หัวใจของแคลร์บีบแน่นขึ้น ไม่นะ เทพธิดาผู้นี้อยู่ในระดับที่สูงขนาดนั้นจะสัมผัสได้ถึงตัวตนที่ซ่อนไว้ของนางได้หรือไม่? เวลาของเสื้อคลุมล่องหนมีจำกัด หากเทพธิดาผู้นี้ไม่ยอมเดินจากไป นางก็คงจะลำบากแน่ แคลร์ไม่กล้าขยับตัวอีกเลย ในเมื่อนางสังเกตเห็นว่ามีบางอย่างผิดปกติ ถ้าตนเองขยับตัว เทพธิดาแห่งแสงจะต้องค้นพบแคลร์ได้อย่างแน่นอน เหตุผลที่นางได้เป็นเทพธิดาแห่งแสงก็เพราะเทพธิดาผู้นี้ไม่ได้จัดการได้ง่ายๆ แคลร์รู้สึกกังวล ถ้านางไม่จากไปจริงๆ จะทำเช่นไรดี?
“พี่ฉิง เรารีบไปกันเถอะ ถ้าไปช้าเราจะไม่ได้เห็นมังกรนะ” เหลิ่งซวนซวนดึงชายเสื้อของหลิวเฉว่ฉิงและพูดอย่างน่าสงสาร “รีบไปกัน ถ้าไม่ได้ดูมังกรในครั้งนี้ บางทีซวนซวนอาจจะไม่มีวันได้เห็นมันอีกเลยในชีวิตก็ได้นะคะ”
“ซวนซวน…” ใบหน้าของหลิวเฉว่ฉิงเปลี่ยนไปเล็กน้อยเมื่อได้ยิน คิ้วที่ขมวดอยู่ของนางคลายออก ท่าทีที่นางแสดงออกนั้นก็ดูเห็นอกเห็นใจอย่างมาก เหลิ่งซวนซวนอ่อนแอและไม่สบายอยู่ตลอดจึงต้องอาศัยยาของวิหารเพื่อรักษาชีวิตของนางไว้ หากมีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้น นางอาจมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน
“พี่ เรารีบไปกันเถอะ” เหลิ่งซวนซวนดึงชายเสื้อของหลิวเฉว่ฉิงอย่างกระตือรือร้น
“ก็ได้ๆ ซวนซวน ข้าจะพาเจ้าไปเอง หากพี่ชายของเจ้ากลับมา เจ้าอย่าบอกเขานะว่าข้าพาเจ้าออกไปกลางดึกเช่นนี้” หลิวเฉว่ฉิงก้มลงอุ้มเหลิ่งซวนซวนแล้วรีบเดินออกไป
แคลร์มองทั้งสองจากไปอย่างโล่งใจ ในที่สุดก็ไปแล้ว เวลาของเสื้อคลุมล่องหนมีจำกัด หากครั้งนี้ใช้ไปแล้ว จำเป็นจะต้องเติมเวทย์มนตร์เข้าไปอีกจึงจะใช้ได้อีกครั้ง
ขณะที่แคลร์กำลังรู้สึกโล่งใจ นางก็เห็นเหลิ่งซวนซวนกอดคอของหลิวเฉว่ฉิงที่อุ้มนางไว้บนไหล่ ศีรษะเล็กๆ โผล่ออกมายิ้มให้แคลร์ด้วยรอยยิ้มเรียบๆ
ดวงตาของแคลร์เบิกกว้างในทันที
สาวน้อยผู้นี้เห็นตนเอง! แคลร์ตกใจเล็กน้อย เพราะอย่างนี้ที่เมื่อกี้เหลิ่งซวนซวนรีบร้อนจะไปดูมังกร แท้จริงแล้วนางไม่ได้อยากจะดูมังกรจริงๆ หรอก แต่แค่อยากจะเรียกให้หลิวเฉว่ฉิงไปจากที่นี่! นางปกป้องตนเองงั้นหรือ?! ทำไมสาวน้อยผู้นี้ถึงปกปิดตัวตนให้นางล่ะ? ทำไมถึงดีกับนางขนาดนี้?
