คำอธิบายสำหรับเรื่องโง่ๆ ที่ทำลงไป
“แค่นี้ไม่พอหรอกนะ” เขายักคิ้วหลิ่วตาให้เป็นนัย
ใบหน้าเธอแดงซ่านเพราะเข้าใจความหมายที่เขาจะสื่อเป็นอย่างดี เธอลังเลชั่วครู่แล้วโน้มกายลงประทับรอยจุมพิตลงบนริมฝีปากของเขาเบาๆ ขณะที่เขาตาเป็นประกายและกำลังจะจูบตอบอย่างลึกซึ้งเธอกลับถอนจุมพิตออกเสียก่อน เธอส่ายศีรษะอย่างเจ้าเล่ห์ “ไม่ได้นะ เราอยู่ข้างนอกนะคะ ที่นี่ไม่ใช่ที่ห้องนอนนะ รักษาภาพลักษณ์หน่อย ภาพลักษณ์น่ะ”
เขามองเธอด้วยความรู้สึกเสียดายและไม่เต็มใจ นานแล้วที่เขาไม่ได้ชิมรสชาติเธอ ก่อนหน้านี้เขาและเธอทำสงครามประสาทโดยที่ไม่มีใครยอมอ่อนข้อให้ใคร จากนั้นเธอก็ถูกจ้านซีเยวี่ยลักพาตัวไป พอช่วยเธอออกมาได้แล้วก็ต้องเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลอีก สรุปแล้วเขาไม่มีโอกาสใกล้ชิดเธอเลย หรืออีกนัยหนึ่งก็คือเขาต้องอดกลั้นมาตลอดจนกระทั่งถึงวันนี้
ตอนนี้พอเขาถูกเธอยั่วยวนนิดเดียวก็แทบจะควบคุมตัวเองไม่ไหว เขามองเธอแวบหนึ่ง ในใจแอบคิดว่ากลับถึงบ้านแล้วจะต้องจัดการปราบพยศเธอเสียให้หนำใจ
สายตาชั่วร้ายของเขาทำให้เธอกระสับกระส่ายพลางขดตัวเล็กน้อย “คุณมองฉันแบบนั้นทำไม คนทะลึ่ง”
เธอคุ้นเคยกับสายตาแบบนี้ของเขาเป็นอย่างดี แววตาเป็นประกายวิบวับจนน่าตกใจ เปลวเพลิงเต้นระริกซ่อนอยู่ในนั้น เมื่อราตรีมาเยือน เปลวเพลิงนั้นจะโอบล้อมกายเธอไว้และเผาผลาญเธอจนมอดไหม้
เขามองใบหน้าร้อนผ่าวของเธอแล้วหัวเราะเบาๆ โน้มกายเข้าใกล้พลางเอ่ยเสียงพร่าต่ำข้างหูเธอ “กลับไปแล้วต้องอาบน้ำให้สะอาดแล้วรอผมกลับมานะ เข้าใจไหม”
“ทำไม…ทำไมคุณถึงคิดถึงแต่เรื่องนี้นะ” เธอมองเขาตาเขียวปั๊ด แต่น่าเสียดายที่ดวงตาเธอสดใสเป็นประกาย ดูแล้วไม่เหมือนคนกำลังโกรธหากแต่กำลังออดอ้อนเสียมากกว่า
เขาหัวเราะเบาๆ “ก็ผมคิดถึงคุณมากนี่นา คุณไม่คิดถึงผมบ้างเหรอไง หือ?”
“นี่คุณไม่อายบ้างเหรอคะ ที่นี่มันในรถนะ”
จิ้นหยวนกลับตอบตรงๆ อย่างไม่เกรงใจ “คุณจะกลัวอะไร ถ้าพวกเขากล้าเอาไปพูดข้างนอก ผมจะตีให้ขาหักเลยคอยดู”
อาฮุยที่กำลังทำหน้าที่เป็นคนขับรถอยู่เบาะหน้าและปิดปากเงียบมาตลอดทางเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ “คุณเฉียวไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ ความจริงหูของผมไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ ดีบ้างไม่ดีบ้าง คุณไม่ต้องสนใจผมหรอกนะครับ ถือเสียว่าผมเป็นแค่อากาศธาตุก็พอ เพราะถึงยังไงผมก็ไม่ได้ยินอยู่แล้วล่ะครับ”
อาฮุยไม่เอ่ยอะไรเลยยังพอทำเนา แต่พอเธอได้ยินสิ่งที่เขาพูดแล้วก็ถึงกับหน้าแดงก่ำจนอยากจะแทรกแผ่นดินหนี เธอเอ่ยกับจิ้นหยวนเสียงเขียว “คุณอยู่ให้ห่างๆ ฉันเลยนะ ฉันไม่อยากเห็นหน้าคุณแล้ว!”
