แคลร์ได้ยินว่าเป็นเสียงฝีเท้าของคนสองคน เทพธิดาผู้อ่อนโยนและสง่างามก็อยู่ด้วย ดังนั้นแคลร์ควรจะไปได้แล้ว
แคลร์ลุกขึ้นและกำลังจะไป แต่แรงดึงที่ชายเสื้อยึดนางเอาไว้ แคลร์มองลงไปเห็นมือเล็กๆ ของเหลิ่งซวนซวนกำชายเสื้อของนางไว้แน่น
“ซวนซวน ข้าไม่รบกวนพวกเจ้าแล้ว ข้าออกไปดีกว่า” แคลร์ลำบากใจเล็กน้อย
“พี่สาว อย่าเพิ่งไปเลยนะคะ อยู่เล่นกับซวนซวนก่อนได้ไหมคะ?” เหลิ่งซวนซวนมองแคลร์ด้วยสายตาอ้อนวอน ท่าทางที่น่าสงสารและน่ารักนั้นไม่อาจต้านทานได้เลย
คนทั่วไปคงไม่สามารถปฏิเสธได้ แต่แคลร์รู้ดีว่าการไปยุ่งเกี่ยวกับคนของวิหารแห่งแสงนั้นไม่มีข้อดีอะไร แคลร์ลูบหัวของเหลิ่งซวนซวนเบาๆ แล้วพูด “ซวนซวน เจ้าก็มีท่านพี่ของเจ้าอยู่ด้วยแล้วไง…”
ก่อนที่นางจะพูดจบ เหลิ่งหลิงยวิ๋นและหลิวเฉว่ฉิงก็มาปรากฏตัวต่อหน้าพวกเขาแล้ว
เมื่อทั้งสองเห็นเหลิ่งซวนซวนดึงชายเสื้อแคลร์จนเสื้อผ้าดูผิดรูปไปเล็กน้อย ทั้งสองก็ประหลาดใจมาก เพราะปกติแล้วซวนซวนจะไม่เข้าใกล้และไม่พูดกับคนอื่นนอกจากพวกเขา พวกเขาจะไม่แปลกใจได้อย่างไรล่ะ
“บุตรแห่งแสง เทพธิดาแห่งแสง” แคลร์ยิ้มกว้างทักทาย
“ท่านเจ้าเมือง…” หลิวเฉว่ฉิงมองไปที่มือของเหลิ่งซวนซวนที่จับเสื้อผ้าของแคลร์ไว้แล้วสายตาของนางก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
“ซวนซวน เจ้ากำลังทำอะไร เจ้าบอกให้เรารอเจ้าอยู่ตรงนั้นไม่ใช่หรือ? ” เหลิ่งหลิงยวิ๋นเดินไปข้างหน้าแล้วยื่นมือออกมาเพื่อจะอุ้มเหลิ่งซวนซวน
แต่เหลิ่งซวนซวนกลับทำสิ่งที่เหลิ่งหลิงยวิ๋นไม่คาดคิด นางกอดขาของแคลร์แล้วจ้องเหลิ่งหลิงยวิ๋น “ท่านพี่ ข้าอยากเล่นกับพี่สาวคนนี้”
แคลร์อ้าปากค้างมองเหลิ่งซวนซวนที่กอดต้นขาของนางไว้แน่นอย่างพูดไม่ออก
ใบหน้าของเหลิ่งหลิงยวิ๋นดูเขินอายเล็กน้อย นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นน้องสาวที่ประพฤติตัวดีว่าง่ายมาตลอดของเขาทำสิ่งที่ไม่ปกติเช่นนี้
หลิวเฉว่ฉิงยิ้ม แต่ดวงตาของนางมีความล้ำลึกอยู่ในนั้น นางก้าวไปและพูดเบาๆ “ท่านเจ้าเมือง หากเจ้าไม่ได้ยุ่งอะไร ช่วยเล่นกับซวนซวนสักพักได้หรือไม่? เด็กคนนี้อยู่คนเดียวมามากเกินไป ยากมากที่จะพบคนที่นางยอมใกล้ชิดด้วย…”
เมื่อหลิวเฉว่ฉิงพูดเช่นนี้ ความอับอายและความทุกข์ก็ฉายในแววตาของเหลิ่งหลิงยวิ๋น เขาไม่สามารถอยู่กับซวนซวนได้ตลอดเวลาได้ทำให้ซวนซวนต้องรู้สึกโดดเดี่ยว
“หลิงยวิ๋น ขอแค่ซวนซวนมีความสุขก็พอแล้วไม่ใช่หรือ? ” หลิวเฉว่ฉิงพูดอย่างอ่อนโยน
เหลิ่งหลงยวิ๋นเงยหน้ามองแคลร์ด้วยความเขินอาย แต่มีคำขอร้องอยู่ในน้ำเสียงของเขา “ท่านเจ้าเมือง ข้ารู้ว่าเจ้ายุ่งมาก แต่เจ้าช่วยดูแลซวนซวนสักพักได้หรือไม่? ” เหลิ่งหลิงยวิ๋นก็แปลกใจมากว่าทำไมซวนซวนที่ไม่คุยกับคนแปลกหน้า แต่จู่ๆ กลับมาใกล้ชิดกับแคลร์ที่เพิ่งเจอกันได้เช่นนี้ แต่ว่าอย่างที่หลิวเฉว่ฉิงบอก ขอแค่ซวนซวนมีความสุข เรื่องอื่นก็ไม่สำคัญทั้งนั้น
“เอ่อ…” แคลร์อ้ำอึ้งเล็กน้อย นางอยู่กับเด็กได้ที่ไหนกันล่ะ!
