กระจกดอกบัว!
มันต้องเกิดจากพลังวิเศษนี้แน่นอน
กลีบดอกไม้บานแสดงว่าบรรลุขั้นแรกแล้ว ส่วนกลีบอื่นๆ ต้องฝึกให้สำเร็จเพื่อให้กลีบดอกไม้บานเพิ่มอีก แต่หนังสือบอกว่ากระจกดอกบัวมีถึงขั้นที่สิบเท่านั้น ถ้ากลีบเดียวแทนขั้นเดียวทำไมถึงมีสิบสองกลีบล่ะ? มันหมายความว่าอย่างไร?
“วัลโด เจ้านับถูกหรือไม่ว่ามันมีสิบสองกลีบ?” แคลร์ขมวดคิ้วถาม
“เหอะๆ เช่นนั้นเจ้าให้ข้าดูอีกครั้งสิ ข้าจะได้แน่ใจ” วัลโดพูดเบาๆ แล้วยิ้ม เขายังคงนึกถึงภาพที่น่าหลงใหลและสวยงามอยู่เลยในตอนนี้
“ไปพักผ่อนอย่างสงบเลยดีไหมเจ้าน่ะ” แคลร์หยิบหินจิตวิญญาณออกมาแล้วออกแรงบีบอย่างที่เคยทำ วัลโดกรีดร้องก่อนจะเป็นลมไป
แคลร์ยกเสื้อขึ้น นางอยากจะหันไปดู แต่นางจะมองเห็นได้อย่างไรล่ะ? แคลร์ดิ้นรนอยากจะเห็นแต่ก็ทำไม่ได้ ดอกบัวสีทองมีลักษณะเป็นอย่างไรกันนะ?
ทันใดนั้นม่านของกระโจมก็ถูกเปิดออก ใบหน้าของเฟิงอี้เซวียนปรากฏขึ้น เวลานี้เฟิงอี้เซวียนถือกระต่ายย่างอยู่ในมือของเขา
เมื่อสบตากันทั้งคู่ก็ตกตะลึงไป
ขณะนี้แคลร์ยกเสื้อขึ้นเหลือเพียงชุดชั้นใน…
เฟิงอี้เซวียนเข้ามาเผชิญหน้ากับแคลร์ที่กำลังยกเสื้อของนางอยู่ในตอนนี้…
ช่วงเวลาต่อมาก็เกิดเรื่องเลวร้ายขึ้น
“อ๊าก…” เสียงกรีดร้องของเฟิงอี้เซวียนดังก้องไปทั่วท้องฟ้ายามค่ำคืนเป็นเวลานาน
ทุกคนรีบวิ่งไปที่กระโจมของแคลร์ พวกเขาเห็นแค่เฟิงอี้เซวียนถูกแคลร์เหยียบหัวอยู่ มือของเฟิงอี้เซวียนยังคงถือกระต่ายย่างไว้ ไม่ยอมให้กระต่ายย่างเปื้อนฝุ่นเลย
“ไม่มีอะไร เฟิงอี้เซวียนกับข้ามีเรื่องส่วนตัวต้องคุยกันเท่านั้นเอง ขอโทษที่รบกวนทุกคน” แคลร์ยิ้มให้ทุกคนที่ยืนอยู่และพูดอย่างไม่ใส่ใจ
เรื่องส่วนตัว? เจ้าบอกว่าเรื่องส่วนตัวในขณะที่ตีคนอื่นจนหัวยุ่งแล้วเอาเท้าเหยียบหัวเขาไว้น่ะหรือ?
