ทันใดนั้นที่ประตูเมืองก็มีเสียงดังขึ้น “พวกเจ้าไม่ต้องกังวล ท่านเจ้าเมืองเดินทางมาด้วยตัวเองแล้ว สิ่งต่างๆ จะคลี่คลายในไม่ช้า โปรดรอฟังข่าวดี ระหว่างนี้ห้ามทุกคนเข้าและออกเพื่อความปลอดภัยของทุกคน วันนี้บุตรแห่งแสงก็มาด้วย โปรดมั่นใจว่าจะมีข่าวดีในเร็วๆ นี้แน่นอน”
ประตูเมืองถูกปิดอีกครั้ง แม้ว่าผู้คนจะกังวลแต่ก็ไม่ตื่นตระหนกใดๆ
ทั่วเมืองเนียร์มีกลิ่นแปลกๆ เป็นกลิ่นของเน่าคละคลุ้งผสมกับกลิ่นธูป แคลร์เปิดผ้าม่านดูสถานการณ์ข้างนอก ไม่มีใครอยู่บนถนนเลย ประตูทุกบานก็ถูกปิด กลิ่นแปลกๆ นั้นน่าจะเกิดจากการจุดธูปเพื่อกลบกลิ่นศพที่เน่าเปื่อย
หากเป็นเช่นนั้น ศพของผู้ที่เสียชีวิตด้วยโรคระบาดไม่ได้ถูกเผางั้นหรือ?
แบบนี้ก็รังแต่จะทำให้โรคภัยขยายกว้างขึ้น!
รถม้าเข้าไปในคฤหาสน์ของเจ้าเมือง เมื่อแคลร์และคนอื่นๆ ลงจากรถม้าก็มีคนมาต้อนรับทันที
“ท่านหญิงแคลร์ ข้ารอพบท่านมานานแล้วครับ” ชายหนุ่มผู้อ่อนโยนก้าวออกมาข้างหน้าแล้วโค้งคำนับอย่างเคารพ “ข้าชื่อฮีธ เป็นคนที่ท่านดยุกส่งมาเพื่อช่วยท่านหญิงดูแลจัดการสิ่งต่างๆ”
“ขอบคุณสำหรับการทำงานหนักของเจ้า” แคลร์ไม่ได้เข้าไปในบ้าน นางสีหน้าเคร่งขรึมและออกคำสั่งทันที “ผู้ที่เสียชีวิตด้วยโรคระบาดควรถูกเผาและฝังทันที หน้าต่างทั้งหมดควรเปิดให้ได้รับการระบายอากาศและฆ่าเชื้อ ทหารจะต้องสวมหน้ากากขณะออกไปปฏิบัติหน้าที่ สุดท้ายนี้คือข้าอยากไปดูอาการของผู้ติดเชื้อสักหน่อย” แคลร์เห็นได้อย่างชัดเจนว่ากลุ่มทหารที่ตอนรับนางที่ประตูเมืองก่อนหน้านี้ไม่มีมาตรการป้องกันใดๆ เลย สิ่งนี้อันตรายมาก
“ท่านเจ้าเมือง? ” ฮีธถามด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย “ท่านหญิงจะไปดูตอนนี้เลยหรือครับ? “
“เจ้าไปดำเนินการตามคำสั่งของข้าเลยทันที เผาศพพวกนั้นเลยในตอนนี้ การจุดธูปปกปิดได้แค่กลิ่นแต่ไม่มีผลอะไร ตอนนี้พาข้าไปดูผู้ที่ติดเชื้อโรคระบาดหน่อย” แคลร์สั่งอย่างจริงจัง “ตอนนี้! เจ้าเข้าใจความหมายของคำว่าตอนนี้หรือไม่? “
ฮีธตกใจมาก พอเขาได้สติกลับมาก็หันไปออกคำสั่งทันที
ในไม่ช้ากลุ่มทหารหลายกลุ่มก็วิ่งเหยาะๆ พร้อมสวมหน้ากากและแยกย้ายกันไปทุกทิศทางในเมือง
เหลิ่งหลิงยวิ๋นมองใบหน้าที่สง่างามของแคลร์ เมื่อได้ยินคำสั่งของนาง สายตาของเขามีประกายแวบเข้ามาแล้วหายวับไป
เมื่อแคลร์เห็นสภาพของผู้ที่ติดเชื้อ นางงุนงงเล็กน้อย โรคระบาดนี้ไม่ใช่ไข้ทรพิษหรือโรคระบาดมักเป็นกันในสมัยโบราณ อาการของคนที่ติดเชื้อนั้น ผิวหนังของพวกเขาจะเปลี่ยนเป็นสีคล้ำ จากนั้นจะเข้มขึ้นเรื่อยๆ จนเน่า! โรคระบาดนี้แพร่กระจายไปกับน้ำลายและเลือด
มีประกายในดวงตาของเหลิ่งหลิงยวิ๋นแล้วเขาก็ตัดสิน
นี่ไม่ใช่โรคระบาด!
