แคลร์ฟังน้ำเสียงโกรธของวัลโดอย่างเงียบๆ ไม่ได้พูดขัดจังหวะ นางพอจะเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง วัลโดเป็นคนมีความสามารถ เขาได้รับการสนับสนุนให้เข้าร่วมกับวิหารแห่งแสง แต่ต่อมากลับถูกบีบออกโดยคนที่อิจฉาเขา เรื่องนี้มีส่วนอย่างมากที่ทำให้เขากลายเป็นจอมเวทย์แห่งความมืดที่ใครๆ ต่างก็ต่อต้าน
ทันใดนั้นจู่ๆ วัลโดก็เงียบไม่พูดอะไรอีก
แคลร์เห็นว่าวัลโดสงบลงแล้ว แสดงว่าเขาคงไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้อีก นางจึงไม่ถามอะไร
ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะมีความลับของตัวเอง
แคลร์นั่งรับลมเย็นๆ อยู่ในสวน ใจก็คิดถึงปัญหาบางอย่างจนกระทั่งงานเลี้ยงจบลง
หลังจากงานเลี้ยงจบลง แคลร์และดยุกกอร์ตั้นก็เดินทางกลับ
บนรถม้า ดยุกกอร์ตั้นนั่งหลับตาพิงรถ ไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ ส่วนแคลร์ก็เงียบเช่นกัน ทันใดนั้นกอร์ตั้นก็ลืมตาขึ้นมองนางแล้วพูด “แคลร์ เรื่องศักดินาของเจ้า เจ้ามีแผนอย่างไรบ้าง?”
“ท่านปู่ ท่านปู่ให้คนไปจัดการให้ข้าก่อนเถิด ตอนนี้ข้ายังเรียนไม่เสร็จสิ้นเลย” แคลร์ตอบ
“อืม ปู่ก็คิดเห็นเช่นนี้ เจ้าเอาตรานั่นมาให้ปู่ก่อน ปู่จะหาคนที่ไว้ใจได้ไปจัดการทุกๆ เรื่องแทนเจ้า ปู่จะรอจนกระทั่งเจ้าพร้อมที่จะจัดการสิ่งเหล่านี้ด้วยตัวเอง” ที่จริงๆ ดยุกกอร์ตั้นไม่สนใจเมืองเล็กๆ นั้น เขาจะไม่ยอมให้สิ่งเล็กน้อยเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อการเรียนเวทมนตร์ขั้นสูงของแคลร์กับปรมาจารย์คลิฟหรอก
“ขอบคุณค่ะท่านปู่” แคลร์พูดด้วยรอยยิ้ม
“เจ้าจงตั้งใจเรียนกับท่านอาจารย์คลิฟ ถ้าวันหนึ่งเจ้าได้เป็นจอมเวทย์ศักดิ์สิทธิ์ วันนั้นธงกุหลาบป่าของตระกูลฮิลล์จะโบกสะบัดไปตลอดกาลได้อย่างแท้จริง” ดวงตาของกอร์ตั้นเปล่งประกาย
“ข้าจะตั้งใจเรียน จะไม่ทำให้ท่านปู่ผิดหวัง” แคลร์พยักหน้าและพูดอย่างจริงจัง