สายตาของสุ่ยเหวินโม่ฉายแววสังเวช เขายื่นมือออกไปเพื่อหยุดทุกคนแล้วพูด “ไปกันเถอะ ในเมื่อเป็นเรื่องส่วนตัว พวกเราอย่าไปรบกวนเลยดีกว่า”
ทุกคนแสดงสีหน้าตกตะลึงและหันกลับไปที่กระโจมของตนเอง
เมื่อมองท่าทางของแคลร์ จินเหยียนก็หันไปอย่างครุ่นคิด เขาเข้าใจความโกรธที่อดกลั้นไว้ในสายตาของแคลร์
บริเวณโดยรอบสงบลงอีกครั้ง แคลร์ขยับเท้าจากหัวของเฟิงอี้เซวียนไปที่หลังของเขาแล้วพูดอย่างโหดเ**้ยม “พูดมา เมื่อกี้เจ้าเห็นอะไรบ้าง? “
“ชุดชั้นในสีม่วงของเจ้าเซ็กซี่มาก” เฟิงอี้เซวียนตอบอย่างตรงไปตรงมา
สิ่งที่เขาได้รับคือการถูกเหยียบหลังแรงขึ้นเรื่อยๆ แคลร์ตะคอก “ข้าจะถามเจ้าอีกครั้งว่าเมื่อกี้เจ้าเห็นอะไร? “
“ข้า ข้าไม่เห็นอะไรเลย” ในที่สุดเฟิงอี้เซวียนก็เรียนรู้ว่าควรจะทำตัวอย่างไรและตอบกลับไปเช่นนี้ แต่รอยยิ้มในแววตาของเขากลับทรยศเขา
ตอนที่แคลร์เปิดเสื้อผ้าของนาง นางหันหน้ามาทางทางเข้ากระโจม ดังนั้นเฟิงอี้เซวียนจึงไม่เห็นด้านหลังของแคลร์ เขาเห็นชุดชั้นในลูกไม้สีม่วงของแคลร์เท่านั้น
“เจ้าเข้ามาแบบไม่ให้ซุ่มให้เสียง เจ้ากล้าเปิดม่านโดยไม่ได้รับอนุญาตจากข้า” แคลร์ตะโกนอย่างโกรธแค้น
“ข้าผิดไปแล้ว ข้าไม่กล้าทำอีกต่อไปแล้ว” เฟิงอี้เซวียนพูดด้วยใบหน้าเศร้า “ก็กระต่ายย่างของอัศวินหัวหมูของเจ้ามันไม่อร่อยไม่ใช่หรือ ข้าก็เลยย่างให้เจ้าใหม่แล้วเอามาให้เจ้าที่นี่ไง”
จากนั้นแคลร์ก็สังเกตเห็นว่าในขณะที่เฟิงอี้เซวียนถูกเหยียบอยู่ เขาก็ยังคงจับกระต่ายย่างอยู่อย่างดื้อรั้น ยกขึ้นสูงไม่ให้โดนฝุ่นแม้แต่น้อย เขาพยายามอย่างที่สุดไม่ให้กระต่ายถูกพื้น
แคลร์ดึงเท้าของนางกลับ “ลุกขึ้น”
เฟิงอี้เซวียนลุกขึ้น
“ต่อไปเจ้าจะเข้ามาได้ก็ต่อเมื่อได้รับอนุญาตจากข้าแล้ว” ใบหน้าของแคลร์ผ่อนคลายลงเล็กน้อยแต่นางยังพูดอย่างโกรธเคือง
“เอ่อ ตกลง ต่อไปข้าจะระวัง” เฟิงอี้เซวียนยื่นกระต่ายให้แคลร์พร้อมกับรับคำอย่างจริงจัง
“เอาล่ะ เจ้ากลับไปได้แล้ว” แคลร์รับกระต่ายมาแล้วเฟิงอี้เซวียนก็หันกลับไป แคลร์มองหลังของเฟิงอี้เซวียนแล้วพูดเบาๆ “ขอบคุณนะ”
“เหอะๆ ข้าทำในสิ่งที่ควรทำ” เฟิงอี้เซวียนมีความสุขที่ได้ยินเช่นนั้น เขาคิดว่าการถูกตีในครั้งนี้คุ้มค่าจริงๆ นอกจากจะได้เห็นภาพที่สวยงามแล้ว เขายังได้รับคำขอบคุณจากแคลร์ด้วย
แคลร์มองกระต่ายย่างที่อยู่ในมือของนาง ความร้อนนั้นกำลังพอดี มองไม่ออกเลยจริงๆ ว่าคนที่มีครอบครัวฐานะดีอย่างเฟิงอี้เซวียนจะมีฝีมือทำอาหารที่ดีเช่นนี้ด้วย