“แคลร์ นี่ไม่ใช่โรคระบาด นี่คือพิษของธาตุมืด ถึงแม้ว่ามันจะเบาบางมาก แต่ก็มีบรรยากาศที่มืดมนแผ่ออกมา มีนักเวทย์มนตร์ดำอยู่ในเมืองนี้! ไม่ใช่นักเวทย์ระดับต่ำๆ มิฉะนั้นคงเป็นไปไม่ได้ที่นักเวทย์ทั้งเมืองเนียร์จะไม่สามารถหาเขาพบได้” เสียงของวัลโดดังขึ้นในหัวของแคลร์
ผู้ติดเชื้อถูกพามาไว้ในห้องว่างขนาดใหญ่นี้ ผู้ป่วยนอนอยู่บนพื้นและส่งเสียงร้องครวญคราง มีกลิ่นเหม็นเน่าในห้อง แม้ว่าจะเปิดหน้าต่างระบายอากาศแล้ว แต่ก็ยังได้กลิ่นเหม็นเน่าชัดเจน
“เจ้ามั่นใจหรือ?” แคลร์ขมวดคิ้วถามวัลโด มองคนไข้ที่นอนอยู่บนพื้น แม้จะยังมีข้อสงสัย แต่แคลร์ก็รู้ดีว่าวัลโดรู้ในเรื่องเวทมนตร์แห่งความมืดมากกว่าใครๆ ที่นี่ เขาถือว่าเป็นอัจฉริยะแห่งเวทมนตร์มืดเลยก็ว่าได้
“ข้ามั่นใจ” น้ำเสียงของวัลโดดูเคร่งขรึมเล็กน้อย “แต่เวทมนตร์ที่ร้ายกาจเช่นนี้ไม่ได้ถูกใช้มานานแล้ว คนๆ นี้ไม่เพียงแต่เป็นนักเวทย์มนตร์ดำเท่านั้น แต่เขายังเป็นผู้ใช้ความตายด้วย”
“อะไรนะ?” แคลร์แปลกใจ ผู้ใช้ความตายนั้นชั่วร้ายมาก แม้ว่านักเวทย์มนตร์ดำจะเป็นที่เกลียดชังของหลายๆ คนและยังถูกสภาเวทมนตร์ปฏิเสธ แต่นักเวทย์ทุกคนมีหน้าที่ไล่ล่าและฆ่าผู้ใช้ความตายโดยไม่ต้องมีเหตุผลใดๆ เพราะผู้ใช้ความตายนั้นชั่วร้ายมาก พวกเขาใช้ชีวิตของมนุษย์เพื่อพัฒนาเวทมนตร์ของพวกเขา
“นี่ไม่ใช่โรคระบาด” ในเวลานี้เสียงเย็นชาของเหลิ่งหลิงยวิ๋นก็ดังขึ้น
“เฮ้ย พ่อหนุ่ม ไม่เลวนี่ เจ้ามองออกว่านี่ไม่ใช่โรคระบาด” คลิฟเลิกคิ้วแล้วพูด
“เห๊อะ! ชิ! งั้นเจ้าก็ถามเขาว่าถ้านี่ไม่ใช่โรคระบาดแล้วมันคืออะไรกันแน่? ” วัลโดตัดพ้อด้วยความรังเกียจ
“ท่านอาจารย์ สิ่งนี้เกิดจากมนต์ดำแต่ข้าไม่รู้ว่ามันคืออะไร” เหลิ่งหลิงยวิ๋นพูดอย่างสุภาพและตรงไปตรงมา
“ไม่เลว แค่เจ้ารู้ว่ามันไม่ใช่โรคระบาดก็เยี่ยมแล้ว เรื่องนี้ไม่มีนักเวทย์คนไหนในเมืองเนียร์ค้นพบเลย” คลิฟคุยกับเหลิ่งหลิงยวิ๋นแต่คำพูดประโยคหลังของเขากำลังตำหนิพวกนักเวทย์ในเมืองเนียร์ ในเมืองเนียร์ก็มีสาขาของสภาเวทย์มนตร์ด้วย
“เวทมนตร์เช่นนี้ มันหายไปนานแล้ว” วัลโดยังคงพูดในหัวของแคลร์ “เวทมนตร์ที่ทำให้ผู้คนติดเชื้อด้วยลมหายใจแห่งความตายสีดำ จากนั้นมันก็จะกระจายไปทั่วร่างกาย ค่อยๆ ทำลาย จนผู้ติดเชื้อตาย คนที่เป็นจะได้รับความเจ็บปวดอย่างมาก แล้วผู้ใช้ความตายก็จะดูดซับวิญญาณที่เจ็บปวดนั้นเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งของเขา แต่ว่านี่เป็นเรื่องใหญ่มาก เพราะเขาโจมตีทั้งเมืองเลย” วัลโดพูดแล้วถอนหายใจ
ขณะที่แคลร์กำลังรู้สึกประหลาดใจ คลิฟก็พูดขึ้น “นี่คือเวทมนตร์ที่ตายไปแล้ว ข้าเคยเห็นมันเมื่อร้อยปีก่อน”
ร้อยปี? แคลร์ตกใจ ตอนนี้อาจารย์อายุเท่าไหร่กันแน่?
