หลี่หมิงหยู่และหลี่เยว่เหวินกำลังเดินอยู่บนถนนในเมืองหลวง ทั้งคู่เงียบราวกับว่าพวกเขากำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่
“พี่ใหญ่ สาวน้อยผู้นี้ไม่น่ารักเลยสักนิด” หลี่เยว่เหวินพูด
“แต่ว่า เจ้าชอบและเชื่อนางมากไม่ใช่หรือ? ” หลี่หมิงหยู่ยิ้มและพูดในสิ่งที่อยู่ในใจหลี่เยว่เหวิน
“หึ! ” หลี่เยว่เหวินหันไปมองอีกทางและไม่พูดอะไร
“นางคล้ายกับคนๆ นั้นมาก” ดวงตาของหลี่หมิงหยู่สับสนเล็กน้อยและพูดเบาๆ
“คล้ายตรงไหนกัน? เด็กหญิงที่ไม่น่ารักเช่นนั้นจะมาเหมือนป้ารุ่ยผู้อ่อนโยนและเข้มแข็งของเราได้อย่างไร? ” หลี่เยว่เหวินโต้กลับอย่างอึดอัด
“การแสดงออกทางดวงตาของพวกนางมั่นคงแน่วแน่พอๆ กัน” คำพูดที่นุ่มนวลของหลี่หมิงหยู่ทำให้หลี่เยว่เหวินเงียบลง ดวงตาของหลี่เยว่เหวินนึกถึงความแน่วแน่ตอนที่แคลร์บอกว่าจะแข็งแกร่งขึ้น
“ถ้าเช่นนั้น เราต้องรออีกสิบวันหรือ?” หลี่เยว่เหวินถาม
“เอาเถอะ ให้นางได้ลองไปหาประสบการณ์ด้วยกัน ข้าก็อยากเห็นเหมือนกันว่าลูกของป้ารุ่ยเป็นคนแบบไหน” หลี่หมิงหยู่ยิ้มจางๆ
“ฮึ่ม! ” หลี่เยว่เหวินส่งเสียงอย่างเย็นชา หยุดพูดและเดินตรงไปข้างหน้า
หลี่หมิงหยู่ยิ้ม ส่ายหัวเล็กน้อย และเดินตามหลังไป เขาเข้าใจน้องสาวของเขาดี นางมักจะตีสองหน้าเสมอ เป็นคนปากร้ายแต่ใจดี
วันรุ่งขึ้น แคลร์ขี่เสือดาวลมตรงไปที่สภาเวทมนตร์เพื่อไปหาคลิฟ เพราะถ้าลมหายใจแห่งความมืดของวัลโดไม่ถูกปกปิด ก็ไม่มีทางที่เขาจะปรากฏตัวได้อย่างแน่นอน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่าชายผู้นี้ยังอยู่ในรายชื่อที่วิหารแห่งแสงต้องการตัวเลย ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา เขาซ่อนตัวอยู่แต่ในห้องของตัวเอง ไม่ได้ออกมาเลย
เมื่อแคลร์มาถึงหน้าสภาเวทมนตร์ จินเหยียนก็มาถึงแล้ว ไม่รู้ว่าชายผู้นี้นำหน้ามาได้อย่างไร มีเพียงสิ่งเดียวที่แน่ใจคือเขายังเป็นห่วงที่ไม่ได้อยู่ใกล้ๆ แคลร์ในช่วงเช้าตรู่ของวันที่แคลร์พบกับสายฟ้าฟาดเขาไม่ได้อยู่ใกล้ๆ ตอนนี้เขาจึงคอยปกป้องแคลร์มากยิ่งขึ้นไปอีก
แคลร์เดินมาที่ประตูห้องทดลองของคลิฟและได้ยินเสียงร้องแปลกๆ ของเขาดังมาจากข้างใน
“อาจารย์? ” แคลร์ตกใจ ไม่สนใจที่จะเคาะประตูแล้วรีบวิ่งเข้าไป แคลร์เห็นแต่ควันโขมงในห้องและคลิฟก็กำลังปัดมือเพื่อกระจายควันอยู่
