สีหน้าของซัมเมอร์เปลี่ยนไปเล็กน้อย นางรู้แล้วว่านางไร้มารยาทแค่ไหน ตอนนี้นางยังไม่ควรถามเรื่องนี้ แต่ควรเป็นห่วงเกี่ยวกับสถานการณ์ของแคลร์มากกว่า
“ไม่ใช่เพราะเหตุนี้หรอก” แคลร์เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ดวงตาของนางลึกล้ำ
“เช่นนั้นคืออะไร” ซัมเมอร์ถามทันที
แคลร์ไม่ได้ตอบในทันที แต่มองไปบนท้องฟ้าและพูดเบาๆ “เทพเจ้าแห่งความมืดมาสองครั้งแล้ว แม้ว่าร่างกายจะไม่ปรากฏ แต่เจ้าคิดว่าวิหารแห่งแสงจะไม่รับรู้ถึงพลังมืดที่ทรงพลังเช่นนี้หรือ? “
ใช่แล้ว วิหารแห่งแสง!
ในเมื่อแคลร์เป็นเครื่องสังเวยของเทพเจ้าแห่งความมืด นางจึงต้องมีประโยชน์กับเทพเจ้าแห่งความมืด วิหารแห่งแสงจะปล่อยแคลร์ไปอย่างนั้นหรือ?
เห็นได้ชัดว่าไม่มีทาง!
ทุกคนเงียบ สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้เกินกว่าความรู้ความเข้าใจของพวกเขาแล้ว
“ไปเถอะ ตอนนี้เรารู้แล้วว่าไม่ต้องไปตามหาเทพเจ้าเอลฟ์แล้ว เรากลับไปเมืองหลวงกันเถอะ” แคลร์ลุกขึ้นและมองเสือดาวลมยังคงสั่นอยู่หลังกระโจม จากนั้นนางก็กวักมือเรียกเสือดาวลมออกมา
ไม่มีใครพูดอะไร ทุกคนต่างเดินตามมาอย่างเงียบเชียบ
เมื่อแคลร์และคนอื่นๆ มาถึงชายแดน พวกเขาได้พบกับคนที่แคลร์รู้จักดี
เหลิ่งหลิงยวิ๋น บุตรของวิหารแห่งแสง
เมื่อตรวจสอบบัตรผ่านที่ประตูชายแดน เหลิ่งหลิงยวิ๋นก็อยู่ที่นั่นด้วย
“คุณหนูแคลร์ เจ้ายังอยู่ที่นี่จริงๆ ” เหลิ่งหลิงยวิ๋นทักทายด้วยรอยยิ้ม เมื่อทหารองครักษ์เห็นบุตรแห่งแสงพูดทักทายกับแคลร์ พวกเขาก็รู้สึกว่าคนที่มีสัตว์เวทย์ระดับเจ็ดคงไม่ใช่คนธรรมดา เมื่อแคลร์ปรากฏตัวพร้อมกับเสือดาว นางก็ดึงดูดความสนใจของผู้คนมากมายเลยทีเดียว
“ไม่นะ หรือว่าเจ้าหน้าขาวนี่จะมาไล่ฆ่าเจ้า? ” วัลโดร้องด้วยความประหลาดใจ “เป็นไปไม่ได้ มันคงไม่เร็วขนาดนี้หรอก”
แคลร์มองรอยยิ้มของเหลิ่งหลิงยวิ๋นด้วยความสงสัยว่านั่นเป็นภาพลวงตาของนางหรือไม่ นางเริ่มจะรู้สึกว่ารอยยิ้มของผู้ชายที่เย็นชาคนนี้ดูจริงใจมากขึ้นเรื่อยๆ
“เหตุใดบุตรแห่งแสงจึงรู้ว่าข้าอยู่ที่นี่” แคลร์ยิ้มและถาม “บุตรแห่งแสงมาที่นี่มีธุระงั้นหรือ? “
“เพราะซวนซวนต้องการพบเจ้า ข้าจึงพานางไปหาที่คฤหาสน์ฮิลล์ แต่เจ้าไม่อยู่ที่นั่น ดยุกกอร์ตั้นบอกว่าเจ้ามาที่นี่เพื่อฝึก เจ้าจะกลับตอนนี้เลยหรือไม่? ” เหลิ่งหลิงยวิ๋นยังคงยิ้มอย่างอ่อนโยน “ข้ามาที่นี่เพราะมีเรื่องต้องจัดการให้วิหารแห่งแสงน่ะ”
“ใช่ ข้าจะกลับแล้ว ซวนซวนเป็นอย่างไรบ้าง? ” จู่ๆ แคลร์ก็นึกถึงสาวน้อยน่ารักแต่ค่อนข้างลึกลับผู้นั้นขึ้นมา