“ปู่เชื่อว่าเจ้าจะทำได้ วันหนึ่งเจ้าจะเป็นความภาคภูมิใจของปู่ ตระกูลฮิลล์ และแผ่นดินอันพาแกรนด์” ดวงตาของกอร์ตั้นเต็มไปด้วยความคาดหวัง “ตอนนี้พวกคนเหล่านั้นยังคงติดภาพเดิมๆ ของเจ้าเมื่อก่อนหน้านี้อยู่ ปู่รู้ว่าวันหนึ่งเจ้าจะทำให้ทุกคนประหลาดใจ เมื่อวันนั้นมาถึงคนเหล่านั้นจะไม่มองว่าเจ้าเป็นหลานสาวของข้าหรือเป็นศิษย์ของอาจารย์คลิฟอีกต่อไป ทุกคนจะมองเจ้าเป็นตัวเจ้าเอง พวกเขาจะได้ยินชื่อแคลร์จนคุ้นเคย! เจ้าก็คือเจ้า เจ้าคือแคลร์ ฮิลล์!” กอร์ตั้นมองแคลร์และพูดทุกคำในใจออกมา
แคลร์ยิ้มและไม่พูดอะไร แต่ในใจนางรู้สึกประทับใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไม่สามารถหาสิ่งใดมาเทียบได้ ในเวลานี้ชายชราที่อยู่ตรงหน้าดูเหมือนชายชราทั่วไปที่คาดหวังในตัวหลานสาวของเขา แคลร์ไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าทำไมในตอนนี้ชายชราผู้นี้จึงรู้จักตนของนางได้ดีกว่านางเองเสียอีก ทำไมเขาถึงได้ยอมรับนางได้ถึงขนาดนี้ แคลร์ยังคงข้องใจไปอีกนานหลังจากวันนั้น
แต่กอร์ตั้นไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่าสิ่งที่เขารอคอยอยู่ลึกๆ จะมาถึงอย่างรวดเร็วและกะทันหันมาก
ในช่วงปิดเทอมฤดูร้อน ชีวิตในทุกๆ วันของแคลร์ค่อนข้างน่าเบื่อ
แคลร์นั่งสมาธิ ฝึกฝนเวทมนตร์โดยมีอูมาริคอยแนะนำ เรียนวรรณกรรมตอนเช้า เรียนขี่ม้าและดาบในช่วงบ่าย คลิฟให้คนนำวัตถุล้ำค่ามาให้ แต่เขาไม่เคยมาด้วยตัวเอง เขามัวแต่ยุ่งอยู่กับการทดลองของเขา
ไม่มีใครรู้เลยว่าแคลร์ได้แผลกลับมาที่ห้องนอนทุกคืน
“แคลร์ เจ้าทรมานตัวเองเช่นนี้จะมีอะไรดีล่ะ?” วัลโดถามอย่างสงสัย ทุกวันเมื่อแคลร์กลับมาที่ห้องแล้วอาบน้ำเสร็จ เขาจะได้เห็นรอยแผลที่อยู่ตามร่างกายของนาง เวลานี้นางก็กำลังทำแผลด้วยยาทำแผลวิเศษที่นางขอคลิฟมา ยานี้ช่วยทำให้บาดแผลเหล่านั้นสมานกันในทันที คลิฟไม่ได้ถามแคลร์ว่าต้องการยาเหล่านี้ไปเพื่ออะไร ขอเพียงแค่แคลร์เอ่ยปากบอกสิ่งที่ต้องการ หากเขาทำได้ เขาก็จะนำมาให้แคลร์อย่างแน่นอน
แคลร์เงียบและใช้ยาทำแผลตามร่างกายของตัวเองราวกับว่านางไม่รู้สึกเจ็บปวดใดๆ วัลโดไม่กล้ามองร่างของแคลร์ แต่เขาสงสัยอยู่ตลอดว่าจำเป็นด้วยหรือที่แคลร์ต้องทำถึงขนาดนี้? ต้องทำถึงขั้นนี้เลยหรือ? ในตอนนี้นางได้รับความรักจากดยุกกอร์ตั้นและได้รับการสนับสนุนจากคลิฟโดยที่พวกเขาไม่ได้ต้องการอะไร แล้วทำไมตัวนางเองต้องทำเช่นนี้ด้วยล่ะ?
