เธอครุ่นคิดชั่วครู่พลันรู้สึกตลกตัวเองขึ้นมาเสียอย่างนั้น เธอไม่ได้จะไปทำเรื่องไม่ดีเสียหน่อย แค่ไปเยี่ยมคุณแม่ที่โรงพยาบาลเท่านั้น พวกเขาจะไม่ยอมให้เธอไปเลยหรือ
เมื่อคิดได้ดังนั้นจึงลงไปรับประทานอาหารแสนอร่อยที่พ่อบ้านเฉินเตรียมเอาไว้สำหรับเธอเป็นพิเศษ จากนั้นพ่อบ้านเฉินยังคอยกำกับดูแลให้เธอดื่มน้ำซุปบำรุงร่างกายถ้วยใหญ่จนหมดตามคำสั่งของจิ้นหยวนก่อนที่เขาจะออกไปทำงาน
รสชาติน้ำซุปไม่แย่นักแต่ปริมาณค่อนข้างเยอะ เธอดื่มตั้งนานกว่าจะดื่มหมด พ่อบ้านเฉินเห็นว่าเธอดื่มน้ำซุปจนหมดอย่างว่าง่ายจึงเอ่ยยิ้มๆ “ร่างกายของคุณเฉียวค่อนข้างอ่อนแอ จำเป็นต้องบำรุงร่างกายเยอะๆ นะครับ”
เธอหน้าแดงซ่าน รู้สึกว่าคำพูดของเขามีความนัยแอบแฝงอยู่กลายๆ
เธอใช้เวลาทำใจให้สงบอยู่สักพักจึงค่อยๆ เอ่ยขึ้น “อาเฉินคะ” เธอรู้สึกดีกับชายวัยกลางคนผู้ซื่อสัตย์คนนี้เป็นอย่างมากจึงเรียกเขาด้วยความสุภาพ
พ่อบ้านเฉินรีบปฏิเสธ “คุณเฉียวอย่าเรียกผมอย่างนั้นเลยครับ เรียกผมว่าพ่อบ้านเฉินก็พอ”
เฉียวซือมู่ไม่ฟัง ยังคงเอ่ยเหมือนเดิม “อาเฉินคะ ฉันมีเรื่องอยากจะรบกวนค่ะ”
“เรื่องอะไรครับ” เขายังคงเอ่ยอย่างสุภาพอ่อนน้อม
เธอเอ่ย “ฉันอยากจะไปเยี่ยมคุณแม่น่ะค่ะ ให้คนพาฉันไปหน่อยได้ไหม”
เธอไม่อยากออกไปข้างนอกโดยพลการแล้วถูกคนอื่นฉวยโอกาสทำร้ายเธออีกแล้ว เพราะฉะนั้นทำตัวดีๆ เป็นดีที่สุด
พ่อบ้านเฉินสีหน้าลำบากใจ “แต่คุณชายจิ้นสั่งเอาไว้ว่าไม่อนุญาตให้คุณออกไปเถลไถลข้างนอก…”
เธอรีบเอ่ยแทรกขึ้น “ฉันแค่ไปเยี่ยมคุณแม่ ไม่ถือเป็นการออกไปเถลไถลเสียหน่อย จริงไหมคะ?”
พ่อบ้านเฉินมองเธออย่างลำบากใจ เขาสบเข้ากับดวงตาเจ้าเล่ห์ของเธอพอดีจนตกใจเล็กน้อย “ได้ครับ เดี๋ยวผมไปจัดการให้เดี๋ยวนี้เลยครับ”
เฉียวซือมู่ยิ้มดีใจ “ขอบคุณอาเฉินมากเลยนะคะ”
พ่อบ้านเฉินโค้งให้เธอ “ไม่ต้องเกรงใจครับ มันเป็นหน้าที่ของผมอยู่แล้ว”
เธอนั่งรออยู่บนโซฟาเงียบๆ ไม่นานเสียงโทรศัพท์มือถือของเธอดังขึ้นตามคาด เธอถอนหายใจแล้วกดรับสาย เสียงของจิ้นหยวนดังลอดมาตามสาย “ที่รัก กินมื้อเที่ยงหรือยัง”
“เรียบร้อยแล้วค่ะ” เธอไม่สงสัยเลยว่าทำไมเขาถึงโทรศัพท์หาเธอจึงตอบกลับไปอย่างเหนื่อยหน่าย “แถมยังดื่มน้ำซุปหมดไปตั้งถ้วยใหญ่อีกต่างหาก ตอนนี้จุกมาก”
“พูดอะไรเหลวไหล นั่นเป็นน้ำซุปที่ผมสั่งให้เขาปรุงขึ้นเป็นพิเศษเพื่อบำรุงร่างกายคุณโดยเฉพาะเลยนะ คุณต้องดื่มให้หมด เข้าใจไหม”
“ค่ะ ฉันรู้แล้ว” เธอไม่พูดมากอีกหากแต่เอ่ยถาม “คุณยังมีธุระอื่นอีกไหมคะ ถ้าไม่มีฉันจะวางสายแล้วนะ”
เสียงของจิ้นหยวนดังลอดมาตามคาด “ที่รัก เห็นพ่อบ้านเฉินบอกว่าคุณจะออกไปข้างนอกเหรอ”
“ค่ะ” หลังจากเธอใช้เวลาศึกษานิสัยใจคอของเขามาพักใหญ่ เธอรู้แล้วว่าเขาเป็นคนชอบคนที่เชื่อฟังเขาและพูดจาเพราะๆ เธอจึงพูดเสียงออดอ้อน “ฉันอยากจะไปเยี่ยมคุณแม่ค่ะ”