“ว้าว เทพธิดาผู้นี้ไม่ธรรมดาเลยนะ! ” วัลโดอุทานในหัวของแคลร์ “นางรู้วิธีที่จะกระตุ้นความอ่อนแอของชายผู้นี้ด้วย เยี่ยมมาก ข้าขอชื่นชมนาง”
ไม่มีใครสังเกตเห็นเลยว่าตอนที่วัลโดพูดคำเหล่านี้ ดวงตาของเหลิ่งซวนซวนก็เหลือบมองไปที่กระเป๋าของแคลร์ ความประหลาดใจปรากฏขึ้นในดวงตาของนางแล้วจากนั้นก็หายวับไป
“พี่สาวๆ …” เหลิ่งซวนซวนดึงเสื้อของแคลร์และพูดอย่างเป็นเด็กดี “พี่สาว ข้าจะไม่ดื้อ ข้าจะเชื่อฟังพี่สาวค่ะ”
“ข้าคงต้องรบกวนท่านเจ้าเมืองด้วย” เหลิ่งหลิงยวิ๋นพูดกับแคลร์อย่างเขินอาย จากนั้นก็มองไปที่เหลิ่งซวนซวน “ซวนซวน เจ้าต้องทำตัวดีๆ นะ อย่าทำให้เจ้าเมืองต้องลำบากรู้ไหม? “
แคลร์กระตุกมุมปากและแอบโกรธ ตอนนี้เจ้านั่นแหละที่กำลังทำให้ข้าลำบากใจ!
“พี่สาว เราไปตรงนั้นกันเถอะ” เหลิ่งซวนซวนจับมือแคลร์อย่างมีความสุขแล้วลากนางไปทางด้านข้าง
เหลิ่งหลงยวิ๋นยืนอยู่บริเวณที่สามารถมองเห็นคนทั้งสองอยู่ห่างๆ ได้และเขาก็ยังคงสงสัยอยู่
หลิวเฉว่ฉิงยังคงยิ้มอย่างอ่อนโยน นางเดินไปข้างหน้าแล้วพูด “หลิงยวิ๋น ไปพักผ่อนกันเถอะ ซวนซวนมีท่านเจ้าเมืองคอยดูแลแล้ว นางไม่เป็นไรหรอก”
“อืม” เหลิ่งหลิงยวิ๋นตอบเบาๆ แล้วเดินเข้าไปในบ้านพร้อมกับหลิวเฉว่ฉิง
เหลิ่งซวนซวนพาแคลร์ไปส่วนที่ลึกที่สุดของสวนด้านหลัง นางยิ้มและมองดอกทานตะวันในสวนด้วยความสนใจ
แคลร์เดินตามเหลิ่งซวนซวนไป
อากาศโดยรอบนั้นหอมและสดชื่นมาก
หลังจากนั้น สิ่งที่ทำให้ทั้งเหลิ่งหลิงยวิ๋นและหลิวเฉว่ฉิงแปลกใจก็คือเหลิ่งซวนซวนตัวติดกับแคลร์ตลอดเวลา นางจะต้องนั่งกินข้าวด้วยกัน ในตอนที่แคลร์ทำงาน นางก็จะนั่งอยู่ข้างๆ และนั่งอ่านหนังสือรอ เมื่อแคลร์ออกไปลาดตระเวนนางก็จะตามไปด้วย ต้องพูดกันอยู่นานมากกว่าจะห้ามนางไว้ได้
แคลร์ขึ้นไปบนรถม้า ในที่สุดก็หลุดจากเหลิ่งซวนซวนได้แล้ว ทันทีที่คลิฟได้ยินว่านางจะออกไปตรวจ เขาก็กระโดดขึ้นรถม้าด้วยทันที เพราะเขาสามารถดูผู้หญิงสวยๆ ที่อยู่ระหว่างทางได้
“แคลร์ เคบับตอนเที่ยงนั่นอร่อยมากเลย” เฟิงอี้เซวียนที่นั่งอยู่ข้างหลังเอ่ยขึ้นพร้อมนึกถึงรสชาติที่ติดค้างอยู่ในคอไม่รู้จบ
แคลร์เอื้อมมือไปนวดขมับของนางและถูแรงๆ ช่วงนี้โชคของนางมันเป็นยังไง นอกจากเหลิ่งซวนซวนจะทำตัวติดกับนาง หมอนี่ก็ยังคงตามติดนางไม่หยุดเลยเช่นกัน
ในขณะที่แคลร์กำลังปวดหัว หลังคารถม้าก็เกิดเสียงดังขึ้น มีบางอย่างหนักๆ ตกลงมาบนหลังคา
รถม้าสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ผู้ที่สัญจรไปมาต่างก็กรีดร้อง
ช่วงเวลาต่อมา ดาบคมทะลุเข้ามาจากหลังคารถ ใบมีดส่องประกายและเหวี่ยงมาที่ใบหน้าของเฟิงอี้เซวียนอย่างรุนแรง
นักฆ่างั้นหรือ?!