ในช่วงสิบวันสุดท้ายของวันหยุดปิดเทอมฤดูร้อนกลับมีเรื่องเกิดขึ้น
ประเทศลากัคซึ่งเป็นประเทศเพื่อนบ้านได้ส่งนักเรียนจากโรงเรียนเวทมนตร์ของประเทศลากัคมาเพื่อสร้างสัมพันธ์กับทางโรงเรียนไรซิ่งซัน ภายนอกบอกว่านี่เป็นการสร้างสัมพันธ์ แต่ความจริงแล้วทุกคนเข้าใจดีว่านี่คือการประลอง เรียกได้ว่าเป็นการแสดงพลังต่อกัน ในทวีปนี้ ประเทศลากัคเป็นรองในเรื่องความแข็งแกร่งแค่เพียงประเทศอันพาแกรนด์เท่านั้น ในช่วงหลายปีมานี้ความแข็งแกร่งของประเทศลากัคเพิ่มสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดด ฉะนั้นการแลกเปลี่ยนสร้างสัมพันธ์ระหว่างสถาบันครั้งนี้จะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
“พวกเราจะแพ้ไม่ได้” กอร์ตั้นนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ความหมายของนายท่านก็คือ หากในสถานการณ์ที่มีความจำเป็นเราควรใช้มาตรการพิเศษอย่างนั้นหรือ? ” อูมาริในชุดคลุมสีดำยืนนิ่งแล้วถามเสียงต่ำ
“ไม่ว่าจะใช้วิธีไหน เราก็จะแพ้ไม่ได้ การแข่งขันครั้งที่แล้วราเซียชนะมาได้อย่างหวุดหวิดเพราะสถานการณ์บางอย่างที่เกิดขึ้นกับอีกฝ่าย ครั้งนี้พูดยากจริงๆ” ดยุกกอร์ตั้นสีหน้าดูเคร่งเครียด “การแข่งขันในครั้งนี้ ไม่ได้มีเพียงแต่จักรพรรดิที่จะเสด็จมาเช่นทุกครั้ง แต่วิหารแห่งแสงเองก็จะมาเช่นกัน ฐานหลักของวิหารแห่งแสงประจำอยู่ที่ประเทศของเราอย่างมั่นคงที่สุดมาตลอด ถ้าหากครั้งนี้เราแพ้ ข้าไม่กล้าคาดเดาเลยว่าท่าทีของวิหารแห่งแสงจะเอนเอียงไปทางไหน” ขุนนางชั้นสูงทั้งหมดจะมาชมการประลอง ครั้งนี้เราจะแพ้ไม่ได้เป็นอันขาด หากจะบอกว่าการประลองครั้งนี้มีผลต่อชะตาของประเทศก็ไม่ได้กล่าวเกินจริงเลยสักนิด เพราะเรื่องนี้มีความซับซ้อนกว่าที่ทุกคนคาดคิดได้…… ดังนั้นเราจะต้องชนะให้ได้ ไม่ว่าจะต้องใช้วิธีการใดก็ตาม!
“จริงสิ เราจะให้แคลร์เข้าร่วมการประลองครั้งนี้ไม่ได้ พลังของนางยังไม่ได้มีการเติบโตที่ชัดเจน ข้าไม่อยากให้นางได้รับบาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย” ดยุกกอร์ตั้นขมวดคิ้วและกล่าวเสริม
“ครับ นายท่าน” อูมาริตอบรับอย่างเห็นด้วย เขาเองนี่แหละที่จะไม่ยอมให้แคลร์เข้ามายุ่งเรื่องนี้ยิ่งกว่าใครๆ
แต่ว่า ความเป็นจริงจะง่ายดายอย่างที่พวกเขาคิดเอาไว้เช่นนั้นน่ะหรือ?
