เสน่ห์คมดาบ – ตอนที่ 202

รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของชีอ้าวชวางนางพยักหน้าเบาๆ และหยุดพูดคำขอบคุณใดๆ

 

 

หลังจากที่เบนอธิบายเรื่องราวบางส่วนให้กับผู้อาวุโสของเผ่ามังกรแล้ว เขาก็พาชีอ้าวชวางและเหลิ่งหลิงยวิ๋นเดินทางผ่านเส้นเลือดมังกร หลังจากออกจากเส้นเลือดมังกรไปไกลแล้ว เบนก็หันหน้าไปพูดกับชีอ้าวชวางที่บินอยู่ข้างๆ เขา “เหอะๆ ขึ้นมาที่หลังข้าสิ ข้าจะพาพวกเจ้าบินไปที่ป่าเอลฟ์โดยเร็วเลย”

 

 

ชีอ้าวชวางและเหลิ่งหลิงยวิ๋นยิ้มเมื่อได้รู้ถึงความมีน้ำใจของเบน ตอนที่อยู่ภายในเส้นเลือดมังกร เบนให้พวกเขาขึ้นขี่หลังไม่ได้ เขาเป็นราชาของเผ่ามังกร เป็นผู้นำของเผ่ามังกรที่ทระนงตน เขาจะให้มนุษย์ขี่หลังต่อหน้าเหล่ามังกรได้อย่างไรล่ะ

 

 

ตอนนี้ออกมาจากเส้นเลือดมังกรแล้ว ชีอ้าวชวางและเหลิ่งหลิงยวิ๋นจึงได้นั่งบนหลังของเบน เบนส่งเสียงแล้วกระพือปีกบินไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว

 

 

ผ่านไปสักพักก็มาถึงชายป่าสีเขียวกว้างใหญ่สุดสายตา

 

 

เบนร่อนลงไป “ถึงแล้ว ที่นี่คือชายป่าเอล์ฟ ด้านหน้าทั้งหมดนี้คืออาณาจักรเอลฟ์”

 

 

ชีอ้าวชวางเงยหน้ามองป่าที่เขียวชอุ่มเบื้องหน้า เมื่อมองไปก็ได้เห็นกำแพงจางๆ อยู่ตรงหน้านั้น

 

 

“เขตกั้นนี้เทพเจ้าเอลฟ์วางเอาไว้เพื่อปกป้องคนของเขา” เบนก้าวไปข้างหน้าและวางมือลงบนเขตกั้น เขตกั้นนั้นแหวกออกเป็นช่องว่างให้คนเข้าไปได้ “ไปกันเถอะ เข้าไปข้างในกันก่อน”

 

 

หลังจากที่ชีอ้าวชวางและเหลิ่งหลิงยวิ๋นเข้ามาในเขตกั้นแล้ว เบนก็เดินตามเข้ามา จากนั้นเขตกั้นด้านหลังพวกเขาก็เชื่อมเข้าด้วยกันกลับคืนสู่สภาพเดิม

 

 

“นี่เป็นเพียงแค่บริเวณรอบนอกเท่านั้นจึงไม่มีเอลฟ์ให้เห็น” เบนอธิบายแล้วเกาหัวด้วยความรำคาญ “เฮ้อ เผ่าเอลฟ์เกลียดมนุษย์มากที่สุด ถ้าเห็นพวกเจ้าเข้าจะต้องคลั่งแน่ๆ อย่าว่าแต่จะไปถามพวกเขาเรื่องสิ่งประดิษฐ์เลย บางทีพวกเขาอาจจะถือว่ามันเป็นสมบัติเลยก็ได้”

 

 

ชีอ้าวชวางขมวดคิ้วพูดเบาๆ “ไปเจอราชาของพวกเขาก่อนค่อยว่ากัน เผ่ามังกรและเผ่าเอลฟ์ไม่เคยขัดแย้งกัน ตอนนี้เจ้าเป็นถึงราชามังกรแล้ว เพราะฉะนั้นเจ้าอย่ามาออกหน้าให้จะดีกว่า”

 

 

“ไม่เป็นไร ถ้าถึงเวลาที่ไม่ไหวจริงๆ ข้าจะปกปิดใบหน้าแล้วไปช่วยพวกเจ้าแย่งสิ่งประดิษฐ์นั้นเอง” เบนหัวเราะอย่างมีความสุขและเตรียมจะฉีกผ้าออกเพื่อเอามาปกปิดใบหน้าของเขา

 

 

ในตอนนี้ชีอ้าวชวางทั้งโกรธทั้งขำ กำลังจะพูดอะไรบางอย่างก็มีการเคลื่อนไหวเล็กน้อยตรงหน้าพวกเขา

 

 

มีคนกำลังมา!