“ก็สบายดี นางอยากเจอเจ้ามาก” เหลิ่งหลิงยวิ๋นพูดด้วยความจริงใจ “คุณหนูแคลร์ ข้ามีคำขอ ข้าหวังว่าเจ้าจะตกลง”
“เจ้าต้องการให้ข้าไปพบซวนซวนใช่หรือไม่? ” แคลร์ยิ้มและเข้าใจสิ่งที่เหลิ่งหลิงยวิ๋นต้องการพูด
“ใช่ ข้าหวังว่าคุณหนูแคลร์จะตกลง” เหลิ่งหลิงยวิ๋นพูดอย่างเกรงใจ “ข้าไม่เคยเห็นซวนซวนคิดถึงใครมากขนาดนี้เลย”
“ได้ ไม่มีปัญหา แต่ซวนซวนอยู่ในวิหารแห่งแสงจะสะดวกให้ข้าไปพบหรือ? ” แคลร์ถาม
“หลังจากคุณหนูแคลร์กลับมาถึงบ้านแล้ว เทพธิดาแห่งแสงสัญญาว่าจะช่วยพาซวนซวนไปเยี่ยม ข้าหวังว่าคุณหนูแคลร์จะไม่ปฏิเสธ” เหลิ่งหลิงยวิ๋นพูดติดตลก แม้ว่าเรื่องตลกนี้จะไม่ตลกเลยก็ตาม
“ฮ่าๆ ได้สิ ถ้าอย่างนั้นพวกเราไม่รบกวนการทำธุระของบุตรแห่งแสงแล้ว เราขอตัวไปก่อน” แคลร์ฝืนยิ้มกับเรื่องไม่ตลกและตอบไปแบบนี้
วัลโดชื่นชมฝีมือของทั้งสองคนนี้จริงๆ ช่างแข็งแกร่งมาก
“คุณหนูแคลร์ ขอให้เจ้าเดินทางโดยสวัสดิภาพ” เหลิ่งหลิงยวิ๋นกล่าวลาและพูดขณะที่เขามองคนที่รอนางอยู่ไม่ไกล “คุณหนูแคลร์มีกลุ่มเพื่อนที่ดีนะ”
“ฮ่าๆ ขอบคุณ” แคลร์ขอบคุณอย่างสุภาพและแยกกับเหลิ่งหลิงยวิ๋น
แผ่นหลังของเหลิ่งหลิงยวิ๋นหายไปจากสายตาของทุกคน วัลโดร้องถามเสียงหลง “เจ้าหน้าขาวนี้ไม่ได้มาเพื่อเจ้าหรอกหรือ? ข้าคิดว่าเขามาหาเจ้าเสียอีก”
แคลร์เงียบลงและในที่สุดก็พูดกับวัลโดอย่างช้าๆ “คงจะเล็งเป้ามาที่ข้า วิหารแห่งแสงน่าจะรู้สึกได้ถึงพลังมืดที่ทรงพลังและบรรยากาศมืดที่แข็งแกร่งเช่นนี้ ดังนั้นบุตรแห่งแสงจึงถูกส่งไปตรวจสอบ และจัดการกับเรื่องนี้หลังสืบสวนเสร็จแล้ว”
“เช่นนั้น?” วัลโดขมวดคิ้ว
“เขาไม่รู้ว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับข้าด้วยน่ะสิ” แคลร์ถอนหายใจเบาๆ “แม้ว่าข้าจะไม่รู้ว่าทำไมน้องสาวของเขาถึงชอบอยู่ใกล้ข้ามากขนาดนี้ แต่ก็ดีเหมือนกัน ข้าจะได้มีโอกาสรู้ความเคลื่อนไหวของวิหารแห่งแสงได้แต่เนิ่นๆ จะได้ระมัดระวัง แต่วิหารแห่งแสงก็มีพลังมาก หลังจากสองวันก็ส่งคนออกไปติดตามทันทีเลย”
“วิหารแห่งแสงมีสำนักอยู่ในทุกประเทศและมีเครื่องเคลื่อนย้าย” วัลโดตัดพ้อ “พวกมันถูกสร้างขึ้นด้วยน้ำพักน้ำแรงและเงินที่หามาได้อย่างยากลำบากของชาวบ้าน หลายคนก็บริจาคเงินด้วยความเต็มใจเลยล่ะ”
เครื่องเคลื่อนย้าย? ไม่แปลกใจที่เหลิ่งหลิงยวิ๋นสามารถมาถึงที่นี่ได้อย่างรวดเร็ว ไม่แปลกใจที่เขาออกนอกเมืองเพื่อตรวจสอบแทนที่จะอยู่ในเมือง
“ไปจัดหาของแล้วซื้อรถม้ากลับกันเถอะ” คลิฟพูดด้วยอารมณ์หวาดกลัวเล็กน้อย คราวนี้ไม่มีความหวังที่จะปลดตราออกแล้ว เขาจะอารมณ์ดีได้อย่างไรล่ะ?
