สิ่งหนึ่งที่แคลร์แน่ใจก็คือ ชายร้ายกาจคนนี้วางแผนจะรับการโจมตีของราเซีย จากนั้นเขาจะตอบโต้ด้วยแท่งน้ำแข็งที่หนาแน่น ก่อนจะลอบยิงแท่งน้ำแข็งเล็กๆ ที่ซ่อนอยู่ระหว่างนิ้วเข้าไปที่หน้าอกของราเซีย! แม้ว่าคลิฟจะให้โล่เวทย์สามเหลี่ยมเล็กๆ ไว้ป้องกันอวัยวะสำคัญของราเซีย แต่ว่าแคลร์ก็ไม่แน่ใจว่าชายหนุ่มจะสามารถทำลายโล่นั้นแล้วยิงน้ำแข็งใส่หน้าอกของราเซียได้หรือไม่ ในการประลองรอบที่แล้วนักเรียนของไรซิ่งซันบาดเจ็บสาหัสจากการโจมตีที่รุนแรงจนโล่แตก อีกทั้งแคลร์ยังแน่ใจว่าชายที่เสยผมก่อนหน้านี้ไม่ได้แสดงพลังทั้งหมดของเขาออกมาด้วยซ้ำ แล้วเฟิงอี้เซวียนผู้นี้ล่ะ? ความแข็งแกร่งของเขาจะน่ากลัวถึงขั้นไหน? และสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ แม้ว่าทั้งสองประเทศจะไม่อยากให้เกิดเหตุผิดพลาดใดๆ กับนักเรียนที่เข้าร่วมการประลอง และพวกเขาก็ได้ให้โล่ป้องกันไว้แล้ว แต่ว่าการเสียชีวิตโดยอุบัติเหตุระหว่างการประลองนั้นไม่สามารถกล่าวโทษใครได้ ชายหนุ่มที่ชื่อเฟิงอี้เซวียนดูเหมือนจะต้องการใช้คำว่าอุบัติเหตุให้เป็นประโยชน์กับเขามากที่สุด
ทันใดนั้น ทั้งสองก็โจมตีใส่กัน
แคลร์เห็นได้อย่างชัดเจนว่าแท่งน้ำแข็งเล็กๆ ที่อยู่ระหว่างนิ้วของเฟิงอี้เซวียนกำลังจะถูกปล่อยออกตามหลังแท่งน้ำแข็งขนาดใหญ่ไปติดๆ เพื่อพุ่งไปยังหน้าอกของราเซีย นางน่าจะสามารถสกัดกั้นแท่งน้ำแข็งขนาดใหญ่ที่อยู่ด้านหน้าได้ แต่นางคงไม่สามารถสกัดแท่งน้ำแข็งเล็กๆ ที่ซ่อนอยู่ด้านหลังได้อย่างแน่นอน
สายฟ้ามีการเคลื่อนไหว น้ำแข็งก็เช่นกัน เฟิงอี้เซวียนยิ้มอ่อนหวานราวกับสายลมในฤดูใบไม้ผลิ
ในขณะนี้ สายตาของแคลร์ดูล้ำลึกและรูม่านตาของนางก็ขยายออกทันที
บนแท่นสูงนั้นมีเสียงดังก้องไปทั่วท้องฟ้า มีทั้งเสียงฟ้าร้องและเสียงแหลมของก้อนน้ำแข็งที่ตกลงมา เรียกความสนใจของผู้ชมได้เป็นอย่างมาก
เมื่อเมฆดำกระจายตัวออก ภาพที่ปรากฎบนแท่นสูงก็ทำให้ทุกคนประหลาดใจ
ราเซียพยุงร่างของนางอย่างเหนื่อยล้าเพื่อพยายามทรงตัวไว้ นางได้ใช้โล่เวทย์เพื่อสกัดแท่งน้ำแข็งขนาดใหญ่ แต่แท่งน้ำแข็งขนาดเล็กสร้างความบาดเจ็บให้นางอย่างมาก นอกเหนือจากนี้ตอนนี้แขนซ้ายของราเซียมีเลือดไหลไม่หยุด! เลือดสีแดงชุ่มแขนเสื้อของนาง ส่วนเลือดที่กระเซ็นอยู่บนพื้นมีรูปร่างราวกับดอกไม้สีเลือดที่ดูแปลกตา
ในเวลานี้ใบหน้าของเฟิงอี้เซวียนกลับนิ่งเฉยราวกับน้ำแข็ง! เขารู้ดีกว่าใครๆ ว่าหากเมื่อกี้ไม่ได้มีจิตวิญญาณที่แข็งแกร่งเข้ามาโจมตีเขา จุดที่ผู้หญิงคนนั้นเลือดออกคงไม่ใช่ที่แขนแต่เป็นหัวใจต่างหาก เมื่อกี้คือใครกัน?!
