ชีอ้าวชวางมองจินเหยียนที่กำลังเดินเข้ามาอย่างช้าๆ ไม่เข้าใจว่าตอนนี้นางควรรู้สึกอย่างไร นางทำได้เพียงมองทุกย่างก้าวที่จินเหยียนเดินเข้ามา
เหลิ่งหลิงยวิ๋นเหลือบมองแต่ไม่พูดอะไร
จินเหยียนเดินมาตรงหน้ากลุ่มของชีอ้าวชวางช้าๆ
ชีอ้าวชวางก้มหน้ามองจินเหยียนโดยไม่พูดอะไร
“คุณหนู ข้ากลับมาแล้ว…” จินเหยียนเอ่ยออกมาราวกับมีความเสน่หาอย่างมาก เขาค่อยๆ คุกเข่ากำมือขวาเป็นกำปั้นลงบนเข่าข้างหนึ่งและอีกข้างอยู่เหนือหน้าอกซ้ายของเขา เป็นท่าแสดงความเคารพของอัศวิน
คำพูดพันคำก็ไม่เท่าประโยคนี้ประโยคเดียว
คุณหนู ข้ากลับมาแล้ว…
ทางนั้นเบนกำลังต่อสู้อยู่อย่างเต็มกำลัง แต่ทางด้านนี้เงียบสงบมาก
ชีอ้าวชวางก้มลงมองจินเหยียนที่คุกเข่าอยู่บนพื้น จินเหยียนก็เงยหน้าขึ้นมองชีอ้าวชวางอย่างลึกซึ้งเช่นกัน
ทั้งสองคนมองหน้ากันโดยไม่มีใครขยับหรือพูดอะไร
หลังจากนั้นไม่นาน ชีอ้าวชวางก็ค่อยๆ ร่อนลงตรงหน้าจินเหยียน
จินเหยียนมองคนตรงหน้าอย่างเงียบๆ โดยที่ไม่ได้ลุกขึ้น
“เจ้ากลับมาแล้ว…” ทันใดนั้นใบหน้าของชีอ้าวชวางก็ปรากฎรอยยิ้มสดใส และน้ำเสียงของนางก็นุ่มนวล
จินเหยียนค่อยๆ ลุกขึ้นแล้วมองคนที่เขาเป็นห่วง จากนั้นใบหน้าอันหล่อเหลาของเขาก็ยิ้มออกมาแล้วพยักหน้าช้าๆ “ครับคุณหนู ข้ากลับมาแล้ว”
“จิ๊บๆ!”
“ฮู่ๆ!”
ไป๋ตี้และเฮยหยู่ร้องแล้วโผล่หัวออกมาจากเสื้อคลุมของชีอ้าวชวางด้วยความตื่นเต้น จากนั้นแขนของจินเหยียก็เหมือนกับมีลูกปืนใหญ่สองลูกมากระแทก เจ้าสองตัวร้องออกมาอย่างรักใคร่ ไป๋ตี้และเฮยหยู่ชอบจินเหยียนมากที่สุดในบรรดาผู้คนรอบตัวของชีอ้าวชวาง ตอนนี้พวกเขาจึงรู้สึกตื่นเต้นมากเมื่อได้เจอจินเหยียน
ในขณะที่ทางนี้ยังทักทายกันไม่เสร็จ การต่อสู้ทางฝั่งของเบนก็สิ้นสุดลงแล้ว ทุกคนที่นั่นจบชีวิตลงด้วยความอยุติธรรม วันนี้ชีอ้าวชวางเข้าใจลึกซึ้งแล้วว่าตายก่อนเริ่มภารกิจเป็นอย่างไร เดิมทีคนเหล่านี้ตั้งใจจะมาล้อมนาง แต่กลับยังไม่ทันได้เห็นแม้แต่รูปลักษณ์ของนางเลย แล้วยิ่งไม่ต้องพูดเรื่องการโจมตี เพราะพวกเขาถูกกวาดล้างไปหมดแล้ว
“อ้าว จินเหยียน เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร?” เบนยิ้มอย่างพอใจพร้อมทั้งบิดไหล่วิ่งมา