แต่เมื่อกี้อันตรายมาก โชคดีที่นางไม่ได้หันหลังให้ทางเข้ากระโจม มิฉะนั้นไม่รู้ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไรหากเฟิงอี้เซวียนได้เห็นดอกบัวสีทอง
แคลร์มองถุงมือที่นางสวมอยู่ที่มือขวา แล้วถอนหายใจเล็กน้อย นี่มันมหัศจรรย์จริงๆ มือของนางถูกเทพเจ้าแห่งความมืดตีตราไว้ ดอกบัวสีทองก็งอกขึ้นที่หลัง หากกลีบทั้งสิบสองกลีบบานสะพรั่งแล้วดอกบัวสีทองจะหายไปหรือไม่? แคลร์หวังว่าจะเป็นอย่างนั้นนะ นางกัดกระต่ายย่างพลางคิดอย่างโกรธเคือง
เช้าวันรุ่งขึ้น อัศวินและหญิงสาวกำลังจะจากไป อาการบาดเจ็บของอัศวินตกอับได้รับการรักษาด้วยยาของคลิฟจนดีขึ้นมากแล้ว ผมของหญิงสาวถูกย้อมเป็นสีน้ำตาลและดวงตาของนางก็เป็นสีเทาธรรมดาจนดูแปลกตาไป
“พวกเราคงไม่รบกวนผู้มีพระคุณแล้ว จุดหมายของเราสองคนค่อนข้างเล็กคงจะไม่มีใครสังเกตนัก ตอนนี้เราคงต้องลากันแล้ว” อัศวินผู้ตกอับก้มหัวคำนับอย่างเคร่งขรึม หญิงสาวข้างๆ เขาก็โค้งคำนับเช่นกัน ในตอนนี้ทั้งคู่ยังใส่ชุดที่แคลร์ให้พวกเขาอยู่ ส่วนชุดเกราะและดาบที่เป็นการเปิดเผยตัวตนของพวกเขาได้หายไปแล้ว พวกเขากลายเป็นคู่รักธรรมดาทั่วไป
“พวกเจ้าจงระวังตลอดการเดินทางนะ” แคลร์หยิบกระเป๋าเงินออกมาแล้วนางหยิบทองคำออกจากกระเป๋า จากนั้นก็เทเหรียญทองมอบให้อัศวินตกอับ “เจ้าเอาสิ่งนี้ไปที่หมู่บ้านห่างไกล ซื้อที่ดินเพื่อตั้งหลักแหล่ง ไม่ต้องปฏิเสธหรอก พวกเจ้าสิ้นเนื้อประดาตัวแล้ว”
“นี่…” อัศวินตกอับลังเล
“ขอบคุณผู้มีพระคุณ เราจะจดจำน้ำใจของเจ้าเสมอ หากมีโอกาสตอบแทน เราจะทำให้ดีที่สุดเลย” หญิงสาวข้างๆ รับมันไว้และขอบคุณ
หลังจากส่งอัศวินและหญิงสาวไปแล้ว ทุกคนก็รอการกลับมาของมังกรดำและหัวขโมยน้อยซัมเมอร์อย่างเบื่อหน่าย
วัลโดเคยคิดเกี่ยวกับลักษณะนิสัยของแคลร์ ทันใดนั้นเขาก็พบว่าเขาไม่เข้าใจเลย ความโหดร้ายของแคลร์เมื่อต้องรับมือกับอัศวินของวิหารแห่งแสงและการดูแลอัศวินตกอับกับหญิงสาวนั้นช่างขัดแย้งกันอย่างสิ้นเชิง จิตใจของแคลร์ดีหรือไม่ดีกันแน่นะ? ทำไมเขารู้สึกแคลร์ว่านิสัยดูขัดกันล่ะ? ทั้งร้ายและดีงั้นหรือ? ไร้สาระ! นี่มันอะไรกัน วัลโดเบะปาก
ทันใดนั้นวัลโดก็รู้สึกกระวนกระวายใจ มีบางอย่างเกิดขึ้นในใจเขา
นิสัยขัดแย้ง? ชั่วร้ายและใจดี วิญญาณเช่นนี้เป็นสิ่งที่สวยงามที่สุดสำหรับเทพเจ้าแห่งความมืด เป็นไปได้ไหมว่าด้วยเหตุนี้แคลร์จึงถูกเลือกให้เป็นเครื่องสังเวยของเทพเจ้าแห่งความมืด? ที่เทพเจ้าแห่งความมืดบอกว่ายังไม่ถึงเวลาแห่งการสังเวยก็เพราะเขาต้องการรอให้วิญญาณของแคลร์เติบโตไปอีกใช่หรือไม่?