ราเซียกัดฟันทนกับความเจ็บปวดที่แขนของนาง มีน้ำแข็งอยู่ในเลือดของนาง และเมื่อน้ำแข็งละลายก็ยิ่งเพิ่มความเจ็บปวดให้กับนางมากขึ้น ราวกับมีมดหมื่นตัวกัดที่กระดูกจนแตกระแหง ราเซียยังนึกจริงๆ เลยว่านางได้ยินเสียงกระดูกแตกจริงๆ ภาพตรงหน้าของราเซียเริ่มพร่ามัวขึ้นเรื่อยๆ นางรู้ว่าเมื่อกี้นางรอดพ้นจากความตายมาหวุดหวิด สายตาที่เต็มไปด้วยความโกรธของชายที่อยู่ฝั่งตรงข้ามและแสงประหลาดที่เคลื่อนจากหน้าอกไปยังแขนของนางแทน ทำให้ราเซียเข้าใจว่าชายที่อยู่ฝั่งตรงข้ามต้องการฆ่านางแต่ถูกใครบางคนรบกวน เดิมทีการบาดเจ็บนี้จะต้องเกิดขึ้นที่หน้าอกของนาง!
ใครกันที่ขัดขวางชายผู้นี้ ใครกันที่ช่วยเหลือตนเองไว้?
สายตาของราเซียเริ่มพร่ามัวมากขึ้น แต่นางเห็นชัดเจนว่าดวงตาของชายที่อยู่ฝั่งตรงข้ามเริ่มเย็นชาขึ้นเรื่อยๆ และจากนั้นดวงตาที่เย็นชาของชายผู้นั้นก็เคลื่อนไปในทิศทางหนึ่ง
ก่อนที่ราเซียจะเป็นลม นางมองตามสายตาของชายผู้นั้นไป และในที่สุดก็ได้เห็นใบหน้าเฉยเมยของแคลร์!
ทั้งสถานที่จัดงานเงียบสงัด ทุกคนต่างอยู่ในอาการตะลึง
แลพตอนนี้เองคลิฟก็ได้ละสายตาจากกระโปรงของสาวใช้ข้างหลัง
ผลการแข่งขันบนแท่นสูงนั้นชัดเจนแล้ว ราเซียที่เป็นลมไปถือว่าเป็นฝ่ายแพ้ ส่วนเฟิงอี้เซวียนชายหนุ่มที่ยืนอยู่ด้วยใบหน้าเย็นชาเป็นฝ่ายชนะ
ฝั่งของโรงเรียนจากประเทศลากัคส่งเสียงเชียร์ ชนะแล้ว พวกเขาชนะแล้ว
นักเรียนของไรซิ่งซันนิ่งอึ้งกันไปหมด ำม่มีใครรู้ว่าราเซียที่นอนเลือดอาบอยู่บนแท่นสูงนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ บรรดาขุนนางบนอัฒจันทร์ต่างก็เป็นใบ้กันไปหมด ไม่มีใครคิดว่าเหตุการณ์จะเป็นเช่นนี้และไม่มีใครยอมรับผลการแข่งขันได้
แพ้แล้ว พวกเขาแพ้แล้วจริงๆ
ราเซียเด็กสาวอัจฉริยะแพ้แล้ว แพ้อย่างราบคาบเลยด้วย