“ข้าได้ยินเรื่องของคุณหนู จากนั้นข้าก็ตามหาคุณหนูมาตลอด หลังจากนั้นข้าได้ยินมาว่ามีคนจำนวนมากมาประจำการกันอยู่ในวิหารแห่งแสง และเพราะว่าเจ้าอยู่ที่นี่ ข้าเลยเดาว่าคุณหนูอาจจะมาหาเจ้าที่นี่” จินเหยียนหันไปหาเบนแล้วอธิบาย
“ฮ่าๆ…เยี่ยม! นับว่าเจ้ามีไหวพริบดีมาก ข้าจำได้ว่าเจ้าเองเป็นคนของตระกูลฮิลล์ด้วยนี่ เจ้าคงไม่คิดที่จะจับคุณหนูของเจ้ากลับไปรับรางวัลหรอกใช่หรือไม่?” เบนหรี่ตามองและประกายที่มองไม่เห็นก็เกิดขึ้นในแววตาของเขา หากคำตอบของจินเหยียนทำให้เขาไม่พอใจแม้แต่น้อย เขาก็จะโจมตีอย่างไม่เกรงใจทันที
“ข้าบอกไปก่อนหน้านี้แล้วว่าคุณหนูคือความเชื่อของข้า ไม่ว่าคุณหนูจะทำอะไร ข้าก็จะยืนเคียงข้างนางเสมอ ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่วิหารแห่งแสงพูดนั้นเป็นเรื่องไร้สาระมาก”
“หือ?” เบนเลิกคิ้วและหรี่ตา “เจ้าเชื่อในตัวคุณหนูของตระกูลอย่างนั้นหรือ? ไม่ถูก เพราะตอนนี้นางไม่ใช่คุณหนูแล้ว แต่ชื่อของนางตอนนี้คือชีอ้าวชวาง”
“ชีอ้าวชวาง?” จินเหยียนตกใจเล็กน้อยแล้วพึมพำคำนี้ จากนั้นก็มองชีอ้าวชวางอย่างแน่วแน่แล้วพูดเบาๆ “ข้าเชื่อคุณหนู เชื่อมาตลอดโดยไม่ต้องการเหตุผลใดทั้งนั้น”
ชีอ้าวชวางมองสายตาที่แน่วแน่ของจินเหยียน หัวใจพลันอบอุ่น จินเหยียนมีพื้นเพมาจากการเป็นคนของดยุกกอร์ตั้นแต่สุดท้ายเขาก็เลือกที่จะยืนหยัดอยู่ข้างกายของนางอย่างมั่นคงเช่นนี้…
“ขอบคุณนะ…” ชีอ้าวชวางขอบคุณเบาๆ
“นั่นคือพาหนะของเจ้าหรือ?” จู่ๆ เบนก็มองไปทางจูดี้ที่ยังคงตัวสั่นอยู่บนพื้นอย่างดุร้าย
“ใช่” จินเหยียนพยักหน้า
“เอาน่า อย่าดุนักเลย” ชีอ้าวชวางมองไปที่ท่าทางดุร้ายของเบนและนางก็เข้าใจว่าสิ่งที่เบนเกลียดที่สุดก็คือเผ่ามังกรที่ถูกลดระดับให้เป็นสัตว์พาหนะของมนุษย์ แม้ว่าตัวเขาจะเต็มใจให้ชีอ้าวชวางขี่หลัง แต่สองสิ่งนี้มันแตกต่างกัน
“มานี่!” เบนตะโกนใส่จูดี้ที่หมอบอยู่บนพื้นอย่างเย็นชา
จูดี้ตัวสั่นเล็กน้อย จากนั้นก็เกิดแสงสีขาวสว่างวาบ แล้วจูดี้ก็กลายเป็นหญิงสาวในชุดสีแดงและเดินเข้ามาช้าๆ อย่างเหนียมอาย
“เพิ่งจะโตขึ้นเป็นวัยผู้ใหญ่ไม่นาน?” เบนถามพลางเหล่มองจูดี้ที่ยังคงเต็มไปด้วยความกลัว
จูดี้พยักหน้าแต่ไม่กล้าพูด
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร?” เบนถามอย่างเย็นชาพร้อมกับเชิดจมูก