“แต่คุณหมอสั่งเอาไว้ว่าตอนนี้คุณยังออกไปข้างนอกไม่ได้” เสียงทุ้มต่ำอันไพเราะและจับใจของเขาดังมาจากอีกฟากสาย
“แต่ฉันแค่อยากจะไปเยี่ยมคุณแม่เท่านั้นนี่คะ ฉันไม่ได้คุยกับท่านตั้งนานแล้ว” เธอไม่ยอมลดราวาศอก
“ถ้าอย่างนั้นรอผมเลิกงานแล้วเดี๋ยวผมพาคุณไปเองนะ” จิ้นหยวนเอ่ยอย่างตัดสินใจ
“ไม่ได้นะ!” เขาไม่คาดคิดว่าเธอจะคัดค้านความคิดของเขา
“ทำไมล่ะ?” จิ้นหยวนรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย เขายอมทิ้งงานของตัวเองเพื่อพาเธอออกไปข้างนอกเธอยังไม่ยอมรับน้ำใจของเขาอีกหรือ
น้ำเสียงของเขาเข้มขึ้น “หรือว่าคุณยังไม่อยากบอกสถานะของผมให้คุณแม่คุณรู้?”
เธอทำปากจู๋ “เปล่านะ ฉันก็แค่อยากจะคุยเรื่องลับๆ กับคุณแม่ ไม่อยากให้คุณรู้ก็เท่านั้น”
เธอพูดความจริง เธอมีเรื่องที่อยากจะคุยกับคุณแม่โดยที่ไม่อยากให้เขารู้ จิ้นหยวนครุ่นคิดเล็กน้อยหากแต่ไม่ได้เอ่ยอันใด เฉียวซือมู่ยังคงพยายามออดอ้อนต่ออย่างไม่ละความพยายาม “นะคะ ถ้าคุณไม่วางใจก็ให้อาฮุยหรืออาอวี่ไปเป็นเพื่อนฉันก็ได้ ฉันรับรองค่ะว่าจะทำตัวดีๆ นะ… นะ…”
“ก็ได้ แต่คุณต้องทำตัวดีๆ นะ ผมเลิกงานแล้วจะไปรับคุณเอง” ในที่สุดเขาก็ยอมประนีประนอมจนได้
“ได้… ตกลงค่ะ” แม้เธอจะไม่เต็มใจนักแต่ก็ยังพอรับได้
เฉียวซือมู่วางโทรศัพท์ลงหลังจากทั้งสองตกลงกันเป็นที่เรียบร้อย พอเธอเงยหน้าขึ้นก็เห็นพ่อบ้านเฉินกำลังมองเธอยิ้มๆ ถึงแม้เมื่อกี้เธอไม่ได้พูดอะไรที่คนอื่นฟังไม่ได้ แต่เธอยังคงรู้สึกไม่ชินอยู่ดีจึงได้แต่นั่งหน้าแดงก่ำ
พ่อบ้านเฉินทำเป็นเอาหูไปนาเอาตาไปไร่พลางเอ่ยกับเธออย่างอ่อนโยน “คนขับรถรออยู่ข้างนอกแล้วครับ”
เฉียวซือมู่ลุกขึ้นยืนเห็นรถเบนท์ลีย์สีดำเป็นมันเงาจอดรออยู่ตรงประตูเรียบร้อยแล้ว เธอกะพริบตาปริบๆ พลางยิ้มเจื่อนในใจ ไม่ใช่มั้ง ให้ขับรถเบนท์ลีย์ไปโรงพยาบาลเนี่ยนะ? นี่มันชักจะมากเกินไปแล้วมั้ง
เธอยิ้มเจื่อนพลางเอ่ยถาม “เปลี่ยนเป็นรถคันอื่นได้ไหมคะ”
พ่อบ้านเฉินไม่เข้าใจจึงถามกลับด้วยความสงสัย “รถคันนี้ไม่ดีตรงไหนหรือครับ”
“เปล่าค่ะ ไม่ใช่อย่างนั้น” เธอไม่อยากบอกเหตุผลที่แท้จริงจึงได้แต่ยิ้มบางๆ “ช่วยเปลี่ยนรถอีกคันดีกว่าค่ะ”
เธอคิดว่าตัวเองพูดตรงมากและเขาคงจะเข้าใจความหมายของเธอแล้ว ใครจะไปรู้ ผ่านไปชั่วครู่เธอกลับเห็นรถไมบัคสีแดงเพลิงที่สะดุดตามากเป็นพิเศษจอดรออยู่แทน
เธออยากจะเป็นลมไปเสียจริงๆ ได้แต่สูดหายใจเข้าปอดลึกๆ แล้วหันไปเอ่ยกับพ่อบ้านเฉินที่กำลังทำหน้าพึงพอใจในผลงานอย่างเต็มที่ “ช่วยเปลี่ยนกลับไปเป็นรถคันเดิมดีกว่าค่ะ”
เธอสาบานได้เลยว่าเห็นสีหน้าคลางแคลงและไม่เข้าใจของเขาเต็มสองตา เธอเดาว่าพ่อบ้านเฉินคงกำลังคิดว่าเมื่อกี้เธอคงรู้สึกว่ารถเบนท์ลีย์คงไม่สวยสะดุดตามากพออยู่เป็นแน่
นี่ถือเป็นช่องว่างระหว่างวัยหรือเปล่า?