สามวันต่อมา อัครราชฑูตและเหล่านักเรียนจากสถาบันของประเทศลากัคก็เดินทางมาถึงเมืองหลวงของอันพาแกรนด์ พวกเขาทั้งหมดเข้าพักที่เรือนรับรองเพื่อรอคอยงานประชุมสร้างสัมพันธ์ครั้งยิ่งใหญ่ที่จะเกิดขึ้นในอีกสองวันข้างหน้า
ในวันที่แสงแดดสดใส แคลร์พิงอยู่ที่ขอบหน้าต่างมองนกร้องเจื้อยแจ้วบนต้นไม้ที่ด้านนอกอย่างครุ่นคิด
“แคลร์ เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่? ” จู่ๆ เสียงของวัลโดก็ดังขึ้น จากนั้นร่างโปร่งแสงของเขาก็ลอยไปมาอยู่ในห้อง หลังจากวัลโดบอกในสิ่งที่แคลร์อยากรู้ไปแล้ว อูมาริก็ได้ค้นหาหินผลึกแห่งความมืดที่จะค่อยๆ ช่วยฟื้นฟูพลังให้กับเขาเพื่อเป็นการตอบแทน หินผลึกนั้นมีเวทย์แปลกๆ บางอย่าง ตอนนี้วัลโดจึงสามารถอยู่ห่างจากหินวิญญาณได้ไกลมากกว่าเดิมเล็กน้อย อีกทั้งเขายังสามารถซ่อนลมหายใจที่แสดงตัวตนของเขาได้ด้วย ถ้าไม่ใช่คนที่มีพลังแข็งแกร่งมากจริงๆ ก็ยากที่จะหาเขาพบ ตอนนี้สำหรับแคลร์แล้ว วัลโดมีประโยชน์ยิ่งกว่าพวกหุ่นเวทย์เสียอีก เพราะเขาสามารถสืบข่าวได้แม่นยำยิ่งขึ้นด้วย
แคลร์หันหน้าไปมองวัลโดที่อยู่ข้างๆ ตอนนี้ร่างของวัลโดโปร่งใส แต่นางสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน หลังจากที่อูมาริเสริมพลังให้เขา รูปร่างภายนอกของวัลโดนั้นแตกต่างจากพฤติกรรมที่น่าสมเพชของเขาอย่างสิ้นเชิง วัลโด….. ดูดีมากๆ ใช่ ไม่ผิดเลย วัลโดดูดีมาก เขามีผมยาวสลวยสีดำ ดวงตาสีเหลืองอำพัน มองยังไงเขาก็ดูเหมือนชายรูปงามที่นิสัยอ่อนโยน แต่เมื่อชายผู้นี้เปิดปากพูดออกมา ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปหมด นอกจากนี้เขายังอยากรู้อยากเห็นความรู้สึกของแคลร์อยู่ตลอดเวลา เหตุผลสำคัญที่เขาเป็นแบบนี้ก็เพราะวัลโดไม่สามารถสัมผัสถึงความนึกคิดของปีศาจน้อยตัวนี้ได้ วัลโดผู้เป็นนักเวทย์ดำเชื่อว่าเขาสามารถมองเห็นความนึกคิดของมนุษย์ได้อย่างละเอียดถี่ถ้วน ดังนั้นเขาจึงสามารถใช้ความอ่อนแอของมนุษย์มาเป็นประโยชน์และใช้เพื่อบรรลุเป้าหมายของเขาเองได้ แต่สิ่งนี้กลับไร้ประโยชน์อย่างสิ้นเชิงเมื่อเป็นแคลร์ เขามองไม่เห็นความนึกคิดของแคลร์เลยด้วยซ้ำ นับประสาอะไรกับจุดอ่อนของแคลร์ล่ะ
วัลโดสบสายตาของแคลร์ที่มองเขาอย่างเงียบๆ ในใจก็เริ่มมีความคิดบางอย่าง ปีศาจน้อยตัวนี้เมื่อยามที่นางเงียบนั้นช่างน่ากลัวที่สุด เขาไม่รู้เลยว่านางกำลังคิดจะทำอะไร และรู้สึกเหมือนจะโดนงูพิษฉกเข้าให้
“การประชุมสร้างสัมพันธ์ครั้งใหญ่ในคราวนี้ดูเหมือนจะไม่ธรรมดาเลยนะ อาจารย์อูมาริก็หายตัวไปเลยทั้งวัน ส่วนท่านปู่ก็ดูจะกังวลเป็นอย่างมากด้วย” แคลร์ขมวดคิ้วเล็กน้อยและพูด นางรู้สึกเหมือนว่ามีคลื่นใต้น้ำกำลังก่อตัวขึ้น ความรู้สึกนี้ไม่ค่อยดีเสียเลย
วัลโดเงียบไป เขาต้องยอมรับว่าสัญชาตญาณของแคลร์บางครั้งก็น่ากลัวมากจริงๆ
“ใช่ การประลองครั้งนี้ ปู่ของเจ้าบอกว่าจะแพ้ไม่ได้เด็ดขาด” หลังจากที่วัลโดเงียบไปนาน ในที่สุดเขาก็บอกข่าวที่เขาไปแอบสืบมากับนาง
แพ้ไม่ได้เด็ดขาดงั้นหรือ?