 

 

พวกเขาสบตากันแล้วมองไปข้างหน้าอย่างระมัดระวัง

 

 

เสียงกรอบแกรบดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ

 

 

ชีอ้าวชวางสัมผัสถึงสภาพแวดล้อมโดยรอบอย่างระมัดระวัง เพราะว่าเสียงนี้ไม่ได้ดังอยู่ด้านหน้าเท่านั้น แต่ยังดังอยู่โดยรอบทั้งหมด

 

 

ทันใดนั้นก็มีเงาดำข้างหน้าเคลื่อนที่วุ่นวายไปหมดพร้อมทั้งเสียงที่ดังขึ้นไม่หยุด จากนั้นทั้งสามคนก็รู้สึกได้ว่าที่เท้า ข้อมือและเอวของพวกเขาถูกรัดจนแน่น

 

 

ชีอ้าวชวางมองสิ่งที่รัดอยู่ที่ข้อมือและข้อเท้าของตัวเองด้วยความประหลาดใจ มันคือเถาวัลย์ต้นไม้! เถาวัลย์ต้นไม้สีเขียวโจมตีจากทุกทิศทางเข้ารัดแน่นที่แขนและขาของพวกเขาไม่หยุด

 

 

เบนส่งเสียง พยายามใช้แรงทำลายเถาวัลย์สีเขียวที่พันเขาอยู่

 

 

“เดี๋ยวก่อน! อย่าเพิ่งทำอะไร” ชีอ้าวชวางพูดหยุดการกระทำของเบน จากนั้นเหลิ่งหลิงยวิ๋นก็ทำตามที่ชีอ้าวชวางบอกคือไม่ขยับตัวแล้วปล่อยให้เถาวัลย์สีเขียวห่อหุ้มร่างกายของเขาไว้เกือบทั้งหมด

 

 

เบนพ่นอากาศเย็นออกจากจมูกแล้วก็นึกขึนได้ เอลฟ์เป็นเผ่าพันธุ์ที่รักสันติและใจดี สิ่งที่พวกเขารักมากที่สุดคือทุกสิ่งทุกอย่างในธรรมชาติ พวกเขาหวงแหนพืชและสัตว์ต่างๆ แต่ดูเหมือนจะไม่เคยได้ยินว่าพวกเขาควบคุมพืชได้นะ

 

 

“เจ้าพวกมนุษย์สกปรก ที่นี่ไม่ใช่สถานที่ที่เจ้าจะมาได้ รีบออกไปเดี๋ยวนี้” เสียงที่เยือกเย็นดังมาอย่างแผ่วเบา ความเย่อหยิ่งที่จางๆ ในน้ำเสียงทำให้มังกรดำไม่พอใจอย่างมาก

 

 

“นี่เป็นวิธีการต้อนรับของเผ่าเอลฟ์งั้นหรือ?” ทันใดนั้นเบนก็พูดด้วยน้ำเสียงไม่เป็นมิตรและปล่อยแรงกดดันของมังกรออกไปทันที

 

 

เกิดเสียงต่ำดังขึ้นภายในป่า

 

 

เสียงเย็นเยียบดังขึ้นอีกครั้ง แต่คราวนี้สุภาพขึ้นเล็กน้อย “เผ่ามังกรหรือ? แขกผู้สูงศักดิ์ ท่านโปรดเก็บลมหายใจมังกรเถิด” เวลาต่อมา เถาวัลย์สีเขียวที่โอบรัดทุกคนก็ค่อยๆ คลายตัว ปล่อยให้ร่างกายของพวกเขาเป็นอิสระ แม้ว่าเผ่าเอลฟ์และเผ่ามังกรจะไม่มีการเจรจากันอย่างเป็นทางการ แต่ในการเข้าสู่แดนเอลฟ์ก็จำเป็นต้องผ่านเส้นเลือดมังกรมาก่อน พูดในความหมายโดยนัยแล้วถือว่ามังกรเป็นผู้พิทักษ์ของเอลฟ์จึงไม่น่าแปลกใจที่เอลฟ์จะสุภาพกับมังกร