ส่วนผสมที่ลงตัวระหว่างความชั่วและความดี! จิตวิญญาณที่สวยงามเช่นนี้เป็นสิ่งที่หาได้ยากมานานหลายพันปีแล้ว
วัลโดรู้สึกหวาดกลัวกับการคาดเดาของเขาเอง มันจะเป็นจริงหรือ? เรื่องนี้คงต้องปล่อยให้มันค่อยเป็นค่อยไป ต่อไปก็คงจะเข้าใจเองว่ามันเกิดอะไรขึ้น
แคลร์นั่งทำสมาธิอยู่ภายใต้การดูแลของคลิฟ
ยังไม่ทันถึงเที่ยงดี ก็มีลมกระโชกแรงปลุกให้ทุกคนตื่น มังกรดำกลับมาพร้อมกับหัวขโมยตัวน้อยซัมเมอร์ มังกรดำลดความสูงและลงมาถึงพื้นก่อนแปลงเป็นร่างมนุษย์ เขาจับซัมเมอร์ที่หมดสติไว้ด้วยมือข้างเดียว ซัมเมอร์มีฟองที่ปากและใบหน้าของนางก็ซีดเซียว
“นางเป็นอะไรหรือเปล่า?” แคลร์ถามพลางมองไปที่เบน
“สกปรก มนุษย์ต่ำต้อยผู้นี้กลัวความสูงและอาเจียนไปทั่วทุกที่เลย” แม้ว่าเบนจะพูดอย่างขยะแขยงแต่เขาก็ไม่ได้โยนซัมเมอร์ลงพื้น การอาเจียนบนท้องฟ้าของซัมเมอร์ช่างน่ากลัวจริงๆ คนที่โชคร้ายที่สุดคงจะเป็นคนที่อยู่บนพื้นดิน ทุกคนตัวสั่นเมื่อนึกถึงเรื่องนี้ มันน่าขยะแขยงมาก…
“เสร็จเรื่องหรือไม่? ” แคลร์ถาม
“เรียบร้อย เรียบร้อยทั้งหมดแล้ว ตอนแรกพวกคนแก่พวกนั้นก็อิดออดพูดว่านางไม่สามารถไปขโมยฟันของมังกรได้หรอก ข้าเลยใส่แรงกดดันของมังกรไปจนพวกเขายอม” เบนตะคอก “แล้วพวกคนแก่ที่ต่ำต้อยเหล่านั้นก็ให้นางผ่านการทดสอบ”
ไม่จริงน่า? มังกรดำเรียนรู้ได้เร็วขนาดนี้เลยหรือ?
“เรื่องมีแค่นี้หรือ? เจ้าไม่ได้แก้แค้นอะไรเลย? แล้วจบลงเช่นนั้นหรือ? “แคลร์รู้สึกว่ามันผิดปกติเล็กน้อย
“ฮ่าๆ มีแน่นอน ข้าบอกว่าให้พวกเขาส่งมอบหัวขโมยน้อยให้ข้าแล้วข้าจะปล่อยพวกเขาไป ดังนั้นข้าจึงนำเจ้าหัวขโมยที่ต่ำต้อยคนนี้กลับมาได้” เบนหัวเราะเสียงดังแล้วก้มลงมองซัมเมอร์ในมือของเขา เขายกซัมเมอร์ขึ้นและเขย่าอย่างแรง “ตื่นได้แล้ว”
ซัมเมอร์ลืมตาขึ้นช้าๆ เมื่อเห็นแคลร์ ดวงตาของนางก็เปล่งประกายด้วยความรักใคร่และพูดด้วยเสียงคร่ำครวญ “แคลร์ เจ้าบอกให้เขาปล่อยข้าที คนใจร้ายผู้นี้รู้ว่าข้ากลัวความสูง แต่เขาก็พาข้าบินวนไปตั้งสองสามรอบ ไม่งั้นเราคงกลับมาถึงตั้งนานแล้ว ข้าอาเจียนจนอาหารที่กินเมื่อวานออกไปหมดแล้ว แหวะ…” ตอนนี้ซัมเมอร์รู้สึกว่าแคลร์ที่น่ารังเกียจนั้นช่างเป็นคนดีมาก การเห็นแคลร์แล้วทำให้นางรู้สึกอบอุ่นจริงๆ
แคลร์หันไปมองเบนที่กำลังมองขึ้นไปบนฟ้าแสร้งทำเป็นว่าเขามองไม่เห็นดวงตาของแคลร์
คาดไม่ถึงว่าผู้ชายคนนี้จะมีนิสัยแย่ๆ เช่นนี้ แคลร์มองซัมเมอร์ที่ยังคงตัวสั่นเทาและพูดกับมังกรดำ “เอาล่ะ ปล่อยซัมเมอร์เถอะ”
มังกรดำปล่อยมือแล้วซัมเมอร์ก็ล้มลงที่พื้น นางลุกขึ้นและรีบไปอยู่ข้างๆ แคลร์และจับนางไว้ไม่ยอมปล่อย
“ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนเถอะ” แคลร์บีบจมูกของนางเพื่อป้องกันกลิ่นแปลกประหลาดที่มาจากซัมเมอร์
“หือ? ” ซัมเมอร์ดมกลิ่นตัวเอง แล้วก็จะอาเจียนออกมาอีกรอบ
……………………………………………………………………………..