ลาออก
เขาหัวเราะขำความคิดของตัวเองแล้วเอ่ยขึ้น “ไม่มีอะไร แค่อยู่ดีๆ ก็อยากกอดคุณขึ้นมาน่ะ”
เธอส่งยิ้มให้เขาโดยไร้ข้อกังขาในคำพูดของเขา “คุณก็กอดสิคะ ตอนนี้ลมพัดกำลังสบายเลย”
เขาเดินเข้าไปโอบกอดเธอเอาไว้แน่น ฝังศีรษะลงบนซอกคอของเธอ “ผมรู้สึกว่าแบบนี้ดีกว่า”
เธอหัวเราะด้วยความประหลาดใจ สัมผัสถึงลมหายใจอุ่นร้อนของเขาที่เป่ารดลงบนต้นคอของเธอจนทำให้เธอรู้สึกวาบหวามจนต้องหดคอหนีพลางหัวเราะหยอกเย้า “คุณอย่าทำอย่างนี้สิคะ มันจั๊กจี้นะ”
จิ้นหยวนทำเป็นหูทวนลม เขาซุกไซ้หาความสุขตามซอกคอเธอจนพอใจแล้วจึงเงยหน้าขึ้น ริมฝีปากของเขาชุ่มฉ่ำ ลำคอของเธอเปียกชื้น เธอลูบลำคอตัวเองเบาๆ พลางเอ่ยเสียงดุหากแต่ซุกซน “คุณเป็นหมาเหรอถึงได้เลียคนอื่นแบบนี้”
จิ้นหยวนใช้นิ้วไล้ใบหน้าเธอเบาๆ “พักผ่อนอยู่ที่บ้านให้เต็มที่นะ ผมต้องไปแล้ว”
“คุณจะไปไหนคะ” เธอได้ยินคำพูดของเขาแล้วรู้สึกจิตใจไม่สงบขึ้นมาในบัดดล พลั้งปากถามออกไปแล้วถึงรู้สึกตัวว่าถามอะไรไม่คิด เขาก็ต้องออกไปทำงานสิ เธอถามแบบนี้มันน่าตลกมากไม่ใช่เหรอ
จิ้นหยวนมองสีหน้าอาลัยอาวรณ์ของเธอแล้วรู้สึกหวั่นไหวไม่น้อย ก่อนหน้านี้เธอไม่เคยทำตัวติดเขาแจแบบนี้มาก่อนซึ่งถือเป็นนิมิตหมายอันดี
เสี้ยววินาทีนั้นเขาอยากจะโดดงานแล้วอยู่เป็นเพื่อนเธอจริงๆ แต่ภาระความรับผิดชอบทำให้เขาต้องหักห้ามใจเอาไว้แล้วเอ่ยกับเธอ “เด็กดี วันนี้เลิกงานแล้วผมจะรีบกลับบ้านมาหาคุณทันที คุณรอผมอยู่ที่บ้านนะ หือ?”
เธอหน้าแดงซ่านเพราะรู้ว่าเขาอ่านความคิดของเธอออก เธอทำแก้มป่องปากจู๋น่ารัก “ใครคิดถึงคุณกัน คุณรีบไปได้แล้ว”
“ผู้หญิงปากแข็ง” เขาแกล้งบีบจมูกเธอจนเธอร้องออกมาเบาๆ ด้วยความเจ็บ จากนั้นฉวยโอกาสที่เธอกำลังเผลอฝากรอยจุมพิตลึกซึ้งลงบนริมฝีปากเธอจนทำให้เธอหน้าแดงก่ำ เขาจูบเธอจนเธอแข้งขาอ่อนปวกเปียกจนแทบจะยืนไม่ไหวเขาจึงถอนจุมพิตออกจากเธออย่างอ้อยอิ่ง จากนั้นหมุนตัวผละเดินจากไปโดยไม่กล้าหันมองเธออีกเพราะกลัวว่าจะยอมแพ้ให้กับความอ่อนหวานของเธอจนไม่อาจจากเธอไปไหนอีก
มันเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง เขาไม่สามารถปฏิบัติตนดั่ง ‘แต่นั้นมาภูวไนยไม่ออกขุนนาง’ ครอบครัวปลูกฝังเขาแต่เล็กว่าเป็นชายต้องถืองานเป็นสำคัญ ห้ามละเลยหน้าที่การงานเพราะเหตุอื่นเป็นอันขาด
เขาจำคำสอนนี้ได้ฝังใจไม่เคยลืม
เฉียวซือมู่ไล้ริมฝีปากร้อนผ่าวและบวมแดงของตัวเองอย่างเผลอไผล เธอมองแผ่นหลังของเขาที่กำลังก้าวเท้ายาวๆ เดินจากไปอย่างเร่งร้อนพลางคิดในใจว่าทำไมท่าทางของเขาถึงดูยุ่งยากใจขนาดนั้น หรือเขาจะเจอปัญหายุ่งยากเข้าเสียแล้ว?
เธอคิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก จิ้นหยวนถือคติผู้ชายเป็นช้างเท้าหน้า ผู้หญิงเป็นช้างเท้าหลัง เขาจึงแทบจะไม่เคยเล่าเรื่องงานให้เธอฟัง เพราะฉะนั้นเธอจึงรู้เพียงแค่ว่าตอนนี้เขากำลังแก้แค้นตระกูลจ้าน ส่วนเรื่องอื่นนอกเหนือจากนี้เธอแทบจะไม่รู้อะไรเลย
เธอถอนหายใจแล้วปล่อยวางไม่คิดเรื่องนี้อีก เธอจัดการแต่งตัวให้เรียบร้อย ร่องรอยที่เขาฝากไว้ตามร่างกายที่สามารถทายาเธอก็ทายา ส่วนตรงไหนที่ทายาไม่ได้ก็อาศัยทารองพื้นปกปิดร่องรอยเอาไว้ จากนั้นเปิดคอมพิวเตอร์แล้วติดต่อกับลูกน้องที่บริษัท เธอเล่าเรื่องเหตุร้ายที่เกิดขึ้นกับตัวเองเพียงคร่าวๆ เท่านั้น
แม้ลูกน้องของเธอจะได้ยินเรื่องราวของเธอจากทางจิ้นหยวนมาบ้างแล้วและเขายังช่วยลางานให้เธออีกด้วย แต่พวกเฝิงเจ๋อยังคงเป็นห่วงเธอมาก โดยเฉพาะหรงเซียวที่แทบจะกระโดดโลดเต้น “พี่มู่มู่ พี่เป็นยังไงบ้าง ร่างกายดีขึ้นหรือยังคะ? ทำไมฉันถึงรู้สึกว่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับพี่ครั้งนี้มันแปลกพิกลล่ะคะ”
เฉียวซือมู่ยิ้มบางๆ นิ้วเรียวเคาะลงบนแป้นพิมพ์อย่างรวดเร็วและช่ำชอง “พี่ไม่เป็นไรแล้ว แค่เกิดเรื่องไม่คาดคิดนิดหน่อยจนทำให้ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย ตอนนี้ไม่เป็นอะไรแล้ว เชื่อพี่สิ เดี๋ยวพี่ก็กลับไปทำงานได้เหมือนเดิมแล้ว”
“จริงเหรอครับ” เฝิงเจ๋อพิมพ์ถาม “แต่ผมคงรอพี่กลับมาไม่ไหวแล้วล่ะครับ”
“เธอหมายความว่ายังไง” เธอรีบพิมพ์ถามด้วยความตกใจ
ผ่านไปสักพักกว่าข้อความของเฝิงเจ๋อจะกระเด้งออกมา “บริษัทฮวาฉีเสนองานให้ผมและผมตอบรับไปแล้ว ผมยื่นใบลาออกให้ บ.ก. ต้วนเรียบร้อยแล้วและอาจจะไปพรุ่งนี้เลย”
เฉียวซือมู่อ่านข้อความของเฝิงเจ๋อแล้วขมวดคิ้วเป็นปมแน่น เรื่องนี้ชักทะแม่งๆ เสียแล้ว ทั้งๆ ที่เฝิงเจ๋อทำงานได้ดีมาก เหตุใดอยู่ดีๆ ถึงคิดจะไปจากที่นี่เสียล่ะ? ก่อนหน้านี้เธอไม่เคยได้ยินเขาพูดเลยสักครั้งว่าจะออกจากที่นี่ เมื่อก่อนเขายังพูดติดตลกอยู่เลยว่าจะยอมพลีกายถวายทั้งชีวิตเพื่อบริษัทนี้ แล้วเหตุใดตอนนี้จึงคิดจะลาออกเสียแล้ว
เรื่องของเฝิงเจ๋อเกิดขึ้นกะทันหันเกินไปจนเธอรู้สึกว่ามันผิดปกติ เธอครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วเอ่ยถามเขา “เธอมีเรื่องอะไรที่พูดไม่ได้หรือเปล่า ไม่อย่างนั้นพี่ไม่เชื่อเด็ดขาดว่าเธอจะไปจากที่นี่จริงๆ โดยไม่คิดจะรอเจอหน้าพี่ก่อนด้วยซ้ำ”