“แคลร์” แคลร์กำลังจะตอบคลิฟ แต่เสียงทุ้มต่ำของเฟิงอี้เซวียนก็ดังมาจากด้านหลัง ดูเหมือนเขาจะมีอารมณ์ที่ซับซ้อนมากอยู่
“เฟิงอี้เซวียน? ” แคลร์หันไปและใบหน้าของเฟิงอี้เซวียนที่ดูจริงจัง เป็นเรื่องยากที่จะเห็นการแสดงออกที่จริงจังจากเฟิงอี้เซวียน ดวงตาของเขาแน่วแน่ราวกับว่าเขากำลังมุ่งมั่นจะทำอะไรอยู่
“แคลร์ เจ้ารอข้านะ ข้าจะแข็งแกร่งขึ้นและจะกลับมาหาเจ้า” เฟิงอี้เซวียนมองแคลร์อย่างระมัดระวังและพูดเน้นทีละคำ
แคลร์ตกตะลึง ไม่สามารถพูดอะไรได้เลยเป็นเวลานาน
“พ่อหนุ่ม เจ้าจะไปแล้วหรือ? ” คลิฟกะพริบตาและถาม เด็กคนนี้จริงใจกับแคลร์มาก ตอนนี้เขาจะไปแล้วหรือ?
“เพราะเขาคิดว่าเขาอ่อนแอเกินไปที่จะปกป้องเจ้า ดังนั้นตอนนี้เขาอยากที่แข็งแกร่งขึ้นและจะกลับมาอีกครั้ง” สุ่ยเหวินโม่พูดขึ้นมา “เจ้าก็แข็งแกร่งด้วยตัวเองได้ ทำไมเจ้าถึงต้องพาข้าไปด้วยล่ะ?”
ทันใดนั้นแคลร์ก็จำได้ว่าในระหว่างการต่อสู้นั้น สุ่ยเหวินโม่ขัดขวางเฟิงอี้เซวียนไม่ให้ปลดผนึกแล้วพูดว่าเขาไม่สามารถทนพลังในการปลดผนึกได้ นั่นคืออะไรกัน?
“ข้าจะกลับมาแน่นอน” สายตาของเฟิงอี้เซวียนไม่ละไปจากแคลร์เลย “ข้าจะกลับมาอีกแน่นอน ข้าเคยบอกว่าข้าจะแต่งงานกับเจ้าและจะพาเจ้ากลับบ้านในฐานะภรรยาของข้า”
แคลร์พูดไม่ออก อันที่จริงแล้ว เฟิงอี้เซวียนอายุเพียงสิบห้าปี ในขณะที่แคลร์อายุเพียงสิบสาม ผู้คนในโลกนี้แก่แดดมากเกินไปหรือว่านี่เป็นความคิดที่เป็นเอกลักษณ์ของเฟิงอี้เซวียนกันแน่ล่ะ?
“เจ้าจะไปแล้วหรือ? ” ซัมเมอร์ถามอย่างสงสัยขณะที่มองสุ่ยเหวินโม่
“ข้าจะไปแล้ว” สุ่ยเหวินโม่กระตุกมุมปากของเขา จากนั้นก็มองไปที่ซัมเมอร์และพูดด้วยใบหน้าที่จริงจัง “ข้าก็จะกลับมาเช่นกัน”
“เชอะ เจ้าจะกลับมาก็กลับมาสิ” ซัมเมอร์ตัดบทอย่างไม่แยแส
“เอาล่ะ พ่อหนุ่ม ข้าจะรอให้เจ้าแข็งแกร่งขึ้นและกลับมา” รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของคลิฟ เด็กหนุ่มผมแดงผู้นี้มีศักยภาพและบุคลิกที่ดี ตนเองคงจะคิดถึงเขาเมื่อเขาไม่อยู่
“ระวังตัวให้รอบด้านด้วยนะ” แคลร์ยิ้มและพูดประโยคนี้
ดวงตาของเฟิงอี้เซวียนสว่างขึ้นและเขาก็จับมือแคลร์ทันที จากนั้นเขาก็พูดอย่างตื่นเต้น “ที่รัก ข้าจะดูแลตัวเองและเจ้าก็ต้องดูแลตัวเองนะ แล้วรอข้ากลับมาด้วย”
วินาทีต่อมาก็มีคนต่อยที่ตาของเขาจนทรุดหมอบลงกับพื้น เขายิ้มด้วยความเจ็บปวด คราวนี้แคลร์ทำตามที่พูดและหมัดของก็โดนตาอีกข้างของเฟิงอี้เซวียนจริงๆ
คนเดินผ่านมองไปมาบนถนนมองด้วยสายตาสงสัยและประหลาดใจ แต่ไม่มีใครกล้าพูดอะไร ใครกันที่จะไปยั่วยุคนที่สามารถมี่สัตว์เวทย์ระดับเจ็ดเป็นสัตว์พาหนะได้
