เจ้าสาบานที่จะอยู่พิทักษ์ไปชั่วชีวิตนี้”
“ครับ” จินเหยียนก้มหน้าลง เขากำมือขวาทุบเข้าที่หน้าอกอย่างแรงซึ่งเป็นท่าของอัศวิน ไม่มีความสับสนใดๆ ในสายตาของเขาอีกต่อไป
“บอกข้ามาว่าเจ้าบอกเรื่องพวกนี้กับข้าทำไม?” แม้ว่าแคลร์จะมีคำตอบในใจ แต่นางก็ยังคงถามอยู่ดี
“ข้าอยากเห็นท่าทีของคุณหนู” จินเหยียนไม่ได้ปิดบัง
“เจ้าและท่านปู่สนับสนุนองค์ชายสอง แม้ว่าท่านปู่จะไม่ได้พูดออกมาอย่างชัดเจน แต่เขาก็ส่งเจ้าไปช่วยองค์ชายอย่างลับๆ นอกเหนือจากการเป็นอัศวินของข้า เจ้ายังมีหน้าที่อะไรอีก? ” แคลร์มองสีหน้าที่เปลี่ยนไปเล็กน้อยของจินเหยียนแล้วถาม ในราชวงศ์ ตำแหน่งองค์รัชทายาทดูเหมือนจะเป็นขององค์ชายใหญ่ แต่ความจริงดูเหมือนจะไม่เป็นเช่นนั้น
“คุณหนู การสังเกตของคุณหนูเหนือกว่าท่านดยุกกอร์ตั้นแล้ว” จินเหยียนพูดด้วยใบหน้าเคร่งขรึม
“ไม่ต้องประจบ ข้าไม่ต้องการ” แคลร์พูดอย่างเย็นชา ถึงแม้ว่าสิ่งที่จินเหยียนพูดนั้นจะไม่ได้เป็นการเยินยอ
ความลำบากใจปรากฎในดวงตาของจินเหยียน แน่นอนว่าเขารู้ว่าแคลร์ต้องการรู้อะไร แต่มันยังไม่ถึงเวลา
“คุณหนู ข้ายังไม่สะดวกที่จะพูดถึงหน้าที่อื่นๆ ของข้าในตอนนี้ หวังว่าคุณหนูจะให้อภัย ข้าจะบอกทุกอย่างเมื่อถึงเวลาที่จำเป็น เพียงแต่ตอนนี้มันยังไม่ถึงเวลาจริงๆ ” จินเหยียพูดอย่างเคร่งขรึม
“ได้ ค่อยมาคุยกันเมื่อถึงเวลา” แคลร์ไม่ได้รำคาญเรื่องนี้ สิ่งที่นางแน่ใจตอนนี้คือตัวตนของจินเหยียนนั้นไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
จินเหยียนมองหญิงสาวที่ดวงตาสดใสตรงหน้าด้วยความซับซ้อนเต็มหัวใจ หญิงผู้นี้คือคนที่เขาสาบานว่าจะปกป้องไปชั่วชีวิต นางทำให้เขาประหลาดใจครั้งแล้วครั้งเล่า ภายในร่างเล็กๆ นี้ ดูเหมือนจะระเบิดพลังออกมาอย่างไม่สิ้นสุด ความช่างสังเกต ความกล้าหาญที่จะเผชิญหน้ากับอันตราย การเติบโตที่รวดเร็วจนน่าทึ่ง และการที่นางมีผู้สนับสนุนที่แข็งแกร่ง เขาไม่สามารถจินตนาการได้เลยจริงๆ ว่านางจะเติบโตไปได้จนถึงจุดไหน อีกทั้งเขายิ่งไม่กล้าจินตนาการเลยว่าหากนางเติบโตขึ้นมาเป็นศัตรูกับพวกเขาแล้วจะมีผลเช่นไร โชคดีที่นางไม่ใช่ใครอื่น แต่นางเป็นหลานสาวที่มีค่าที่สุดของดยุกกอร์ตั้น
“เหม่ออะไร? ตอนบ่ายเตรียมรถม้าด้วย ข้าจะไปร้านทำเครื่องประดับที่ดีที่สุด ตอนนี้ข้าขอพักก่อน” เสียงเฉยเมยของแคลร์เรียกให้จินเหยียนกลับสู่ความเป็นจริง
จินเหยียนพยักหน้าเล็กน้อยเพื่อตอบรับ เขาเข้าใจว่าแคลร์จะนำแกนเวทย์ไปทำแหวนให้กับนายหญิง เมื่อเห็นร่างของแคลร์หายไปจากประตู ความรู้สึกของจินเหยียนก็ซับซ้อนมาก เขาเสียใจ ใช่… เขาเสียใจอย่างสุดซึ้งที่ไม่ได้ออกมาปกป้องแคลร์ในคืนนั้นที่โรงเรียน แคลร์จึงสูญเสียความไว้วางใจในตัวเขาปในตอนนี้
หลังปิดประตู แคลร์ก็นอนพลิกตัวอยู่บนเตียง ทันใดนั้นเสียงที่น่ารังเกียจของวัลโดก็ดังขึ้นในความคิดของนาง “เจ้าไม่คิดว่าที่เจ้าจะเมินอัศวินของเจ้านั้นมากเกินไปหรือ? ข้ารู้สึกได้ว่าเขายังคงภักดีต่อเจ้ามากนะ”
“แล้วเจ้าต้องการอะไร เจ้าจะให้ข้ายิ้มแล้วบอกเขาว่า ‘อัศวินของข้า เตรียมรถม้าให้ข้าในตอนบ่ายนะ ข้าต้องการออกไปข้างนอก’ เช่นนี้หรือ? ” แคลร์ตอบอย่างประชดประชัน การยังยอมให้จินเหยียนอยู่เคียงข้างนางก็ผิดหลักการของนางแล้ว หักหลังเพียงหนึ่งครั้ง ห้ามใช้งานไปตลอดชีวิต แต่ในโลกนี้นางยังคงอ่อนแอเกินไป
วัลโดตัวสั่น เขานึกไม่ออกเลยว่าปีศาจน้อยตัวนี้จะเป็นอย่างไร ต่อให้น้ำตกไหลย้อนกลับ ท้องฟ้าจะถล่ม ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะเห็นปีศาจน้อยตัวนี้พูดเช่นนั้น หากปีศาจน้อยพูดกับใครแบบนั้นจริงๆ คนๆ นั้นจะต้องทุกข์ยิ่งกว่าตกนรกไม่รู้จบเป็นร้อยเท่าพันเท่า!