“ข้าไม่คิดเลยว่าจะได้เห็นมันอีกในวันนี้ แถมยังอยู่ในเมืองด้วย” คลิฟถอนหายใจเบาๆ “วิธีเดียวที่จะกำจัดโรคระบาดนี้ได้ก็คือค้นหาผู้ใช้ความตายแล้วกำจัดเขาไปซะ”
“ชายชราผู้นี้เก่งจริงๆ” วัลโดพึมพำ แม้เขาจะอารมณ์ไม่ดี แต่ก็ยังต้องยอมรับว่าคลิฟมีความสามารถในฐานะจอมเวทย์ศักดิ์สิทธิ์จริงๆ
“ผู้ใช้ความตาย! ” ใบหน้าของเหลิ่งหลิงยวิ๋นเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขารู้จักผู้ใช้ความตายดีกว่าใคร รสของความตายที่เจ็บปวดที่สุด
ตอนนี้พบสาเหตุแล้ว แต่ว่าเบาะแสของผู้ใช้ความตายนั้นหาไม่ได้ง่ายๆ อย่างแน่นอน พวกเขาจะซ่อนตัวอยู่ในที่มืดมิดและคอยเฝ้าดูอยู่
“อ๊า…” ทันใดนั้นเสียงที่หนักแน่นก็ดังเข้าหูของทุกคน เสียงร้องโหยหวนจากนั้นทุกอย่างก็เงียบไป
“เกิดอะไรขึ้น?” คลิฟเงยหน้าขึ้นไปมองตรงนั้น
แคลร์เงียบลง ดวงตาของนางสบกับผู้ป่วยที่อยู่ใกล้ที่สุด ผิวที่เปลือยเปล่านั้นคล้ำลงแล้วค่อยๆ เน่าสลายไป พวกเขากำลังทนทุกข์ทรมานจากความเจ็บปวดอย่างไร้มนุษยธรรม เสียงกรีดร้องในตอนนี้หมายความว่าพวกเขาไม่สามารถทนต่อความเจ็บปวดได้อีกต่อไปแล้ว
เหลิ่งหลิงยวิ๋นหลับตาลงช้าๆ จากนั้นก็ร่ายคาถา แสงสีขาวเจิดจ้าพุ่งออกมาจากร่างของเหลิ่งหลิงยวิ๋นกลายเป็นโล่ขนาดใหญ่ปิดผู้ติดเชื้อในห้อง แสงอ่อนๆ ส่องไปที่ผู้ติดเชื้อและเสียงก็เงียบลง แต่ว่าผิวที่คล้ำและร่างกายที่เน่าเปื่อยไม่ได้รับการบรรเทาให้หายไป แสงนี้สามารถทำได้เพียงแค่ช่วยให้คนไม่รู้สึกเจ็บปวดเท่านั้น แต่ไม่มีทางที่จะรักษาพวกเขาได้เลย
“ไม่มีประโยชน์หรอกพ่อหนุ่ม มันลดความเจ็บปวดได้เท่านั้น ถ้าจะแก้ที่ต้นเหตุ เจ้าต้องหาผู้ที่ริเริ่มทำมัน” คลิฟพูดเสียงหนักแน่น
“ข้ารู้” เหลิ่งหลิงยวิ๋นพูดเบาๆ แต่ไม่ได้หยุดการเคลื่อนไหวของเขา
แคลร์หันไปก็เห็นว่ามีบางอย่างที่อธิบายไม่ได้ลึกๆ ในดวงตาสีม่วงบนใบหน้าอันหล่อเหลาของเหลิ่งหลิงยวิ๋น
แปลก… แคลร์รู้สึกสับสนเล็กน้อย สิ่งที่แคลร์รู้สึกก็คือนางและเหลิ่งหลิงยวิ๋นเป็นคนเย็นชาเหมือนกัน และเหลิ่งหลิงยวิ๋นก็ไม่ใช่คนที่มีความเมตตาอะไร แต่สิ่งที่เหลิ่งหลิงยวิ๋นแสดงให้เห็นในตอนนี้นั้นแตกต่างจากสิ่งที่แคลร์รู้สึกมาก่อนอย่างสิ้นเชิง