ท่านทูตบนที่นั่งพิเศษมองภาพตรงหน้า สายตาของเขาเป็นประกาย จากนั้นเขาก็หันไปมองที่พระสันตปาปาที่อยู่ข้างๆ แต่พระสันตะปาปากลับหลับตา! จักรพรรดิไม่มีรอยยิ้มบนใบหน้า แต่ก็ไม่มีการแสดงออกอื่นๆ เช่นกัน คลิฟเลิกคิ้วขึ้นราวกับกำลังคิดอะไรบางอย่าง ส่วนฮองเฮาขมวดคิ้วเล็กน้อยด้วยสีหน้าเป็นกังวล
หน่วยแพทย์ขึ้นไปบนเวทีสูงเพื่อนำตัวราเซียที่หมดสติลงมาเพื่อทำการช่วยเหลือในทันที จากนั้นนักเวทย์ที่ทำหน้าที่ผู้ตัดสินก็เดินขึ้นไปบนแท่นสูงเพื่อประกาศชัยชนะของเฟิงอี้เซวียน
เฟิงอี้เซวียนไม่สนใจนักเวทย์แล้วหันไปรอบๆ แทน เขามองไปในทิศทางหนึ่งพร้อมกับรอยยิ้มแปลกๆ บนใบหน้า จากนั้นเขายกมือขึ้นเบาๆ เพื่อหยุดคำพูดของผู้ตัดสิน
ผู้ตัดสินตะลึงงัน เขาไม่เข้าใจว่าชายหนุ่มผู้มีลมหายใจเยือกเย็นนี้ต้องการจะทำอะไร
สุ่ยเหวินโม่เริ่มนั่งไม่ติด เขามองเฟิงอี้เซวียนที่สนาม มีเพียงเขาเท่านั้นที่เข้าใจว่าครั้งนี้เฟิงอี้เซวียนจริงจังมาก ประกายในดวงตาของเฟิงอี้เซวียนพิสูจน์ให้เห็นว่าเขากำลังตื่นเต้น เขาพบบางสิ่งที่ดึงดูดความสนใจของเขาได้ มันคืออะไรกันนะ? สุ่ยเหวินโม่ก็ตื่นเต้นเช่นกัน
“การประลองเมื่อกี้ไม่นับ” พอเฟิงอี้เซวียนพูดออกไปก็เกิดความโกลาหลขึ้นทันที
คนของโรงเรียนไรซิ่งซันโกรธจนแทบระเบิด นี่ถือเป็นการดูถูกอย่างที่สุด!
ส่วนคนของทางลากัคก็อ้าปากค้าง อาจารย์ของเฟิงอี้เซวียนอยากจะร้องไห้ เขารู้ว่าเด็กมีปัญหาคนนี้กำลังจะสร้างเรื่องอีกครั้งแล้ว เขากำลังทิ้งชัยชนะที่ได้รับมา! นี่มันบ้าไปแล้ว! อาจารย์ของเฟิงอี้เซวียนดึงผมของตัวเองแล้วคร่ำครวญในใจว่าสักวันหนึ่งผมของเขาคงร่วงหมดหัวเพราะเฟิงอี้เซวียน สายตาของท่านทูตยิ่งทำให้อาจารย์อยากจะเอาหัวโหม่งกำแพง
“เจ้า! ออกมา! ” นิ้วของเฟิงอี้ซวนชี้ไปในทิศทางหนึ่งพลางพูดออกไปอย่างเย็นชา
สายตาของทุกคนมองตามทิศทางนิ้วของเฟิงอี้เซวียนไปแล้วพวกเขาก็ตะลึง
หญิงผู้มีใบหน้าคล้ายคลึงกับราเซียที่เพิ่งพ่ายแพ้ไปเมื่อกี้ คนๆ นั้นคือแคลร์!