เมื่อแคลร์คิดถึงเรื่องนี้ แคลร์ก็หันไปยิ้มให้เหลิ่งซวนซวนและพยักหน้าเบาๆ
เหลิ่งซวนซวนขยิบตาให้แคลร์อย่างซุกซน จากนั้นก็หดตัวเข้าไปในอ้อมแขนของหลิวเฉว่ฉิง ทั้งสองเดินห่างออกไปเรื่อยๆ
แคลร์หันหน้ากลับไปทันทีเพื่ออ่านความยาวคลื่นของเขตกั้น จากนั้นก็ทำการข้ามเขตกั้นนั้นไปเพื่อหยิบสมบัติที่อยู่ภายในออกมาอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็กลับไปยังเส้นทางเดิมอย่างรวดเร็ว ในขณะที่แคลร์กระโดดออกมาจากกำแพงสูงของวิหารก็ครบเวลาของเสื้อคลุมล่องหนพอดี แคลร์จึงปรากฏตัวทันที
แคลร์ถอดเสื้อคลุมออกและหายไปในความมืดอย่างเงียบๆ
ขณะที่แคลร์กลับมาถึงที่ตรอกลึกที่นางอยู่กับมังกรดำในตอนแรก ทันใดนั้นก็มีการเคลื่อนไหวที่มองไม่เห็นปรากฏขึ้นในอากาศ หัวใจของแคลร์บีบแน่น มีร่างแปลกประหลาดผ่านด้านข้าง วินาทีต่อมากริชที่สว่างแวววาวก็แทงทะลุผมของแคลร์ แล้วตัดผมบางส่วนของแคลร์ร่วงลงสู่พื้นอย่างแผ่วเบา
“เจ้ากล้าดีทีเดียว เจ้ากล้าแอบเข้าไปในวิหารแห่งแสงเพื่อขโมยของกลางดึก!” จู่ๆ เสียงที่ไม่แยแสก็ดังขึ้นด้านหลังแคลร์
แคลร์หันกลับไปพบกับดวงตาที่ไม่แยแสคู่หนึ่ง
เสื้อผ้าชุดสีดำ ทักษะที่แปลกประหลาด เสียงที่เคยได้ยิน
แคลร์แปลกใจเล็กน้อยเมื่อเห็นคนข้างหลังตนเอง นี่คือมือสังหารหญิงในคืนนั้น คนที่สามารถลอบสังหารตัวเองได้ แต่ไม่ได้ลงมือทำอะไร
แคลร์มองผู้หญิงตรงหน้าเงียบๆ แม้ว่าผู้หญิงคนนี้จะเพิ่งใช้กริชตัดผมนาง แต่ก็ไม่ได้มีกลิ่นอายสังหารเลย ไม่รู้ทำไมแคลร์ถึงไม่ได้รู้สึกเกลียดหญิงผู้นี้
“เจ้าขโมยอะไรออกมาจากวิหารแห่งแสงในตอนดึกขนาดนี้? ” หญิงสาวพูดด้วยเสียงเย็นเยียบ
“ผิดแล้ว ข้าไม่ได้ขโมย นี่เรียกว่าการยืมต่างหาก” แคลร์ส่ายหัวและพูดแก้ไข
“อ๋อ ข้าไม่เคยเจอคนที่หน้าด้านขนาดนี้เลย เจ้าขโมยอยู่ชัดๆ แต่กลับบอกว่าเจ้ายืม” หญิงนักฆ่าเก็บกริชกลับไปและพูดอย่างไม่พอใจ
“แล้วดึกดื่นแบบนี้ เจ้ายังไม่นอนแล้วมาที่นี่ก็คงไม่ได้มาเพื่อคุยกับข้าหรอกใช่หรือไม่?” รอยยิ้มจางๆ ปรากฏขึ้นที่มุมปากของแคลร์ หญิงผู้นี้ไม่ได้มีพลังแค่ธรรมดา อีกทั้งครั้งที่แล้ววัลโดยังบอกอีกว่านางมีความดำมืดบนร่างกาย นางเป็นใครกัน? ทำไมแคลร์รู้สึกเหมือนคนๆ นี้รู้ว่าตนเองคือใครเลย?