วัลโดเงียบไป แม้ว่าเขาไม่รู้ว่าอัศวินคนนั้นได้ทำอะไรกับแคลร์ไว้ แต่เขารู้สึกได้ว่าแคลร์ไม่ชอบอัศวินผู้นี้
“นอนเถอะ หากเจ้าพูดเรื่องไร้สาระอีกครั้ง ข้าจะโยนเจ้าลงในหม้อ ให้เจ้าอาบน้ำร้อน” คำพูดของแคลร์ขู่ให้วัลโดปัดความคิดที่จะพูดออกไป
ตอนบ่าย แคลร์และจินเหยียนออกไปข้างนอก รถม้าของพวกเขามุ่งตรงไปยังร้านทำเครื่องประดับ
ป้ายร้านที่ดูเรียบง่ายแต่มีเสน่ห์บ่งบอกถึงรสนิยมของร้านได้อย่างดี ป้ายที่เก่าแก่สะท้อนให้เห็นถึงประวัติศาสตร์อันยาวนานของร้าน
ทันทีที่รถม้าหยุด คนในร้านก็ออกมาต้อนรับ เพราะทุกคนในเมืองหลวงต่างก็รู้ดีว่านางเป็นใคร
“คุณหนูแคลร์ ไม่ได้มาที่นี่นานเลยนะคะ” พนักงานร้านออกมาต้อนรับด้วยรอยยิ้ม แคลร์ ฮิลล์ผู้บ้าผู้ชายเป็นแขกประจำของร้าน แต่นางไม่ได้มาที่ร้านเป็นเวลานานแล้ว
แคลร์พยักหน้าเบาๆ ไม่พูดอะไร พนักงานร้านแปลกใจ หากเป็นเมื่อก่อน แคลร์จะรีบถามทันทีว่ามีเครื่องประดับอะไรใหม่ๆ บ้าง แต่กิริยาของนางในวันนี้แปลกมาก พนักงานพาแคลร์เข้าไปในร้าน หลังจากที่แคลร์บอกความต้องการของนางแล้ว พนักงานก็พาแคลร์ไปที่ห้องวีไอพีชั้นสองเพื่อเตรียมการให้ช่างทำเครื่องประดับคุยรายละเอียดกับแคลร์ แต่ทันทีที่ขึ้นบันได พวกเขาก็พบกับบุคคลที่ทำให้จินเหยียนประหลาดใจ
“องค์ชายใหญ่……” จินเหยียนทำความเคารพ
“เจ้าไม่ต้องสุภาพมากหรอก ตอนนี้ข้าก็เป็นแขกของที่นี่เช่นกัน” องค์ชายใหญ่หยุดการทักทายอย่างสุภาพของจินเหยียน สายตาของเขาสบเข้ากับแคลร์และเขาก็อึ้ง
“คำนับองค์ชายใหญ่เพคะ” แคลร์โค้งคำนับเล็กน้อยไม่พูดอะไรมาก ในความทรงจำที่คลุมเครือของแคลร์ ความทรงจำที่เกี่ยวข้องกับองค์ชายใหญ่ผู้นี้ไม่มีอะไรเลยนอกจากความหล่อเหลา และชายหนุ่มตรงหน้าก็รูปงามเช่นเดียวกับองค์ชายสอง แต่เขาดูเป็นผู้ใหญ่มากกว่า แววตาแพรวพราวแตกต่างกับแววตาที่เกเรดื้อรั้นขององค์ชายสองโดยสิ้นเชิง มองแวบแรกเขาดูเป็นคนนิ่งและใจเย็นมาก
องค์ชายใหญ่มองเด็กสาวตรงหน้าด้วยความประหลาดใจ นี่คือแคลร์ผู้บ้าผู้ชายในความทรงจำของตนเองหรือ? เขาไม่ได้พบนางมานานแล้ว และไม่คาดคิดมาก่อนว่าการได้พบนางตอนนี้จะทำให้เขารู้สึกแตกต่างไปจากเดิม ดวงตาที่ไม่แยแสของนางผลักไสผู้คนห่างออกไปเป็นพันลี้ ทำให้ผู้คนไม่กล้าดูหมิ่น
…………………………………………………………………………………