 

 

เบนส่งเสียงแล้วเก็บแรงกดดันของมังกรไป เอลฟ์ที่ซ่อนตัวอยู่ในป่าถอนหายใจด้วยความโล่งอก อย่างไรเสียเบนก็อยู่ในฐานะราชามังกร แรงกดดันของเขาทำให้ไม่ค่อยสบายนัก

 

 

“ข้าขอถามหน่อย หนึ่งในมนุษย์สองคนนั้นมีใครที่ชื่อแคลร์ ฮิลล์หรือไม่?” น้ำเสียงเย็นชาดังขึ้นอีกครั้ง แต่ก็ยังมีความหยิ่งผยองที่ไม่สามารถปกปิดได้ในน้ำเสียง

 

 

“ข้าเอง” ชีอ้าวชวางตอบเบาๆ และแอบสงสัยว่าพวกเอลฟ์รู้จักชื่อของนางได้อย่างไร ซ้ำยังดูเหมือนว่าพวกเอลฟ์จะรู้แล้วว่าพวกตนเองจะมา นี่คือพื้นที่รอบนอกของป่าเอลฟ์ เบนบอกว่าโดยปกติแล้วไม่มีเอลฟ์มาปรากฎตัวที่นี่ แต่ในขณะนี้มีเอลฟ์ที่ซ่อนตัวอยู่ในป่าไม่น้อยเลย เอลฟ์เหล่านี้ปรากฏตัวทันทีหลังจากที่พวกตนเองเข้าเขตกั้นมา เห็นได้ชัดว่าคงมารออยู่ที่นี่นานแล้ว

 

 

“รูปร่างหน้าตาของเจ้าดูไม่เหมือนนะ” น้ำเสียงนั้นยังคงเย็นชาและไม่เปิดเผยตัวตน “ถ้าหากเจ้าใช้การเปลี่ยนรูปลักษณ์ภายนอกมา เช่นนั้นข้าของถามเจ้าว่าเจ้ามีวิธีอื่นที่ยืนยันตัวตนของเจ้าได้หรือไม่?”

 

 

ชีอ้าวชวางยังไม่ทันได้ตอบ ไป๋ตี้และเฮยหยู่ที่อยู่ในเสื้อคลุมของนางก็กระโดดออกมานั่งบนไหล่ของชีอ้าวชวางแล้วส่งเสียงร้องเข้าไปในป่า

 

 

ผืนป่านั้นเงียบไปครู่หนึ่งและมีการเคลื่อนไหวอีกครั้ง

 

 

เหล่าเอลฟ์ค่อยๆ เดินออกจากที่ซ่อน ดูๆ แล้วเหมือนว่าจะมีจำนวนอย่างน้อยยี่สิบหรือสามสิบ ชีอ้าวชวางเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย รูปลักษณ์ของเอลฟ์สวยงาม โดยเฉพาะเมื่อเอลฟ์ที่สวยงามจำนวนมากปรากฎตัวในเวลาเดียวกัน ก็ทำให้จินตนาการถึงผลกระทบต่อสายตาผู้คนได้เลย เอลฟ์บางตนถือคันธนูที่มีรูปร่างสวยงาม และบางตนถือไม้กายสิทธิ์ขนาดเล็กอยู่ เห็นได้เลยว่าเอลฟ์ส่วนใหญ่เป็นนักธนูและนักเวท เอลฟ์ที่เดินอยู่แถวหน้ามีความโดดเด่นมากเป็นพิเศษ เขามีรูปร่างที่สมส่วน เส้นผมสีฟ้าอ่อนและใบหน้าที่หล่อเหลาอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ อีกทั้งที่ดวงตาของเขาข้างหนึ่งเป็นสีทอง ข้างหนึ่งเป็นสีฟ้า! เขาสวมชุดสีขาวบริสุทธิ์ที่ยิ่งดูงดงาม แต่เขาไม่มีทั้งคันธนูหรือไม้กายสิทธิ์ จึงไม่สามารถรู้อาชีพของเขาได้ มีเพียงสายตาดูถูกเหยียดหยามที่เขามองชีอ้าวชวางเท่านั้นที่ชัดเจนมาก เห็นได้ชัดว่าเขาก็เป็นเหมือนเอลฟ์ทั่วไปที่เกลียดมนุษย์