“ยัยตัวเหม็น เจ้ากล้าต่อปากต่อคำกับข้าหรือ?” นักฆ่าสาวขมวดคิ้ว
“ข้าไม่กล้าหรอก” แคลร์ค่อนข้างแปลกใจในน้ำเสียงของนักฆ่าสาว นางดูไม่น่าจะอายุมาก แต่มีน้ำเสียงของผู้อาวุโสซึ่งแปลกจริงๆ
“รีบออกไปกับมังกรโง่ของเจ้าซะ” นักฆ่าสาวหายตัวไปหลังจากพูดคำนี้จบ
แคลร์ขมวดคิ้วและรู้สึกแปลกใจมากจริงๆ นางรู้สึกราวกับว่านักฆ่าสาวเพียงเดินผ่านมาและเข้ามาคุยด้วยเท่านั้น ความรู้สึกนี้ดูเหมือนคนรู้จักคุ้นเคยสองคนที่บังเอิญมาเดินเจอกันพอดีหลังทานอาหารแล้วจึงหยุดคุยกัน แคลร์รู้สึกเหงื่อออก ทำไมถึงเป็นเช่นนี้กันนะ
แต่เมื่อนางมีของอยู่ในมือแล้ว ก็ถึงเวลาบอกเบนให้ออกไปได้แล้ว แคลร์หลับตาลงเชื่อมความรู้สึกกับไป๋ตี้เพื่อสื่อสารกัน
“จิ๊บๆ! ” ไป๋ตี้ลืมตาขึ้น จากนั้นมันก็เหยียดอุ้งเท้าหน้าสองข้างออก และเริ่มตะกุยด้านหลังของมังกรดำอย่างแรงเพื่อส่งสัญญาณบอกมังกรดำว่าให้ไปได้แล้ว
“ข้าผ่านมา แต่พอมาถึงที่นี่ ข้าก็เลยแวะมาเยี่ยมพวกเจ้า เผ่ามังกรของเราก็เป็นมิตรกับผู้มีศรัทธาซื่อสัตย์ต่อเทพีแห่งแสง…” มังกรดำยังคงพูดถึงเรื่องนี้อย่างออกรส อีกทั้งน้ำลายยังกระเด็นไปทั่ว ทำเอาผู้คนด้านล่างรู้สึกขมขื่นทำอะไรไม่ถูก
กลุ่มคนต่างดึงหมวกเสื้อคลุมมาปิด ในหัวก็หยุดนิ่งไป พวกเขาทั้งหมดมองไปที่มังกรที่นั่งอยู่ตรงนั้นด้วยความงุนงงและฟังเขาพูด
“เอาล่ะ ข้าพักผ่อนเพียงพอแล้ว ผู้ศรัทธาซื่อสัตย์ของเทพีแห่งแสง ข้าขอลาก่อน” เบนรู้สึกได้ถึงไป๋ตี้ที่ตะกุยหลังของเขา เขาเข้าใจว่าแคลร์ได้ทำสิ่งนั้นเสร็จสิ้นแล้วจึงกล่าวอำลาทุกคน จากนั้นก็กระพือปีกขึ้นไปบนฟ้า และหายไปในยามราตรี
จนกระทั่งหลังของมังกรดำหายไป ทุกคนก็ยังไม่ได้สติคืนมา คืนนี้รู้สึกเหมือนฝันไปเลย ราวกับเป็นความฝันที่มหัศจรรย์มาก แต่ว่านี่เป็นความจริง มันคือความจริงอย่างแน่นอน
พระสันตปาปาขมวดคิ้วมองท้องฟ้ายามค่ำคืน เขารู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติแต่เขาไม่สามารถพูดออกมาได้ว่ามันคืออะไร
ดวงตาของหลิวเฉว่ฉิงไม่เคยละสายตาจากมังกรดำเลย เมื่อมังกรดำบินจากไป นางก็รู้สึกประหลาดใจที่เห็นจุดเล็กๆ บนหลังของมังกรดำที่มีขนปุยๆ อยู่ แต่นางก็มองไม่เห็นชัดเจนนัก