“อ่า เขาคิดว่าตัวเองเป็นบุตรแห่งแสงจริงๆ สินะ เขาไม่ได้คิดว่าตัวเองใช้เหตุผลส่วนตัวเข้าไปเรียนเวทมนตร์เพื่อเป็นผู้รักษาจากวิหารแห่งแสงงั้นสิ” วัลโดไม่สบายใจ
“มีอะไรหรือ?” แคลร์ถามอย่างสงสัย
“เขามีน้องสาวที่อ่อนแอและขี้โรค ดังนั้นเขาจึงเข้าวิหารแห่งแสงเพื่อจะเป็นผู้รักษา และต่อมาเขาก็ได้เป็นบุตรแห่งแสง ตอนนี้น้องสาวของเขาอยู่ในการดูแลของวิหารแห่งแสงเพื่อช่วยให้นางมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ นั่นคือเหตุผลที่เขาทำงานให้กับวิหารแห่งแสง” วัลโดพูดอย่างเหยียดหยาม “เจ้าคิดว่าเขามีความเมตตาต่อโลกจริงๆ งั้นหรือ? “
ทันใดนั้นแคลร์ก็เข้าใจว่าทำไมคนเย็นชาอย่างเหลิ่งหลิงยวิ๋นจึงได้มาเป็นผู้รักษา กลายเป็นว่าทุกอย่างนี้ก็เพื่อน้องสาวของเขา
“อาจารย์ ข้าคงต้องรบกวนท่านแล้วตอนนี้” แคลร์พูดกับคลิฟในขณะที่มองห้องที่เต็มไปด้วยผู้ป่วยติดเชื้อ
คลิฟเข้าใจว่าแคลร์หมายถึงอะไร เขาตบที่หน้าอกแล้วพูด “ไม่ต้องห่วง ข้าจะระดมนักเวทย์ของสภาเวทย์มนตร์ในเมืองเพื่อช่วยสืบสวนและค้นหาร่องรอยของผู้ใช้ความตาย”
“อีกฝ่ายไม่ใช่คนธรรมดา หากพวกเขาหาพบ อย่าให้พวกเขาทำอะไรผลีผลาม” แคลร์เตือน
“อืม ข้าจะไปสภาเวทมนตร์ก่อน” คลิฟเดินออกไป
“จินเหยียน ไปเถอะ เราไปดูรอบๆ กัน” แคลร์เหลือบมองผู้ป่วยในห้องและถอนหายใจเบาๆ
“ครับ” จินเหยียนก้มหน้าลงและเดินตามแคลร์ไป
“บุตรแห่งแสง ข้าคงต้องรบกวนเจ้าด้วย” แคลร์พูดอย่างสุภาพ
“นี่คือสิ่งที่ข้าควรทำอยู่แล้ว” เหลิ่งหลิงยวิ๋นยิ้มจางๆ
แคลร์และจินเหยียนออกไป แคลร์ถอนหายใจเบาๆ การได้อยู่ร่วมกับเหลิ่งหลิวยวิ๋นทำให้นางอึดอัดใจมาก
เมืองเนียร์ตกอยู่ในภาวะแห่งความเศร้าโศก ผู้คนปิดประตูอย่างแน่นหนาและอยู่แต่ในบ้าน
“วัลโด เจ้ามีวิธีใดที่จะหยุดการขยายตัวของลมหายใจแห่งความมืดนี้ได้หรือไม่? ” แคลร์และจินเหยียนเดินไปบนถนนที่ว่างเปล่า พวกเขารู้สึกได้ถึงสายตาที่ไม่เป็นมิตรจากช่องประตูและหน้าต่าง
“มีน่ะมี แต่มันเป็นเรื่องยาก ลมหายใจแห่งความมืดไม่สามารถต่อสู้กับลมหายใจแห่งแสงได้ แต่ผู้คนเหล่านี้จะมีลมหายใจแห่งแสงอยู่ในตัวพวกเขาได้อย่างไร คนที่ร่างกายอ่อนแอ คนแก่ และเด็กจะเป็นผู้ที่ติดเชื้อก่อนเลย” วัลโดกล่าวอย่างตรงไปตรงมา
………………………………………………………………………………