หลังจากออกจากเมือง เฟิงอี้เซวียนและสุ่ยเหวินโม่ก็อำลาแคลร์อย่างไม่เต็มใจ พูดตามตรงก็คือเฟิงอี้เซวียนไม่เต็มใจที่จะยอมแพ้ไปเช่นนี้
พวกเขาเดินทางกลับไปที่เมืองหลวงพร้อมกับเสือดาวลม
ณ คฤหาสน์ตระกูลฮิลล์
ในห้องหนังสือ ดยุกกอร์ตั้นนั่งมองเครื่องหมายกุหลาบป่าบนกำแพงอยู่เงียบๆ
หลังจากนั้นไม่นาน ดยุกกอร์ตั้นก็พูด “อูมาริ เจ้าคิดอย่างไรกับคนที่แคลร์พากลับมา? “
“นายท่าน ชายในชุดดำนั้นทรงพลังและอันตรายมาก เขาแสดงออกถึงแรงกดดันที่ดูราวกับไม่ใช่มนุษย์” อูมาริครุ่นคิดสักพักและตอบอย่างระมัดระวัง
“ใช่ ชายในชุดดำมีพลังมากจนข้าไม่คาดคิดเลย” ดยุกกอร์ตั้นยืนขึ้นด้วยความดีใจ ดูเหมือนว่ามีเพียงไม่กี่คนในเมืองหลวงที่เคยได้เห็นความแข็งแกร่งของดยุกกอร์ตั้นจริงๆ ผู้เป็นหัวใจหลักของตระกูลต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
อูมารินิ่งเงียบ ความแข็งแกร่งเป็นเรื่องดี แต่กำไรและความเสี่ยงมักจะมีเท่าๆ กัน เขาเข้าใจว่าดยุกกอร์ตั้นหมายถึงอะไร ชายในชุดดำนั้นหากสามารถใช้งานเขาได้ดีก็จะช่วยตระกูลไว้ได้มาก แต่… ถ้าคนที่มีอำนาจเช่นนี้กลายเป็นฝ่ายต่อต้านตระกูลฮิลล์ ก็จะเป็นเรื่องยากลำบากมาก
“แคลร์ได้รับอะไรมากมายจากการกลับมาในครั้งนี้ ฮ่าๆ ” ดยุกกอร์ตั้นยิ้มออกมาอย่างเต็มที่ด้วยความอารมณ์ดีอย่างเห็นได้ชัด แคลร์ก้าวขึ้นสู่การเป็นจอมเวทย์และนำบุคคลที่ทรงพลังเช่นนี้กลับมาด้วย
อูมาริกังวลเล็กน้อย พลังที่แข็งแกร่งเกินไปนั้นไม่สามารถควบคุมได้ง่าย มีตัวอย่างมากมายที่แสดงให้เห็นถึงความจริงข้อนี้
“ว้าว แคลร์ ต่อไปข้าจะอยู่ที่นี่ใช่หรือไม่? ” ซัมเมอร์ถามอย่างพอใจแล้วกระโดดลงไปบนเตียงที่สวยงาม
“ใช่ จำไว้ว่าอย่าทำให้ข้าเดือดร้อน อย่าไปหยิบสิ่งของที่ต้องการโดยไม่สนใจใคร” แคลร์พูดอย่างเคร่งขรึม
“ไม่ต้องกังวล ไม่ต้องกังวลไป หากได้กินดีอยู่ดี ข้าก็จะไม่ทำให้เจ้าเดือดร้อน แต่ข้าไม่ได้คาดคิดว่าครอบครัวของเจ้าจะร่ำรวยขนาดนี้เลย” ซัมเมอร์กลิ้งตัวบนเตียงสองครั้งและพูดอย่างมีความสุข เป็นครั้งแรกที่นางได้อาศัยในสถานที่หรูหราเช่นนี้ ตอนอยู่ที่บ้าน นางฝึกหนักมาก เรื่องที่อยู่ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย
“เช่นนั้นก็ดี” แคลร์พยักหน้า
“ท่าทางของเจ้าน่าเกลียดจริงๆ ” ทันใดนั้น เสียงของมังกรดำก็ดังมาจากประตู
“เจ้าเข้ามาโดยไม่ได้เคาะประตู เจ้าก็เป็นพวกที่ไร้มารยาท! ” ซัมเมอร์พูดอย่างโกรธๆ
เบนยักไหล่และพูดอย่างไม่ใส่ใจ “ประตูของเจ้าไม่ได้ปิด ทำไมข้าต้องเคาะด้วยล่ะ?”
…………………………………………………………………………….