“พี่ฉิง มังกรบินหายไปแล้ว” เหลิ่งซวนซวนพูดเบาๆ กอดคอของหลิวเฉว่ฉิงและมองไปที่ท้องฟ้ายามค่ำคืนนั้น
“อื้ม เรากลับไปพักผ่อนกันเถอะ” หลิวเฉว่ฉิงพูดด้วยรอยยิ้มในขณะที่อุ้มเหลิ่งซวนซวนอยู่
“ค่ะ” เหลิ่งซวนซวนละสายตาจากท้องฟ้าและรอยยิ้มก็ฉายในดวงตาของนาง
ทุกคนค่อยๆ แยกย้ายกันไป พระสันตปาปาก็โล่งใจ แต่พอเขากลับไปที่ห้องเพื่อจะเข้านอนก็มีคนมารายงานอย่างตื่นตระหนก
“พระสันตปาปา เกิดเรื่องแล้วครับ ของขวัญของเทพีแห่งแสงหายไปครับ! ” ผู้ที่เข้ามารายงานกล่าวด้วยความตื่นตระหนก
“อะไรนะ?! ” ใบหน้าของพระสันตปาปาเปลี่ยนไปทันที ของขวัญจากเทพีแห่งแสงหายไปแล้วงั้นหรือ!
เมื่อหลิวเฉว่ฉิงได้ยิน สีหน้าของนางก็เปลี่ยนไป นางนึกได้ทันทีว่าตอนที่นางเดินผ่านห้องโถงใหญ่ก่อนหน้านี้ นางรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติที่นั่น แต่นางก็ไม่คาดคิดเลยว่าจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นจริงๆ!
มีคนมาขโมยของขวัญจากเทพีแห่งแสงใต้จมูกของพวกเขา!
ความประหลาดใจ ความโกรธ ความร้อนรน อารมณ์เชิงลบทั้งหมดทำให้พระสันตปาปาเกือบเสียสติ
“ไปตรวจสอบเดี๋ยวนี้เลย! เราต้องเอาของขวัญจากเทพีแห่งแสงกลับมาให้ได้! ” ใบหน้าของพระสันตปาปาคร่ำเคร่งขึ้นมา มีคนทำเรื่องที่อุกอาจเช่นนี้ได้อย่างไร! ทั้งหมดเป็นเพราะพวกเขาถูกดึงความสนใจโดยมังกรที่ปรากฏตัวขึ้น คนบางคนจึงฉวยโอกาสในเวลานี้ได้ จริงสิ มังกร! ทันใดนั้นพระสันตปาปาก็นึกขึ้นได้ ทำไมมังกรถึงมาปรากฏตัวที่นี่โดยไม่มีเหตุผล แถมยังเอาแต่พูดเรื่องไร้สาระด้วย?!
หรือว่า? พระสันตปาปาคิดเรื่องนี้ เป็นไปได้ไหมว่าคนที่ขโมยส่งของขวัญของเทพีแห่งแสงส่งมังกรมาทำเช่นนี้? หากคนๆ นั้นสามารถสั่งให้มังกรได้ ความแข็งแกร่งของคู่ต่อสู้ก็…
ยิ่งพระสันตปาปาคิดเรื่องนี้ เขาก็ยิ่งกระวนกระวายใจ ของขวัญจากเทพีแห่งแสงนั้นไม่ใช่ของประดับตกแต่ง แต่เป็นสมบัติที่สามารถใช้งานได้ ในเมื่อคนที่ขโมยสมบัติมีพลังมากขนาดนั้น เขาจึงกลัวว่าจะไม่ได้สมบัตินี้กลับคืนมา แม้ว่าจะพบคนที่ขโมยสมบัติไปก็คงจะสายไปแล้ว เพราะของสิ่งนั้นคงถูกนำไปใช้แล้ว!