จูดี้ทั้งส่ายหัวและพยักหน้า นางรู้แค่ว่าชายผมดำตรงหน้านางคือมังกรที่แข็งแกร่งกว่านาง แต่นางไม่รู้จักตัวตนของเขา
“เอาน่า เบน อย่ารังแกนางสิ” ชีอ้าวชวางเอ่ยให้หยุด
“ข้าคือราชามังกร ต่อไปนี้เจ้าจะเป็นพาหนะของพวกเรานะ” หลังจากเบนได้ยินคำพูดของชีอ้าวชวาง น้ำเสียงของเขาก็อ่อนลง
“ห๊ะ!” จูดี้มองเบนที่อยู่ตรงหน้าด้วยความประหลาดใจและหวาดกลัว ราชามังกรหรือ! ราชาของเผ่ามังกรอยู่กับหญิงสาวผู้นั้น หางตาของจูดี้จ้องมองไปที่จินเหยียน แต่นางก็ได้เห็นว่าสายตาของจินเหยียนไม่เคยละจากชีอ้าวชวางเลย จากนั้นหัวใจของนางก็เริ่มขุ่นมัว มีเพียงหญิงผู้นั้นเท่านั้นที่อยู่ในหัวใจของเจ้านาย จูดี้กัดริมฝีปากเล็กน้อยแล้วก้มหน้าลง จากนั้นนางก็พูดกับเบนด้วยความเคารพ “เพคะฝ่าบาท”
“จูดี้ไม่ได้เกิดและเติบโตมาในเส้นเลือดมังกร ตอนที่ข้าได้นางมายังเป็นเพียงแค่ไข่มังกรที่ยังไม่ฟักเลย” จินเหยียนพูดเบาๆ
เบนขมวดคิ้วไม่พูดอะไร ชีอ้าวชวางเข้าใจทันทีและพูดเสริม “ดังนั้นจูดี้จึงไม่ได้ทรยศต่อศักดิ์ศรีและความทระนงตนของเผ่ามังกรที่กลายมาเป็นพาหนะให้มนุษย์ เข้าใจหรือไม่เบน ต่อไปเจ้าไม่ต้องไปดุจูดี้ขนาดนั้นอีกนะ!”
“ก็ได้” เบนกระตุกมุมปากและหยุดพูด
จูดี้ก้มหัวลงพร้อมดวงตาที่เป็นประกายความอับอายและไม่พอใจ นางพูดเพื่อตนเอง! ไม่ชอบ! ไม่ชอบเลย! แต่ทั้งหมดนี้ไม่มีใครเห็นเลย
“อ้อ จินเหยียน เจ้าเดาสิว่าผู้ชายหน้าตาน่าเกลียดผู้นี้คือใคร?” เบนเปลี่ยนเป็นหน้ายิ้มและพูดพร้อมชี้ไปที่เหลิ่งหลิงยวิ๋นที่อยู่ข้างๆ
“บุตรแห่งแสง” จินเหยียนพูดประโยคนี้ออกมาอย่างแผ่วเบาและน้ำเสียงราบเรียบมาก
“เห้ย!” เบนไม่พอผู้ชายนิ่งๆ ไร้อารมณ์ขันผู้นี้
“ข้าไม่ใช่บุตรแห่งแสงอีกต่อไปแล้ว” เหลิ่งหลิงยวิ๋นพูดอย่างเรียบเฉยพร้อมรอยยิ้ม
“นี่คือออสต้า เขาเป็นเจ้าชายแห่งเอลฟ์” เบนพูด “ออสต้า นี่คือจินเหยียน เขาเป็นอัศวินของอ้าวชวาง”
ทั้งสองพยักหน้าให้กันเบาๆ โดยไม่มีคำพูดใดๆ เพิ่มเติม ใบหน้าของออสต้าไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว ผู้ชายตรงหน้าเขามีมังกรเป็นพาหนะ แต่เขาเป็นอัศวินของหญิงผู้นั้น! ผู้หญิงคนนี้มีความลึกลับมากมายแค่ไหนกันนะ?