“แล้วปู่ของเจ้าก็บอกว่าจะไม่ให้เจ้าเข้าร่วมการประลอง เขากลัวว่าเจ้าจะได้รับบาดเจ็บ” วัลโดกล่าวเสริม
แคลร์ตะลึง จากนั้นสายตาของนางก็อ่อนลง แต่วัลโดไม่ได้สังเกต
สถานที่จัดการประลองตั้งอยู่ในสนามกลางแจ้งของโรงเรียนไรซิ่งซัน อัฒจันทร์ด้านบนสุดมีตำแหน่งที่นั่งพิเศษหลายที่เตรียมไว้สำหรับคนพิเศษ โดยมีพรมสีแดงบนพื้นและเบาะที่ทำจากต้นข้าวสาลีอันล้ำค่าวางอยู่บนที่นั่งเพื่อให้เป็นที่นั่งที่สบายที่สุด เพราะเบาะกำมะหยี่นุ่มๆ ไม่เหมาะที่จะนำมาใช้ในช่วงฤดูร้อน ด้านข้างมีโต๊ะเล็กๆ และมีผลไม้ราคาแพงนานาชนิดวางอยู่บนจานสีเงิน ด้านบนของอัฒจันทร์มีผ้าไหมเรียบสีดำปกคลุมเพื่อปิดกั้นและดูดซับแสงแดด ด้านหลังที่นั่งแต่ละที่ยังมีสาวใช้สองคนถือพัดคอยพัดให้เย็น และพร้อมให้บริการคนที่จะนั่งอยู่ในที่นั่งเหล่านี้
แม้ว่าอัฒจันทร์อื่นๆ ทั้งสองด้านจะมีที่นั่งบังแดดเช่นกัน แต่ก็ไม่มีคนคอยให้บริการและไม่มีเบาะนั่งที่ทำจากต้นข้าวสาลี ที่นั่งบริเวณนี้เป็นของคนชั้นสูงและเหล่าขุนนางคนอื่นๆ ส่วนอัฒจันทร์ฝั่งตรงข้ามเป็นอัฒจันทร์ที่นักเรียนของทั้งสองประเทศนั่งกัน
ธงดอกเรดบัดโบกสะบัดพริ้วไหว ด้านหลังอัฒจันทร์มีวงดนตรีที่แต่งตัวอย่างเรียบร้อยยืนอยู่ด้วยสีหน้าที่ดูจริงจังมาก แม้พู่สีทองบนบ่าของพวกเขาพลิ้วไหวเบาๆ ตามสายลม แต่พวกเขาทั้งหมดยืนตรงนิ่งไม่ไหวติง ผู้ที่อยู่ในตำแหน่งทรอมโบนสีทองกำลังรอการปรากฏตัวของจักรพรรดิเพื่อประกาศการเริ่มประลอง บรรยากาศเคร่งขรึมจริงจังอบอวลไปทั่วทั้งสถานที่แห่งนั้น
……………………………………………………………………………………………….