พระสันตปาปาดูหดหู่เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ แต่ในใจรู้สึกฉงนมากว่าใครกันที่จะมีความสามารถในการสั่งมังกรที่มีเกียรติเช่นนี้? เมืองหลวงมีผู้ที่แข็งแกร่งเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใด? หรือว่าคนที่แข็งแกร่งเช่นนี้เข้ามาในเมืองหลวงตั้งแต่เมื่อใด? เขาไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย
ใบหน้าของพระสันตปาปาเปลี่ยนเป็นดูเคร่งเครียด ไม่มีใครกล้าพูดอะไร ทุกคนปล่อยให้พระสันตปาปาอยู่คนเดียวและแยกย้ายกลับไปที่ห้องกัน ระหว่างทางกลับก็คิดว่าใครกันที่จะสามารถทำเรื่องนี้ได้
ในตอนนี้ แคลร์แอบกลับมาที่บ้านของคามิลล์อย่างเงียบๆ พร้อมกับมังกรดำที่กลายร่างเป็นมนุษย์แล้ว เบนเข้านอนด้วยใบหน้าพึงพอใจ ความรู้สึกในคืนนี้ช่างดีจริงๆ เมื่อเขาคิดถึงสีหน้าท่าทางของมนุษย์จำนวนมากที่มองเขาและถูกเขาใช้คำพูดหลอกล่อ เขารู้สึกมีความสุขมาก
แคลร์เดินกลับไปที่ห้องอย่างเงียบๆ พอเข้าไปในห้องแล้วปิดประตู ไฟในห้องกลับเปิดขึ้น
ตรงกลางห้องมีคามิลล์นั่งหน้านิ่งอยู่
“อ้าว อาจารย์ ทำแบบนี้ได้อย่างไรกัน แอบมาอยู่ในห้องนอนของเด็กผู้หญิงนี่นะ” แคลร์ตำหนิอย่างจริงจัง
“เด็กผู้หญิงที่ไปขโมยอะไรบางอย่างจากวิหารแห่งแสงในเวลากลางดึกน่ะหรือ?” คามิลล์ใบหน้าบึ้งตึง แต่น้ำเสียงของเขาอ่อนโยนมาก
แคลร์หน้าเสียไปเล็กน้อย “อาจารย์ ช่วยปรับน้ำเสียงและสีหน้าของอาจารย์ให้มันกลมกลืนกันหน่อยได้หรือไม่? “
“ได้” ใบหน้าของคามิลล์มีรอยยิ้มที่อบอุ่นราวกับสายลมในฤดูใบไม้ผลิ เขาพูดอย่างแผ่วเบาและลุกขึ้นเดินเข้ามาช้าๆ “ขโมยของดีอะไรมา เอามาให้ข้าดู”
“อาจารย์จะแย่งผลประโยชน์ข้าหรือไง?” แคลร์มองคามิลล์อย่างระวัง
วินาทีต่อมา แคลร์ก็ได้ยินเสียงดังขึ้นบนหัว เสียงอันอ่อนโยนของคามิลล์มีความโกรธเบาๆ อยู่ “เจ้าอ่านหนังสือไร้สาระมากไปหรือไง? “
“โอ๊ย ตีข้าหรือ? ” แคลร์กุมหัวแล้วมองไป๋ตี้ที่ตอนนี้หลบไปอยู่บนไหล่ของนางอย่างรวดเร็ว เจ้านี่เกินไปจริงๆ ความเร็วของคามิลล์นั้นเร็วเกินไปจนแคลร์หลบไม่ทัน แต่เจ้าตัวขนปุยนี่กลับหลบหลีกรวดเร็วมากในเวลาสำคัญแบบนี้
……………………………………………………………………………..