เฝิงเจ๋อนิ่งเงียบไปอีกชั่วครู่แล้วพิมพ์ตอบกลับไป “ผมไม่มีเรื่องอะไรที่พูดไม่ได้ พี่คิดมากเกินไปแล้ว ที่ผมลาออกจากที่นี่ก็เพราะบริษัทฮวาฉีเสนอเงินเดือนสูงกว่า พี่ก็รู้นี่ครับว่าผมทำงานที่นี่ตั้งนานแล้วแต่ไม่เคยได้ขึ้นเงินเดือนเลย ผมเองก็ทนไม่ไหวแล้วเหมือนกัน พอมีโอกาสเข้ามาผมก็เลยรีบคว้าเอาไว้ ผมขอโทษที่ผิดคำพูด”
เฉียวซือมู่จ้องข้อความของเฝิงเจ๋อตาเขม็ง ความคลางแคลงในใจยังคงไม่เลือนหาย แม้เขาจะให้เหตุผลที่ฟังดูสมบูรณ์แบบแต่เธอยังคงรู้สึกว่าเรื่องนี้มีกลิ่นตุๆ อยู่ดี เพียงแต่เขาให้เหตุผลเช่นนี้ก็เท่ากับว่าเขาตัดสินใจไม่ยอมปริปากบอกอะไรอีกอย่างแน่นอน ถ้าเช่นนั้นเธอเองก็ไม่มีเหตุผลรั้งเขาเอาไว้ ดังนั้น หลังจากเธอใคร่ครวญชั่วครู่จึงจำใจตอบกลับไป “โอเค ถ้าอย่างนั้นพี่ก็จะไม่รั้งเธออีก ขอให้เธอโชคดีกับงานใหม่นะ”
หลังจากพิมพ์ข้อความแล้วเธอรู้สึกแปลกๆ ในอกราวถูกเฉือนเนื้อออกไปจนโหวงว่าง และเวลานี้หน้าจอคอมพิวเตอร์ของเธอยังคงไร้ข้อความใหม่ตอบกลับมา
เฝิงเจ๋อมองดูข้อความของเฉียวซือมู่อยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ของตัวเอง เขารู้สึกเจ็บปวดใจ แต่เขาพูดมันออกไปแล้วและไม่มีทางเรียกมันคืนกลับมาอีก
เขาถอนหายใจพลางเงยหน้าขึ้นกวาดสายตามองดูเพื่อนร่วมงานรอบๆ กายด้วยความรู้สึกซับซ้อน อีกไม่นานเขาก็ต้องไปจากที่นี่แล้ว ไปจากที่ที่เขาคุ้นเคยที่สุด และไปจากหญิงสาวที่ตนเองแอบหลงรักมานานแสนนาน…
เฉียวซือมู่เหม่อลอยอยู่พักใหญ่กว่าจะเรียกสติกลับมาได้แล้วเริ่มลงมือสะสางงาน เธอติดต่อต้วนฉี่รุ่ยและได้รับการยืนยันจากเขาว่าเฝิงเจ๋อยื่นใบลาออกจริงเธอถึงยอมตัดใจเรื่องของเขา
เธอนั่งก้มหน้าก้มตาทำงานทั้งเช้า จนกระทั่งใกล้เวลาเที่ยงจึงมีคนมาเคาะประตูห้องด้วยความสุภาพ
เธอเดินไปเปิดประตูพลันเห็นสาวใช้กำลังยืนรออยู่หน้าประตูห้องและเอ่ยกับเธออย่างสุภาพ “คุณเฉียวคะ ได้เวลาลงไปรับประทานอาหารเที่ยงที่ชั้นล่างแล้วค่ะ พ่อบ้านเฉินเตรียมอาหารที่เหมาะสมกับคุณเอาไว้เรียบร้อยแล้วค่ะ”
เธอหันกลับไปมองดูงานบนโต๊ะพลางครุ่นคิดชั่วครู่แล้วเอ่ยตอบ “รอฉันแป๊บนะ เดี๋ยวฉันลงไป”
“ได้ค่ะ” สาวใช้หน้ากลมหน้าตาน่าเอ็นดูเอ่ยตอบ
เธอส่งยิ้มให้สาวใช้คนนั้นแล้วปิดประตูห้อง ลงมือทำงานที่ยังค้างอยู่ให้เสร็จเรียบร้อย จากนั้นเริ่มวางแผนว่าช่วงบ่ายจะทำอะไรบ้าง