เธอได้แต่หัวเราะในใจอย่างจนคำพูด รถไมบัคสีแดงเพลิงสะดุดตาถูกขับออกไปและถูกแทนที่ด้วยรถเบนท์ลีย์สีดำเงาที่ดูสะดุดตาน้อยกว่าแทน พ่อบ้านเฉินรำพึงรำพัน “คุณชายเพิ่งซื้อรถไมบัคคันนั้นปีนี้เองคุณชายชอบมันมากนี่นา…”
ที่พ่อบ้านเฉินรำพึงรำพันเช่นนั้นเป็นเพราะเขาไม่เข้าใจความคิดของเฉียวซือมู่ เธอเพียงแค่หัวเราะเบาๆ แล้วก้าวขึ้นไปนั่งในรถ และวันนี้อาฮุยที่เธอคุ้นเคยยังคงทำหน้าที่เป็นคนขับรถให้เธอเหมือนเช่นเคย
เธอส่งยิ้มให้เขา อาฮุยรู้สึกหน้าร้อนผ่าว แต่เขาเป็นคนผิวเข้มจึงดูไม่ออกว่าเขากำลังหน้าแดง
ตอนที่เธอไปถึงโรงพยาบาล นางพยาบาลกำลังเข็นคุณนายเฉียวออกมาจากห้องตรวจพอดี สีหน้าของคุณนายเฉียวดูเหนื่อยอ่อน เฉียวซือมู่เห็นสภาพของคุณแม่แล้วรู้สึกปวดใจมาก เธอรีบเอ่ยถามคุณหมอที่เดินออกมาพร้อมกัน “คุณแม่เป็นอะไรไปคะ”
คุณหมอบอกกับเธอว่า “หลังจากตรวจร่างกายของคนไข้แล้วไม่พบปัญหาอะไรน่าหนักใจ เพียงแต่คนไข้นอนหลับไม่ได้สติเป็นเวลานานเกินไปจึงทำให้ค่าต่างๆ ในร่างกายต่ำกว่าปกติ ถ้าคนไข้ตื่นเต้นหรือใช้แรงก็จะทำให้รู้สึกเหนื่อยมาก เพราะฉะนั้น ห้ามทำให้คนไข้เหนื่อยเด็ดขาด ต้องให้คนไข้พักผ่อนให้เต็มที่”
เธอฟังคำตอบแล้วมุ่นหัวคิ้วถาม “ถ้าอย่างนั้นคุณหมอมีวิธีอะไรที่จะช่วยให้อาการดีขึ้นบ้างคะ”
คุณหมอส่ายศีรษะ “ต้องอาศัยการพักผ่อนเท่านั้น พึ่งยารักษาเพียงอย่างเดียวเห็นผลช้า สิ่งสำคัญคือต้องทำให้เธออารมณ์ดี จิตใจของคนเราเป็นสิ่งมหัศจรรย์ พวกคุณลองดูก็แล้วกันนะครับ”
“คุณหมอหมายความว่า ตอนนี้คุณแม่ออกจากโรงพยาบาลได้แล้วใช่ไหมคะ” เธอเอ่ยถาม
คุณหมอส่ายศีรษะ “ตอนนี้ยังไม่ได้ครับ ค่าต่างๆ ในร่างกายของคนไข้ยังต่ำเกินไป จำเป็นต้องสังเกตอาการที่โรงพยาบาลอีกสักระยะก่อน แล้วเราจะแจ้งให้ทราบอีกครั้งนะครับว่าสามารถออกจากโรงพยาบาลได้เมื่อไหร่”