“ออกมา เจ้าเองก็รู้ว่าทำไมข้าจึงเรียกให้เจ้าออกมา” เฟิงอี้เซวียนมองไปที่แคลร์แล้วพูดอย่างเย็นชา “เจ้าออกมาประลองแทนนาง เมื่อกี้ข้าขอไม่นับ”
คำพูดที่เย่อหยิ่งทำให้ชาวอันพาแกรนด์โกรธมาก ชายหนุ่มผู้นี้หยิ่งเกินไปแล้ว เขาไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ เขาเห็นการประลองที่ยิ่งใหญ่ระหว่างสองประเทศเป็นอะไร?!
ในที่สุดสีหน้าของท่านทูตก็เปลี่ยนไป เขากำลังจะยืนขึ้นเพื่อพูดอะไรบางอย่าง
ทันใดนั้นพระสันตะปาปาก็ลืมตาขึ้นแล้วพูดกับจักรพรรดิที่อยู่ข้างเขาเบาๆ “ฝ่าบาท ให้พวกเขาประลองกันเถิด อย่าไปทำลายความปรารถนาของเด็กๆ เลย”
ท่านทูตอ้าปากค้างแล้วกลืนคำพูดทั้งหมดของเขากลับไป เขาไม่เข้าใจว่าพระสันตะปาปากำลังคิดอะไรอยู่ พระสันตะปาปาจะสนับสนุนสิ่งที่ไร้สาระเช่นนี้จริงหรือ?!
จักรพรรดิก็ตะลึงเช่นกัน การเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันนั้นเป็นเรื่องน่าตกใจ แต่ปฏิกิริยาของพระสันตะปาปาทำให้ทุกคนอึ้งจริงๆ ผู้คนบนอัฒจันทร์ล้วนมึนงงไปกันหมด พระสันตะปาปาหมายถึงอะไร? เขาจะให้แคลร์ประลองอีกครั้งแทนราเซียงั้นหรือ? เขาทำไปเพื่อกู้หน้าอันพาแกรนด์หรืออย่างใด? การประลองที่ได้ผลสรุปไปแล้วต้องแข่งขันกันใหม่อีกครั้งหรือ?
แต่ในเมื่อพระสันตะปาปาพูดไปแล้ว สายตาของจักรพรรดิก็มองไปที่แคลร์ เขาไม่อยากทำให้อาจารย์คลิฟหรือพระสันตะปาปาขุ่นเคือง แคลร์พยักหน้าอย่างไม่แยแส ในที่สุดจักรพรรดิก็ยอม ในเมื่อแคลร์ตกลงแล้ว ดังนั้นแม้ว่าอาจารย์คลิฟจะตำหนิเขาก็ไม่เป็นไร ยิ่งไปกว่านั้นด้วยนิสัยของอาจารย์คลิฟ เขาไม่มีวันปล่อยให้แคลร์ได้รับอันตรายถึงแก่ชีวิตในการประลองหรอก หากถึงช่วงเวลาอันตรายจริงๆ อาจารย์คลิฟก็จะช่วยชีวิตแคลร์โดยไม่คำนึงถึงกฎระเบียบใดๆ อย่างแน่นอน
จักรพรรดิพยักหน้าให้ผู้ตัดสิน ผู้ตัดสินจึงได้สติแล้วตะโกนเสียงดัง “การประลองครั้งที่สาม แคลร์ ฮิลล์เผชิญหน้ากับเฟิงอี้เซวียน”
สถานที่จัดงานเดือดขึ้นมาทันที
ภาพที่เห็นนี้ทำให้ทุกคนตะลึง แต่ก็ตื่นเต้นมาก
ไม่ว่าจะอย่างไร อย่างน้อยก็มีความหวัง
มีโอกาสชนะไหม? จะมีโอกาสกู้หน้ากลับมาได้หรือไม่?