“อ่า แคลร์ เจ้าอยู่ที่นี่หรือ? ” คลิฟปัดควันและทักทายแคลร์ด้วยรอยยิ้ม
“อาจารย์ ท่านกำลังทำอะไรน่ะ? ” แคลร์ถามอย่างสงสัย พลางมองด้วยความประหลาดใจ
“เห้อ ชายชราราอูลนั่น ขอให้ข้าทำคริสตัลเล็กๆ ที่สัมผัสลมหายใจแห่งความมืดได้ให้เขา” คลิฟส่ายหัวอย่างทุกข์ใจ “ข้าทำคริสตัลขนาดเล็กที่สามารถซ่อนลมหายใจความมืดได้มาเป็นเวลานานแล้ว แต่ให้ทำกลับกันนั้นข้าทำไม่ได้ “คลิฟชี้ไปที่ห้องแล้วพูดอย่างเขินอาย
“คริสตัลเล็กๆ ที่ซ่อนลมหายใจแห่งความมืดงั้นหรือ? ” แคลร์ดีใจเมื่อได้ยิน ช่างบังเอิญจริงๆ
“ใช่ สิ่งนี้ทำได้ง่ายมาก แต่ไม่ง่ายเลยที่จะทำสิ่งที่ช่วยให้สัมผัสลมความใจแห่งความมืดได้” คลิฟดึงทึ้งผมของเขาด้วยความทุกข์ ไม่รู้ว่าราอูลต้องการทำอะไร เขาบอกเพียงว่าพลังแห่งความมืดกำลังกัดกร่อนภายในของผู้มีอำนาจบางคนอยู่อย่างช้าๆ แต่ยังไม่ชัดเจนนักว่าเกิดอะไรขึ้น ราอูลจึงแค่ให้เขาทำสิ่งที่ยากเหล่านี้ หรือว่าแบบนี้จะสามารถตรวจสอบอะไรได้งั้นหรือ?
“โอ้ อาจารย์ นี่คือของที่อาจารย์บอกหรอ? ” แคลร์ถามพลางมองไปที่กองคริสตัลใสขนาดเล็กบนโต๊ะ
“ใช่ แต่พวกนี้ไม่มีประโยชน์อะไรเลย ถ้าเจ้าชอบเจ้าก็เอาไปใช้มันทำเครื่องประดับได้นะ” คลิฟเอียงหน้ามองไปที่อุปกรณ์การทดลองพลางคิดว่าเกิดปัญหาที่ขั้นตอนไหนกันแน่
“โอ้ ดีเลย อาจารย์ ขอบคุณนะ ข้าไปก่อนแล้ว” แคลร์รวบรวมคริสตัลทั้งหมดบนโต๊ะแล้วเดินจากไป
“แคลร์ แล้วเจ้ามาหาข้ามีอะไรล่ะ? ” คลิฟถามเมื่อเห็นแคลร์เดินไปที่ประตู
“ไม่มีอะไรหรอก ข้าแค่มาเยี่ยมอาจารย์ อาจารย์พักผ่อน และดูแลร่างกายด้วยนะ” แคลร์ยิ้มสดใสจากนั้นก็เดินออกไปและปิดประตู
คลิฟพยักหน้าอย่างมีความสุขในใจ แคลร์ก็รู้จักเป็นห่วงอาจารย์ผู้นี้ด้วย
แคลร์กลับไปที่บ้านของคามิลล์แล้วเคาะประตูห้องของวัลโด
ใบหน้าที่บอบบางของวัลโดเผยออกมา เขารู้สึกสับสนเล็กน้อยเมื่อเห็นแคลร์ “แคลร์ มาทำอะไรแต่เช้าหรือ? “
“สิ่งนี้มันสามารถซ่อนลมหายใจแห่งความมืดที่ตัวของเจ้าได้หรือไม่?” แคลร์หยิบคริสตัลถุงเล็กๆ ออกมาและยื่นให้วัลโด
วัลโดมอง ตาของเขาเบิกกว้าง เงยหน้าขึ้นมองแคลร์อย่างไม่เชื่อสายตา “นี่คือคริสตัลซ่อนตัวตนที่สมบูรณ์แบบที่สุดเลย! เจ้าได้มาจากไหน? โอ้ พระเจ้า มีเยอะมาก เจ้ารู้หรือไม่ว่ากระเป๋าที่บรรจุคริสตัลมากขนาดนี้มีมูลค่าเท่าไรในตลาดมืด?”