รถม้าหยุดลงทันทีแล้วม้าก็ส่งเสียงร้อง
เฟิงอี้เซวียนยิ้มและยื่นมือออกมาสะบัดดาบเบาๆ หัวเราะเอย่างมีความสุข “เหวิ่นโม่ เจ้ายังดีอยู่หรือ? ” เฟิงอี้เซวียนจำดาบนี้ได้ มันคือดาบของสุ่ยเหวินโม่
พอคำถามนี้ออกไป ดาบก็สั่นไหวอย่างรุนแรงและถูกดึงออกจากหลังคา จากนั้นก็มีเสียงดังโครม สุ่ยเหวินโม่ฟันหลังคารถม้าออกทั้งหมดด้วยความแค้น ผู้คนที่สัญจรไปมาสามารถมองเห็นทุกอย่างในรถม้าได้อย่างชัดเจน
ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลายืนอยู่หน้ารถม้าด้วยใบหน้าโกรธเกรี้ยว เขาเสยผมอย่างพิถีพิถันจ้องมองทุกคน นี่มันสุ่ยเหวินโม่ไม่ใช่หรือ?
“ฮ่า เจ้าตามมาจริงๆ ด้วย” เฟิงอี้เซวียนหัวเราะเบาๆ ไม่ได้คิดอะไรจริงจัง
“ไอ้บ้า เจ้าทำแบบนั้นกับข้าได้อย่างไร! ” สุ่ยเหวินโม่ยกดาบชี้ไปยังเฟิงอี้เซวียนพร้อมทั้งตะคอกอย่างรุนแรง
“ข้าทำอะไร? ” เฟิงอี้เซวียนมองไปบนท้องฟ้าด้วยท่าทางไร้เดียงสา
“ข้าจะฆ่าเจ้า! ” สุ่ยเหวินโม่กำลังจะพุ่งเข้าพร้อมดาบในมือ แต่แคลร์สังเกตเห็นว่าท่าทางของเขาดูแปลกไปเล็กน้อย ก้นของเขาเป็นอะไร?
ทันใดนั้นมีลมกระโชกแรง ทำให้ผมและเสื้อผ้าของสุ่ยเหวินโม่ยุ่งเหยิงไปหมด ชายที่ก่อนหน้ายังแกว่งดาบอย่างโกรธแค้น ตอนนี้เขาแทงดาบลงบนพื้นและยื่นมือออกมาเสยผมและจัดระเบียบเสื้อผ้าอย่างใจเย็น จากนั้นเขาก็ชักดาบออกมาอีกครั้งพร้อมสีหน้าที่เดือดดาลอีกครั้งและตะโกนออกมาว่า “เฟิงอี้เซวียน วันนี้ข้าจะฆ่าเจ้า! “
ปากของแคลร์และคลิฟกระตุกเล็กน้อยเมื่อมองฉากนี้
“แน่นอนว่าคนนิสัยเสียกับคนนิสัยเสียสามารถเป็นเพื่อนกันได้” วัลโดถอนหายใจ
“คิดว่าข้ากลัวเจ้าหรือไง?! ไอ้บ้า! มาสิ คอยดูเถอะข้าจะตีเจ้าให้เละเลย! ” เฟิงอี้เซวียนกระโดดออกจากรถม้าเพื่อสู้กับสุ่ยเหวินโม่
“จ่ายค่ารถม้าของข้ามาก่อน มิฉะนั้นข้าจะขอให้อาจารย์ของข้าฆ่าเจ้าแล้วหั่นเจ้าเป็นชิ้นๆ ในวันนี้เลย” ในขณะที่สถานการณ์กำลังตึงเครียด เสียงที่น่ากลัวของแคลร์ก็ดังขึ้น
แดดเปรี้ยงๆ ส่องเข้าไปในรถม้า ดวงอาทิตย์ในเวลาหลังเที่ยงเป็นช่วงเวลาที่ร้อนแรงมาก แคลร์เหล่ตามองผ่านแสงจ้า แต่ที่สำคัญที่สุดคือรถม้าที่เจ้าเมืองนั่งนั้นถูกคนทำร้ายในเวลากลางวันแสกๆ! ศักดิ์ศรีของความเป็นเจ้าเมืองจะไปอยู่ที่ไหนกัน?!