จิ้นหยวนถูจมูกไปมาพลางยิ้มขมขื่น เขาอุตส่าห์หลอกล่อเธอตั้งนานกว่าเธอจะยอมโอนอ่อนผ่อนตาม แต่ตอนนี้เธอไม่ยอมให้เขามีโอกาสแทะโลมเธออีกแล้ว เพราะอะไรนะเหรอ ก็เพราะ ‘คุณไม่อายแต่ฉันอายนะ!’ น่ะสิ
จิ้นหยวนจนปัญญา เขาได้แต่ภาวนาให้กลับถึงบ้านเร็วๆ เขาจะได้รีบๆ ‘เผด็จศึกและกินให้อิ่มหนำสำราญ’
แต่… เรื่องไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นจนได้
ทั้งสองเดินเข้าไปในบ้านก็ชนเข้ากับหญิงสาวอีกคนที่กำลังจะเดินออกจากบ้านพอดี ทั้งสามต่างตกใจเล็กน้อย โดยเฉพาะหญิงสาวคนนั้น ใบหน้างดงามของเธอตกใจลนลานจนก้าวเท้าถอยหนีหลายก้าว
เฉียวซือมู่จำเธอได้ทันที เธอมุ่นหัวคิ้วเรียวสวยชนกัน หันไปมองจิ้นหยวนด้วยความผิดหวัง “ที่แท้เธอก็ยังอยู่ที่นี่”
จิ้นหยวนกู่ร้องอยู่ในใจว่าท่าไม่ดีเสียแล้ว เขามองเซียวเข่อเอ๋อร์หน้าเข้ม “ฉันจำได้ว่าให้เธอย้ายออกไปตั้งนานแล้วนี่ ทำไมถึงยังอยู่ที่นี่อีก”
หญิงสาวคนนั้นคือเซียวเข่อเอ๋อร์ เธอสวมชุดสำหรับออกไปข้างนอก ในมือถือกระเป๋าเอาไว้ ท่าทางเหมือนคนกำลังจะกลับบ้านจริงๆ แต่จิ้นหยวนจำได้ว่าเขาบอกให้เธอกลับไปตั้งแต่เมื่อวานนี้แล้ว แล้วทำไมจนป่านนี้แล้วเธอยังไม่ไปไหนอีก?
เซียวเข่อเอ๋อร์ตกใจจนพูดไม่ออก ยิ่งเห็นสีหน้าของจิ้นหยวนที่เข้มขึ้นตามลำดับก็ยิ่งพูดไม่ออกเข้าไปอีก
เฉียวซือมู่รู้สึกไม่พอใจ เธอยิ้มเย็นพลางเอ่ย “พวกคุณคุยกันไปเถอะ ฉันขอตัวก่อน” เอ่ยจบแล้วทิ้งจิ้นหยวนเอาไว้คนเดียว ส่วนตัวเองเดินขึ้นบันไดไป
จิ้นหยวนคิดเอาไว้แล้วว่าจะต้องคืนดีกับเธอให้ได้ แล้วเขาจะยอมปล่อยให้เธอเดินหนีไปทั้งๆ ที่ยังเข้าใจผิดได้อย่างไร? เขาไม่มีแก่ใจถามอะไรเซียวเข่อเอ๋อร์อีก รีบวิ่งพรวดขึ้นบันไดจนตามเฉียวซือมู่ทัน เขายิ้มเอาอกเอาใจเธอ “คุณอย่าโมโหสิ ผมสั่งให้คนไล่เธอไปตั้งนานแล้ว ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่…”
เซียวเข่อเอ๋อร์เห็นจิ้นหยวนจากไปแล้วค่อยรู้สึกโล่งใจขึ้นมาบ้าง เธอหมุนตัวกลับแล้วเจอพ่อบ้านเฉินที่มีสีหน้าเรียบเฉยกำลังยืนจ้องเธออยู่ข้างหลังพอดี เธอยิ้มเก้อๆ อย่างเกรงใจ “พ่อบ้านเฉิน”
เขาผงกศีรษะให้เธอเล็กน้อยราวมองไม่เห็นรอยยิ้มประจบของเธอแล้วเอ่ย “ถ้าร่างกายแข็งแรงแล้วก็รีบไปจากที่นี่เถอะครับ”
ความจริงเธอต้องย้ายออกไปตั้งแต่เมื่อวานนี้แล้ว แต่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เพียงชั่วข้ามคืน อยู่ดีๆ เธอก็เป็นไข้ตัวร้อนเสียอย่างนั้น อาการของเธอเพิ่งจะดีขึ้นเมื่อครู่นี้เอง พ่อบ้านเฉินเห็นว่าเธอเดินเหินได้แล้วจึงรีบจัดการให้เธอออกจากไปที่นี่ทันที แต่ก็ยังเจอกับจิ้นหยวนและเฉียวซือมู่เข้าจนได้
พ่อบ้านเฉินถอนหายใจ เขายืนส่งเซียวเข่อเอ๋อร์ที่ทำท่าทางอาลัยอาวรณ์ไม่อยากจากไป อีกใจกำลังเฟ้นหาคำอธิบายที่เหมาะสมให้คุณชาย
จิ้นหยวนไม่มีเวลาถามไถ่อะไรมากมาย เขาได้แต่เสียใจที่ตัดสินใจทำเรื่องโง่ๆ ลงไป ทำไมเขาถึงใช้วิธีโง่ๆ แบบนี้กันนะ เขานึกว่าทำให้เธอหึงหวงเสียบ้างจะได้บีบให้เธอพูดความในใจออกมา แต่ใครจะไปรู้ล่ะว่าเขาบีบเธอได้จริงๆ แต่บีบจนเธอหนีออกจากบ้านจนเกือบเอาตัวไม่รอดแทน
แล้วตอนนี้เขายังไม่รีบแก้ไขสิ่งผิดพลาดอีกหรือ?