 

 

“คุณหนูแคลร์ ฮิลล์ ราชาของเรากำลังรอเจ้าอยู่ โปรดตามข้ามา” เอลฟ์ที่เป็นหัวหน้าแสดงท่าทางเชิญอย่างสง่างาม แต่น้ำเสียงของเขายังคงหยิ่งผยอง เห็นได้ชัดว่าการปรากฏตัวของไป๋ตี้และเฮยหยู่ทำให้เขามั่นใจในตัวตนของชีอ้าวชวางแล้ว

 

 

“พวกเจ้ามารอพวกเรานานแล้วหรือ?” ชีอ้าวชวางถามพร้อมกับขมวดคิ้ว

 

 

“ใช่” หัวหน้าเอลฟ์พูดอย่างใจเย็น “โปรดตามข้ามา ราชาของเรารออยู่นานแล้ว”

 

 

“พวกเจ้ารู้หรือว่าจุดประสงค์ที่ข้ามาคืออะไร” ชีอ้าวชวางยังคงไม่ก้าวเดิน แต่มองเอลฟ์ผู้เย่อหยิ่งและหล่อเหลาผู้นั้นแล้วถาม

 

 

“รู้” หัวหน้าเอลฟ์พูดแล้วเดินนำไปข้างหน้า

 

 

ชีอ้าวชวางและเหลิ่งหลิงยวิ๋นมองหน้ากัน และเลือกที่จะตามเอลฟ์ผู้หยิ่งผยองไปอย่างเงียบๆ เบนกลอกตาและตามไปข้างหลังเช่นกัน เอลฟ์ที่เหลือก็ตามไปติดๆ ชีอ้าวชวางคิดในใจว่าเหตุใดเอลฟ์จึงรู้จักตัวตนของพวกเขา เหตุใดจึงรู้ว่าพวกเขาจะมา แถมยังรู้จุดประสงค์ในการมาของพวกเขาด้วย ชีอ้าวชวางนึกถึงบทสนทนาที่พูดคุยกับเทพเจ้าแห่งความมืดในครั้ง ดูเหมือนเทพเจ้าแห่งความมืดจะบอกว่าเทพเจ้าเอลฟ์แพ้พนันกับเขา เห็นได้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเทพเจ้าทั้งสองดีมาก หรือว่า…หรือว่าเทพเจ้าแห่งความมืดมาหาเทพเจ้าเอลฟ์เพื่อสร้างทางหนีทีไล่ไว้แล้ว?

 

 

ระหว่างทางมีแต่ความเงียบ หัวหน้าเอลฟ์ผู้หยิ่งผยองเดินไปข้างหน้าอย่างเงียบๆ ส่วนพวกของชีอ้าวชวางทั้งสามก็กำลังสังเกตปรากฏการณ์ที่แปลกประหลาด ข้างหน้านั้นไม่มีถนน กิ่งก้านใบไม้และวัชพืชขึ้นหนาแน่นไปทั้งป่า แต่เมื่อเอลฟ์ที่อยู่ข้างหน้าเดินไป กิ่งไม้และวัชพืชเหล่านั้นก็แหวกทางออกให้

 

 

ชีอ้าวชวางและเหลิ่งหลิงยวิ๋นมองหน้ากันแล้วก็เห็นความหวาดระแวงในดวงตาของกันและกัน เบนก็แอบหวั่นใจเช่นกัน เอลฟ์ตนนี้ควบคุมพืชได้ คาดไม่ถึงว่าตอนนี้เอลฟ์ทำเช่นนี้ได้จริงๆ! เหมือนจะเคยได้ยินท่านพ่อพูดให้ฟังเมื่อก่อนว่าหลายร้อยหลายพันปีก่อน เผ่าเอลฟ์เคยมีอัจฉริยะที่หาตัวจับยาก คิดไม่ถึงว่าจะได้เจอกับตัวในวันนี้!