“คุณหนูจะไปไหนต่อครับ? ที่นี่ไม่เหมาะที่จะอยู่นานๆ เลย” จินเหยียนหันไปมองตามเสียงดุร้ายข้างหลัง
“เดิมทีเราวางแผนว่าจะไปหาโนมก่อน” ชีอ้าวชวางมองไปที่ความดุร้ายตรงหน้าและขมวดคิ้วเล็กน้อย “เราออกจากที่นี่กันก่อนเถอะ”
“คุณหนูจะไปหาโนมทำไมครับ?” จินเหยียนงง
“ข้าต้องการสิ่งประดิษฐ์ในมือของพวกเขา มันคือหนึ่งในชิ้นส่วนของขนนกสังหารเทพเจ้า” ชีอ้าวชวางพูดเบาๆ “ข้ากำลังรวบรวมชุดขนนกสังหารเทพเจ้าเพื่อที่จะสังหารเทพีแห่งแสง”
“เข้าใจแล้ว” จินเหยียนพยักหน้าและมองจูดี้ “จูดี้ไปกันเถอะ”
หลังจากได้ยินที่ชีอ้าวชวางพูด หัวใจของจูดี้ก็บีบแน่น แล้วนางก็จมอยู่ในความคิดตนจนกระทั่งได้ยินคำสั่งของจินเหยียนจึงได้สติกลับมา
“เจ้านายจะไปไหนหรือคะ?” จูดี้พูดและกลับคืนร่างเดิม เผยให้เห็นร่างกายที่ใหญ่โตของนางต่อหน้าทุกคน
“ออกไปจากที่นี่กันก่อน” จินเหยียนพูดอย่างเคร่งขรึม ทุกคนขึ้นไปบนหลังของจูดี้ และเมื่อชีอ้าวชวางเดินขึ้นไป ความร้ายกาจที่มองไม่เห็นก็ปรากฏขึ้นในดวงตาของจูดี้แล้วหายวับไป
หลังจากที่ทุกคนขึ้นหลังเสร็จ จูดี้กส่งเสียงและกางปีกบินขึ้นไปบนท้องฟ้า
“จินเหยียน ในช่วงที่เจ้าหายตัวไปเจ้าไปทำอะไรหรือ?” เบนเหล่ตามองจินเหยียนและก็พูด “เจ้าแข็งแกร่งกว่าก่อนนะ เรามาลองสู้กันหน่อยไหม เมื่อไหร่ดี?”
“ดูเหมือนเจ้าจะลืมไปว่าเจ้าเคยพลั้งมือทำร้ายอ้าวชวางไปแทบแย่เมื่อครั้งที่แล้วนะ จินเหยียนแข็งแกร่งขึ้น เจ้าก็ดูเหมือนจะแข็งแกร่งขึ้นเหมือนกันนะ” จู่ๆ เหลิ่งหลิงยวิ๋นก็พูดออกมา
เบนยิ้มอย่างเก้กัง มันเป็นเรื่องจริง บอกว่าเป็นการลองสู้กัน แต่เขาเผลอใช้กำลังไปอย่างเต็มที่โดยไม่รู้ตัว
ชีอ้าวชวางยิ้ม ไม่พูดอะไร
“จริงสิ เจ้าได้ข่าวเกี่ยวกับอาจารย์คลิฟและวัลโดบ้างหรือไม่?” เบนลูบคางของเขาและถาม “ในเมื่อเจ้าเองสืบรู้ได้ว่าชีอ้าวชวางอาจอยู่ในเส้นเลือดมังกร เช่นนั้นแล้วคนอื่นๆ ล่ะ?”