เขาหน้าขรึมเดินหมุนไปวนมาอยู่ตรงหน้าเธอ พยายามอธิบาย “เมียจ๋า…”
เฉียวซือมู่ค้อนควัก “ใครเป็นเมียคุณ!”
“ก็คุณไง” เขาพูดหน้าด้านๆ เฉียวซือมู่โมโหจนเดินขึ้นบันไดชั้นสามเพื่อกลับห้องของตัวเอง แต่เมื่อไปหยุดอยู่ตรงหน้าประตูก็พบว่าประตูห้องถูกล็อกเอาไว้
เธอพยายามเปิดอย่างไรก็เปิดไม่ออกเสียที เธอมั่นใจว่าต้องเป็นฝีมือของเขาแน่จึงหมุนตัวกลับไปมองเขาตาเขียวปั๊ด “ฉันจะเข้าห้อง สั่งให้คนมาเปิดประตูเดี๋ยวนี้!”
โอกาสดีขนาดนี้จิ้นหยวนไม่มีทางปล่อยหลุดมือเด็ดขาด เขารีบเข้าไปสวมกอดเธอเอาไว้แน่น “คุณอย่าโกรธเลยนะ กลับห้องกับผมเถอะนะ”
“ฉันรู้อยู่แล้วว่าต้องเป็นฝีมือคุณ คุณเป็นคนพูดเองไม่ใช่เหรอว่าฉันอยากจะอยู่ที่นี่นานแค่ไหนก็ได้ตามใจฉันน่ะ ทำไม? ตอนนี้กลับคำแล้วเหรอคะ” เฉียวซือมู่เอ่ยถามอย่างประชดประชัน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร หลังจากเธอถูกลักพาตัว อารมณ์ของเธอค่อนข้างแปรปรวนง่าย วินาทีที่เธอเห็นเซียวเข่อเอ๋อร์ มันทำให้เธอหวนนึกถึงเหตุการณ์ต่างๆ ก่อนหน้านี้ที่เขาทำสารพัดอย่างเพื่อทำร้ายจิตใจเธอ เมื่อนึกถึงเรื่องพวกนั้นแล้วเธอก็ทนไม่ได้จนต้องทะเลาะกับเขา
จิ้นหยวนยิ้มขมขื่น สองแขนของเขาโอบกอดเธอเอาไว้แน่นไม่กล้าคลายออก “ไม่ใช่อย่างนั้นนะ ผมแค่อยากจะลองใจคุณ ดูซิว่าคุณแคร์ผมบ้างหรือเปล่า ผมกับเซียวเข่อเอ๋อร์ไม่มีอะไรกันเลย ผมไม่เคยแตะต้องเธอแม้แต่ครั้งเดียว!”
เขารีบอธิบายอย่างร้นรน กลัวเหลือเกินว่าเธอจะไม่ยอมเชื่อเขา “ถ้าคุณไม่เชื่อก็ลองไปถามเธอดูก็ได้ ตอนนี้เธอยังไม่ได้ไปไหนนี่”
เฉียวซือมู่มองเขา “คุณพูดจริงเหรอคะ”
จิ้นหยวนรีบสาบาน “จริงแน่นอน ตอนนั้นผมเป็นบ้าไปแล้ว คิดแต่อยากจะทำให้คุณดีกับผมบ้าง ก็เลยคิดวิธีโง่ๆ แบบนั้นขึ้นมา ผมไม่คิดเลยว่าคุณไม่ยอมทะเลาะกับผมด้วยซ้ำ”
“นี่คุณกำลังบอกว่าฉันไม่ดีใช่ไหมคะ” ใบหน้ายิ้มหากแต่ไร้รอยยิ้มของเธอเอ่ยถามขึ้น