ผู้คนที่สัญจรไปมาต้องเดินเลี่ยงไปและถนนทั้งเส้นก็เงียบลง
คลิฟลุกขึ้นยืน หยิบไม้กายสิทธิ์ออกมา กระแอมเล็กน้อยด้วยใบหน้าที่จริงจัง เขามองสุ่ยเหวินโม่แล้วพูด “ไอ้หนุ่ม เจ้ารีบส่งเงินมา ไม่เช่นนั้นวันนี้ข้าจะโกนผมเจ้า เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าข้าทำได้ในทันทีเลย!” คลิฟลุกขึ้นยืนพูดเพราะเขารู้สึกได้ ถึงแม้ว่าชายผู้นี้จะกระโดดขึ้นไปบนรถม้าอย่างอุกอาจ แต่เขาก็ไม่ได้เป็นนักฆ่าหรอก
“ไม่เอานะ! ” สุ่ยเหวินโม่ร้องขึ้นและเอื้อมมือไปปิดผมเอาไว้ สุ่ยเหวินโม่รู้จักชายชราผู้นี้ เขาอยู่ในฐานะจอมเวทย์ศักดิ์สิทธิ์แห่งอันพาแกรนด์ เขามีบุคลิกแปลกประหลาด และชอบทำอะไรตามใจตัวเอง มีความเป็นไปได้ว่าเขาอาจจะโกนผมที่นุ่มสลวยและดูดีมีสไตล์นี้จริงๆ
“งั้นก็เอาเงินมาให้ซะ” คลิฟกระโดดออกจากรถม้า เดินเข้าไปใกล้สุ่ยเหวินโม่แล้วยื่นมือออกไป
สุ่ยเหวินโม่กระตุกมุมปากของเขา และหยิบกระเป๋าเงินออกมาเตรียมจะจ่ายเงินให้
คลิฟคว้ากระเป๋าเงินไว้ในมือ ลองชั่งน้ำหนักดูแล้วหันหลังเดินกลับไปที่รถม้าพร้อมกระเป๋าด้วยรอยยิ้ม ขณะที่พึมพำว่าเงินของคนอื่นเขาจะใช้จ่ายอย่างไรก็ได้
สุ่ยเหวินโม่อยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายเขาก็ไม่กล้าพูดอะไรออกมา
“แคลร์ เงินนี่เพียงพอสำหรับรถม้าหรือไม่? ” คลิฟดึงตั๋วทองคำออกมายื่นให้นาง จากนั้นเขาก็มองเข้าไปในกระเป๋าเงินและพึมพำ “เจ้าไปเถอะ ก่อนอื่นข้าจะไปที่ร้านตัดเสื้อ ข้าได้ยินมาว่าช่างตัดเสื้อที่นั่นไม่เพียงแต่จะมีความเฉลียวฉลาด แต่ยังอ่อนโยนและมีน้ำใจด้วย ข้าจะตัดเสื้อผ้าสักสองสามชุด” เห็นได้ชัดว่าเรื่องเสื้อผ้าที่ชายชราผู้นี้พูดเป็นเรื่องหลอก แต่ความงามของช่างตัดเสื้อต่างหากที่เป็นสาเหตุจริง สำหรับคลิฟ เขารู้สึกสนุกมากเมื่อช่างตัดเสื้อคนสวยวัดขนาดตัวของเขา
“ฮ่าๆๆๆ … ” เฟิงอี้เซวียนหัวเราะออกมาจนปวดท้อง
“อย่าทะเลาะกันในเมืองของข้า มิฉะนั้นข้าจะจัดการพวกเจ้า” แคลร์พูดเบาๆ ลุกจากรถม้าที่พังด้วยสีหน้าสงบแล้วเดินไป ตอนนี้มีคลิฟอยู่ด้วย นางสามารถหยิ่งอย่างไรก็ได้!
…………………………………………………………………………….