“ปรมาจารย์คลิฟ…” จินเหยียนลังเลที่จะพูด
“มีอะไรหรือ?” ชีอ้าวชวางหันหน้าไปถามอย่างประหม่าเมื่อได้ยินความลังเลของจินเหยียน
“เราไปหาที่ตั้งแคมป์พักผ่อนแล้วค่อยคุยเรื่องนี้อย่างละเอียดดีกว่า” จินเหยียนถอนหายใจเบาๆ นางยื่นมือออกมาแล้วลูบหัวจูดี้ “จูดี้ ไปหาป่าที่ห่างไกลหน่อย เราจะตั้งแคมป์กัน”
จูดี้กระพือปีกบินไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
สีหน้าของชีอ้าวชวางยังคงสับสนอยู่ อาจารย์จะเป็นอย่างไรบ้าง? หรือว่าจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น?
“คุณหนู โปรดอย่ากังวลเลยครับ ไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับปรมาจารย์คลิฟหรอก” ดูเหมือนจินเหยียนจะอ่านความคิดของชีอ้าวชวางออกจึงพูดปลอบใจ
เสียงลมดังก้องอยู่ข้างหู แต่การแสดงออกของชีอ้าวชวางเคร่งขรึมมาก
ในที่สุดก็ได้ลงจอด เมื่อนั่งดีแล้ว ชีอ้าวชวางรีบถามทันที
จินเหยียนมองใบหน้าที่ประหม่าของชีอ้าวชวางแล้วก็มองเหลิ่งหลิงยวิ๋น จากนั้นก็ถอนหายใจยาว “ไม่กี่วันก่อนการพิจารณาคดี ปรมาจารย์คลิฟออกไปกับใครบางคน ดังนั้นปรมาจารย์คลิฟจึงไม่รู้เรื่องที่คุณหนูกลับมาเลยด้วยซ้ำ และเหตุผลที่เขารีบไปก็เพราะเรื่องอันตรายของคุณหนู เขาอยากจะไปช่วยคุณหนูก่อน”
“ตอนนั้นข้าแอบกลับไปยังเมืองหลวงแล้ว” ชีอ้าวชวางขมวดคิ้วแล้วคลื่นแห่งความวิตกกังวลและความเสียใจก็เกิดขึ้นในใจของนาง หากตนเองได้พบกับอาจารย์ก่อนหน้านั้นก็คงไม่คลาดกัน
“ส่วนคนที่บอกข่าวกับปรมาจารย์คลิฟก็คืออาจารย์ราอูล” จินเหยียนถอนหายใจเล็กน้อย ขณะที่เขามองใบหน้าสงบของเหลิ่งหลิงยวิ๋นที่ในที่สุดก็เปลี่ยนไป
“อาจารย์งั้นหรือ?!” ใบหน้าของเหลิ่งหลิงยวิ๋นเปลี่ยนเป็นย่ำแย่มาก “อาจารย์หลอกให้ปรมาจารย์คลิฟไปงั้นหรือ?”
“ใช่” จินเหยียนพยักหน้าเล็กน้อย “หลังจากที่อาจารย์คลิฟทราบเรื่องก็ทำร้ายอาจารย์ราอูลจนได้รับบาดเจ็บสาหัสและจากไปตามลำพัง เขาสาบานว่าจะตามหาคุณหนูให้พบ ท่านอาจารย์คลิฟฝากคำพูดถึงอาจารย์ราอูลไว้ด้วยว่าชาตินี้ไม่ต้องมาพบเจอกันอีก!”
Related