แคลร์ขมวดคิ้ว นางกำลังจะฉกมันกลับไป “เจ้าไม่เอาก็คืนข้ามา เอาแต่พูดเรื่องไร้สาระอยู่ได้” แคลร์ถอนหายใจ นักเวทย์เป็นอาชีพที่มีค่าใช้จ่ายสูงมาก ทุกอย่างสำหรับการทดลองก็แพงเหมือนกันหมด แคลร์ยังตกใจเลยที่คลิฟมีมากขนาดนี้
“เอาสิ ทำไมจะไม่เอาล่ะ? เช่นนี้ข้าก็จะออกไปข้างนอกได้แล้ว” วัลโดรีบกอดกระเป๋าไว้ในอ้อมแขนของเขาจากนั้นเงยหน้าขึ้นและยิ้ม “แคลร์ เจ้าดีกับข้ามาก หรือจริงๆ แล้วเจ้าคิดกับข้า…”
ก่อนที่จะได้พูดคำต่อไป เสียงกรีดร้องก็ดังก้องไปทั่วจนปลุกทุกคนในบ้าน
เมื่อทุกคนเปิดประตูออกมา พวกเขาก็เห็นแคลร์เดินผ่านทางเดินด้วยสีหน้าเรียบเฉย ขณะที่วัลโดที่อยู่หน้าประตูห้องหมอบลงกับพื้นโดยที่หัวของเขาอยู่บนพื้นและร้องคร่ำครวญอยู่
ในช่วงบ่าย อูมารินำตั๋วสีทองมาที่บ้านของคามิลล์ เขาได้รับคำสั่งจากดยุกกอร์ตั้นให้มาต้อนรับแคลร์กลับบ้าน
“อาจารย์…” แคลร์มองไปที่อูมาริ นางรู้สึกอบอุ่นใจเป็นพิเศษ เขาคือคนที่ทำทุกอย่างเพื่อนางโดยไม่คำนึงถึงผลตอบแทนและได้ครอบครองสถานที่สำคัญอย่างมากในหัวใจของแคลร์
“แคลร์ ท่านดยุกและท่านมาร์ควิสอยากให้เจ้ากลับบ้านโดยเร็วที่สุดนะ แน่นอนว่าคนที่อยากให้เจ้ากลับบ้านมากที่สุดคือข้าเอง” อูมาริหัวเราะและมองแคลร์ที่อยู่ตรงหน้าเขาด้วยความโล่งใจ ศิษย์ที่มีค่าของเขาดูเหมือนจะเก่งขึ้นมาก อีกไม่นานก็เก่งกาจเหนือกว่าเขาแล้วล่ะ
“อาจารย์ เราจะกลับบ้านพร้อมกันหลังการประมูลเสร็จสิ้น” แคลร์มองอูมาริที่กำลังยิ้มอยู่ตรงหน้า นางรู้ดีว่าคนที่ไม่ค่อยยิ้มผู้นี้จะแสดงรอยยิ้มที่จริงใจต่อหน้านางเท่านั้น
“ท่านดยุกบอกว่าเจ้าอยากประมูลอะไรก็ได้ แล้วท่านก็ให้เงินข้ามาเยอะเลย” อูมาริพูด
แคลร์ยิ้มไม่ตอบอะไร อันที่จริงไม่มีสมบัติล้ำค่าในการประมูลครั้งนี้หรอก สิ่งล้ำค่าที่สุดได้ถูกซัมเมอร์เอามาแล้ว และตอนนี้มันก็อยู่ในมือของนางแล้วด้วย
แน่นอนว่าแคลร์ไม่ถูกใจอะไรเลยในการประมูล แต่นางซื้อถุงมือคู่หนึ่งให้กับเฉียวฉู่ซินเพื่อให้นางได้ปกป้องมือเมื่อจับคันธนู สิ่งนี้ทำให้เฉียวฉู่ซินดีใจเป็นอย่างมาก นางยังคิดว่าแคลร์เป็นคนที่ดีที่สุดในโลก ซัมเมอร์ยิ่งไม่พอใจ ส่วนวัลโดก็ยิ่งดูแคลนมากขึ้นไปอีก หากปีศาจน้อยตัวนี้เป็นคนดี โลกทั้งใบก็ไม่มีคนเลวแล้วล่ะ!