 

 

เอลฟ์ผู้หยิ่งผยองเดินไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว นำทุกคนให้เข้าไปยังส่วนลึกของป่าที่บริเวณโดยรอบค่อนข้างมืดครึ้มเพราะต้นไม้สูงทำให้แสงแดดส่องลงมาได้ไม่เต็มที่ เมื่อเดินไปข้างหน้าเรื่อยๆ แสงก็เริ่มสว่างขึ้น แต่แสงเหล่านั้นมาจากดอกไม้และต้นไม้โดยรอบ บนใบไม้และกลีบดอกไม้มีน้ำค้างส่องแสงประกายออกมา และหยาดน้ำค้างเหล่านี้ก็ให้แสงอ่อนๆ จำนวนมากจนส่องสว่างไปรอบๆ ได้

 

 

เบนเอื้อมมือไปสัมผัสหยาดน้ำค้างบนใบไม้ที่อยู่ข้างเขาอย่างอยากรู้อยากเห็น หยาดน้ำค้างนั้นก็ค่อยๆ หรี่แสงลงและกลายเป็นหยดน้ำธรรมดา

 

 

“นี่มันอะไรกัน?” เบนหันหน้าไปถามเอลฟ์ที่อยู่ข้างเขา

 

 

“นี่คือน้ำแร่แห่งชีวิตของเรา ต้นไม้เหล่านี้พึ่งพาน้ำแร่แห่งชีวิตของเรา พวกมันจะดูดซับน้ำแร่ ดังนั้นหยดน้ำที่ไหลซึมออกมาจึงเป็นเช่นนี้” แม้ว่าเอลฟ์ที่อยู่ข้างๆ จะดูรังเกียจชีอ้าวชวางและเหลิ่งหลิงยวิ๋น แต่สุภาพกับเบนมาก เพราะถึงอย่างไรตัวตนของเบนก็คือเผ่ามังกร ไม่ใช่มนุษย์

 

 

ตรงหน้าเริ่มสว่างมากขึ้นเรื่อยๆ อากาศก็เริ่มชื้นและสดชื่นขึ้นด้วย

 

 

“ท่านมังกรผู้มีเกียรติ ดูสิ นั่นคือน้ำแร่แห่งชีวิตของเรา” เอลฟ์ข้างๆ เบนชี้นิ้วออกไปข้างหน้าอย่างภาคภูมิใจ

 

 

มีเสียงน้ำไหลดังมา และกลุ่มคนเดินก็ไปข้างหน้า สิ่งที่อยู่ตรงหน้าทุกคนคือทะเลสาบสีเงิน ทั้งทะเลสาบสะท้อนแสงสีเงินระยิบระยับ ตรงกลางทะเลสาบมีต้นไม้สีเขียวขนาดใหญ่ บนลำต้นของต้นไม้ใหญ่มีรูปร่างแปลกๆ ธารน้ำสีเงินยังคงไหลลงสู่ทะเลสาบอย่างต่อเนื่องและไม่มีที่สิ้นสุด นี่คือต้นไม้แห่งชีวิตและน้ำแร่แห่งชีวิตของเอลฟ์นั่นเอง

Related

เสน่ห์คมดาบ

เสน่ห์คมดาบ

แคลร์ ฮิลล์ คุณหนูใหญ่สุดสำรวยแห่งตระกูลขุนนางชั้นสูงผู้มีชื่อฉาวคาวกะฉ่อนว่าโง่เง่า เอาแต่ใจและบ้าผู้ชายเป็นชีวิตพลัดตกจากหลังม้าขณะไล่ตามองค์ชายสองจนหมดสติ สร้างความอับอายให้กับตระกูลเป็นอย่างยิ่ง กระนั้นเมื่อหญิงสาวลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ท่าทีของนางกลับเปลี่ยนจากหน้ามือไปเป็นหลังเท้า ไม่มีอีกแล้วคุณหนูไร้ยางอายที่คลั่งไคล้การไล่จับบุรุษรูปงาม เรื่องเรียนไม่เอาอ่าว เรื่องงานไม่เอาไหน จะมีก็แต่คุณหนูแคลร์ผู้สงบเสงี่ยมเยือกเย็น สำรวมท่าที และเปี่ยมไปด้วยพลังเวทอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนเท่านั้น! เกิดอะไรขึ้นกับคุณหนูแคลร์คนนั้นกันแน่นะ!?

Comment

Options

not work with dark mode
Reset