ทันใดนั้นสนามประลองก็แบ่งออกเป็นสองฝ่าย
บางคนบอกว่าแคลร์เป็นหญิงบ้าผู้ชาย มีแต่จะทำให้อันพาแกรนด์อับอายขายหน้ามากยิ่งขึ้น บางคนบอกว่าแคลร์เป็นศิษย์ของอาจารย์คลิฟอาจจะมีความหวัง แต่โดยทั่วไปแล้วคนฝ่ายแรกนั้นมีมากกว่า! ขุนนางที่รู้จักแคลร์ต่างก็มองนางด้วยอารมณ์ที่ซับซ้อน ทั้งดูถูก เยาะเย้ย ตลกขบขัน และมีความคาดหวัง… องค์หญิงแมริสมองไปที่แผ่นหลังของแคลร์อย่างเป็นห่วง เวลานี้สีหน้าของดยุกกอร์ตั้นนิ่งขึ้นเรื่อยๆ
แคลร์ลุกขึ้นยืนช้าๆ
เสียงทรอมโบนดังขึ้น
สายตาของทุกคนจับจ้องไปที่สาวผมทองคนนี้
ภายใต้แสงแดดเจิดจ้า แคลร์ยิ้มจางๆ และเดินไป
สายลมพัดผมยาวของแคลร์ให้ปลิวไสว ขณะนี้ผู้คนถึงกับตกตะลึง หญิงผู้นั้นไม่ใช่หญิงบ้าผู้ชาย แต่นางเป็นไข่มุกที่พร่างพราว
แคลร์ที่อยู่ท่ามกลางสายตาของทุกคนค่อยๆ ก้าวออกจากอัฒจันทร์แล้วเดินไปที่แท่นการประลอง
องค์หญิงแมริสมองแผ่นหลังของแคลร์อย่างเป็นห่วง ในใจก็รู้สึกประหม่า ราเซียไม่ใช่คู่ต่อสู้ของคนๆ นั้น แล้วแคลร์จะทำได้งั้นหรือ? แคลร์จะกลับมาได้อย่างปลอดภัย ครบถ้วนสมบูรณ์หรือไม่?
“คราวนี้ข้ากลัวว่าพวกเราจะต้องอับอาย หญิงบ้าผู้ชายอย่างแคลร์ไม่ได้เรียนหรือมีทักษะใดๆ เลย ข้าก็ไม่รู้ว่าทำไมนางถึงเป็นศิษย์ของปรมาจารย์คลิฟได้ เรื่องนี้ต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ๆ” เสียงทุ้มต่ำผ่านเข้าหูขององค์หญิงแมริส
“ใช่ คราวนี้พวกเราต้องอับอายครั้งใหญ่แล้วล่ะ คนโง่ลุกขึ้นมาต่อสู้ นางคิดว่าตัวเองเป็นอะไรกัน” อีกคนพูดเสียงต่ำ
วินาทีต่อมา ทั้งสองคนก็ตกตะลึง พวกเขาเห็นดวงตาที่แข็งกร้าวและเย็นชาขององค์หญิงแมริสมองมาทางตัวเอง องค์หญิงผู้อ่อนโยนและใจดีไม่เคยแสดงออกเช่นนี้มาก่อน! ทั้งสองคนจึงเงียบลงแล้วก้มหน้าทันที
“ไม่ว่าแคลร์จะชนะได้หรือไม่ แต่นางก็มีความกล้าหาญที่จะยืนหยัดต่อสู้เพื่อประเทศของเรา” คนรอบๆ ต่างได้ยินเสียงขององค์ชายสอง ใบหน้าของผู้คนรอบข้างดูซับซ้อนและพวกเขาหยุดพูดทันที แน่นอนว่าพวกเขาเข้าใจความหมายขององค์ชายสอง แคลร์ยืนขึ้นอย่างไม่กลัวที่จะต่อสู้ แต่พวกเขากลับเอาแต่พูดจาเช่นนี้ พวกเขาด้อยยิ่งกว่าแคลร์ที่เป็นหญิงบ้าผู้ชายเสียอีก
………………………………………………………………………………