เมื่อการประมูลจบลง ทั้งกลุ่มก็กลับไปที่คฤหาสน์ตระกูลฮิลล์
ดยุกกอร์ตั้นมาทักทายด้วยตัวเองในห้องโถง
“แคลร์ เจ้ากลับมาก็ดีแล้ว” ดวงตาของดยุกกอร์ตั้นมองกลุ่มคนที่อยู่ด้านหลังแคลร์ ดวงตาของเขาก็เป็นประกาย คนเหล่านี้ไม่ใช่คนธรรมดาเลย แคลร์ได้รวบรวมคนที่มีความสามารถมากมายไว้เคียงข้างนางในเวลาอันสั้น อีกทั้งไม่มีใครเดินนำหน้าแคลร์เลย พวกเขาทั้งหมดตามหลังแคลร์มาอย่างใกล้ชิด เห็นได้ว่าแคลร์เป็นผู้นำของพวกเขา ความซาบซึ้งเกิดขึ้นในใจของดยุกกอร์ตั้นแต่เขาไม่ได้แสดงออกมา และทักทายทุกคนอย่างอบอุ่น
“แคลร์ เจ้ากลับมาแล้ว” ในตอนนี้มาร์ควิสลาเกอร์ที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็อ้าปากทักทาย
“โอ้ ท่านพ่อ ใช่แล้ว ข้ากลับมาแล้ว” แคลร์ตอบเบาๆ
“แค่กๆ … ” ลาเกอร์ไอเล็กน้อยและพูดต่ออย่างไม่เป็นธรรมชาติ “อีกสิบวันจะถึงวันเกิดเจ้าแล้ว ถึงตอนนั้นแม่และพี่ชายคนรองของเจ้าคงกลับมา ส่วนพี่ชายคนโตของเจ้ายังอยู่ที่ชายแดนคงไม่ได้กลับมา”
“อ้อ” แคลร์พูดและมองดยุกกอร์ตั้น”ท่านปู่ เพื่อนๆ ของข้าเหนื่อยแล้ว ข้าขอพาพวกเขาไปพักผ่อนก่อนนะคะ”
“ได้สิ” ดยุกกอร์ตั้นยิ้มและพยักหน้าเห็นด้วย
ใบหน้าของมาร์ควิสลาเกอร์เปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่เพราะสายตาห้ามปรามของดยุกกอร์ตั้น เขาจึงไม่ได้ทำอะไรออกไป
เมื่อแคลร์พาทุกคนไปพักผ่อนแล้ว ห้องโถงก็เงียบลง มาร์ควิสลาเกอร์ก็พูดอย่างโกรธเคือง “ท่านพ่อ ดูท่าทีของแคลร์สิ นางไม่ได้สนใจพ่ออย่างข้าเลย พาพวกคนเหล่านั้นเข้ามา ช่างไม่มีการศึกษาเลย”
“ลาเกอร์… ” ดยุกกอร์ตั้นพูดอย่างจนใจ “เมื่อไหร่เจ้าจะเรียนรู้ที่จะมองคนสักที? เจ้าคิดว่าคนข้างๆ แคลร์เป็นคนธรรมดางั้นหรือ? เรื่องท่าทีของแคลร์ที่มีต่อเจ้าจะไปโทษใครได้ล่ะ? เห้อ… เจ้าควรจะสังเกตคนที่แคลร์พากลับมาดีๆ นะ ถึงเวลานั้นเจ้าจะต้องกลับคำพูดของเจ้าในวันนี้ “ดยุกกอร์ตั้นถอนหายใจเล็กน้อยและเดินออกไปจากห้องโถง ทิ้งลาเกอร์ไว้กับความสงสัย
ตลอดสองสามวันถัดมา ทุกคนใช้ชีวิตอย่างสบาย หิวก็มีข้าวมาถึงปาก อยากแต่งตัวก็มีเสื้อผ้ามาถึงมือ ซัมเมอร์และวัลโดใช้ชีวิตอย่างหรูหรา มีเพียงเฉียวฉู่ซินคนเดียวที่รู้สึกไม่สบายใจ เงินเดือนตั้งปีละหนึ่งร้อยเหรียญ แต่จนถึงตอนนี้ยังไม่ได้ทำอะไรเลย นางกลับได้มีชีวิตที่หรูหราเช่นนี้ ดูไม่ค่อยปกติเท่าไหร่
ในวันที่ดวงอาทิตย์ส่องสว่าง แคลร์และจินเหยียนกำลังต่อสู้กันบนสนามฝึกซ้อมในสวนหลังบ้าน มีมังกรดำที่เฝ้าดูอยู่ ซัมเมอร์และเฉียวฉู่ซินก็นอนอยู่บนเก้าอี้โยกสบายๆ ท่ามกลางแสงแดดและดูการฝึกของแคลร์และจินเหยียนไปด้วย ส่วนวัลโดยังคงหลบอยู่เช่นเดิม
“ข้าก็อยากสู้บ้าง” เบนกระตือรือร้นอยากจะลอง
“สู้กับเจ้าหรือ? ข้าไม่อยากแขนหรือขาขาดนะ” แคลร์ตะคอกและปฏิเสธ ใครจะไม่รู้จักพลังที่น่ากลัวของมังกรล่ะ จะให้สู้กันเขา ไม่ยุติธรรมเลยสักนิด
……………………………………………………………………………..