เขากำลังครุ่นคิดว่ามู่มู่อาจจะไปที่ไหนบ้าง และมีความเป็นไปได้สูงมากที่เธอจะถูกลักพาตัวอีก คิดใคร่ครวญแล้วคงมีแต่ฉีหย่วนเหิงที่เพิ่งกลับมาจากต่างประเทศคนเดียวเท่านั้นที่น่าสงสัยที่สุด เขาชะงักไปชั่วครู่แล้วตัดสินใจโทรศัพท์หาฉีหย่วนเหิงทันที
ฉีหย่วนเหิงกดรับสายอย่างรวดเร็ว เสียงอบอุ่นอ่อนโยนเฉพาะตัวของเขาเอ่ยขึ้นอย่างเกียจคร้าน “โอ้โห เป็นไปได้ยังไง อยู่ดีๆ ท่านประธานจิ้นถึงโทรหาฉันได้ ฉันคงต้องออกไปดูซะหน่อยแล้วว่าวันนี้พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตกหรือเปล่า”
“นายไม่ต้องพูดมาก บอกมาเดี๋ยวนี้นะว่ามู่มู่อยู่กับนายหรือเปล่า?” จิ้นหยวนร้อนใจดั่งไฟลน น้ำเสียงจึงเกรี้ยวกราดมาก
ฉีหย่วนเหิงชะงักอึ้งไปชั่วครู่แล้วรีบเอ่ยถาม “มู่มู่หายตัวไปอย่างนั้นเหรอ? ตั้งแต่เมื่อไหร่?” น้ำเสียงที่เคยฟังดูเอ้อระเหยลอยชายเปลี่นเป็นแข็งกร้าวทันที “จิ้นหยวน ฉันเคยเตือนนายแล้วใช่ไหม ถ้านายทำไม่ดีกับเธอฉันจะแย่งเธอกลับมา นายบอกให้ฉันไม่ต้องเป็นห่วงฉันก็เชื่อนาย แล้วเป็นไง นายทำเธอหายไปตั้งกี่ครั้งแล้ว ไหนบอกมาซิว่าฉันยังเชื่อนายได้อยู่อีกหรือเปล่า?”
จิ้นหยวนลูบหน้าตัวเองพลางเอ่ยเสียงขรึมลง “เรื่องพวกนี้เอาไว้คุยกันทีหลัง เธอไม่ได้อยู่กับนายจริงๆ ใช่ไหม?”
“ไม่อยู่! ฉันไม่ใช่นายนะที่คอยหาเรื่องเธอหนีหายไป ไหนบอกมาซิว่าเธอหายไปตรงไหน เดี๋ยวฉันไปตามหาเธอเอง!” ฉีหย่วนเหิงเองก็ร้อนใจมากไม่ต่างกัน
“ไม่ต้อง!” จิ้นหยวนฟังคำพูดของเขาแล้วปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใยแล้วตัดสายทิ้งทันที จากนั้นเขาเริ่มจมอยู่ในความคิดของตัวเองอีกครั้ง ดูเหมือนว่าฉีหย่วนเหิงไม่ได้โกหกจริงๆ ถ้าเช่นนั้น แล้วใครเป็นคนจับตัวเธอไปล่ะ?
เขาครุ่นคิดพลางเคาะนิ้วลงบนกำแพงตรงหน้าด้วยความร้อนใจดั่งไฟลน ใบหน้าฉายแววเย็นยะเยือก ไม่ว่าใครก็ตามที่กล้าจับตัวผู้หญิงของเขาไป เขาจะต้องทำให้คนคนนั้นไม่มีโอกาสได้เห็นเดือนเห็นตะวันอีก!
แววตาของเขาเต็มไปด้วยความโกรธ เขาตัดสินใจแล้วว่าจะต้องค้นหาตามบ้านของผู้ต้องสงสัยทั้งหมด ต่อให้ต้องวุ่นวายมากขนาดไหนเขาก็ไม่สน ตระกูลจิ้นไม่เคยกลัวใครอยู่แล้ว
ยังไม่ทันที่เขาจะหมุนตัวไปทำตามใจคิด พลันเสียงอ่อนหวานเสียงหนึ่งดังขึ้นไม่ไกลนัก “อาหยวน? คุณมายืนทำอะไรอยู่ตรงนี้คะ?”
หัวใจของเขากระตุกอย่างแรง เขารีบหมุนตัวกลับไปและพบกับเจ้าของเสียงอ่อนหวานนั้น… เฉียวซือมู่กำลังยืนอยู่ไม่ห่างจากเขาสักเท่าไหร่ ในมือถือกล่องใส่เค้กสวยงาม เธอกำลังจับจ้องเขาด้วยใบหน้าฉงนสงสัย
เขาหลับตาลงพลางสูดหายใจเข้าปอดลึกๆ จากนั้นเดินก้าวเท้ายาวๆ ไปข้างหน้าแล้วรั้งตัวเฉียวซือมู่ที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่เข้ามากอดเอาไว้แน่น
เฉียวซือมู่ถูกเขากอดเอาไว้แน่นอย่างกะทันหันจนแทบหายใจไม่ออก เธอใช้มืออีกข้างที่ยังว่างอยู่ผลักเขาออกแต่กลับไร้ผล จึงได้แต่เอ่ยเสียงเบา “คุณทำอะไรน่ะ? เป็นบ้าไปแล้วหรือไง? ปล่อยฉันนะ นี่คุณได้ยินที่ฉันพูดหรือเปล่า?”
เธอใช้แรงทุบแผ่นหลังของเขา เธอรู้สึกว่าตัวเองใช้แรงทั้งหมดที่มีทุบลงบนแผ่นหลังของเขาแล้วแต่เขากลับไม่รู้สึกรู้สาใดๆ เขาเอ่ยถามขึ้นหลังจากสำรวจสีหน้าเธออย่างละเอียดแล้ว “คุณไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”
เฉียวซือมู่รู้สึกแปลกพิกล นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทั้งๆ ที่เธอแค่ออกไปซื้อขนมเค้กเท่านั้น ทำไมเรื่องถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้ อย่าบอกนะว่า…
เธอคิดถึงตรงนี้แล้วนึกอะไรบางอย่างออกจึงเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง “นี่คุณกำลังคิดว่าเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นกับฉันใช่ไหมคะ?”
ไม่ต้องรอคำตอบเธอก็อ่านคำตอบในสายตาของเขาออก เธอรู้สึกปวดใจที่เห็นเขาเป็นแบบนี้ “ฉันไม่เป็นไรค่ะ แค่ออกไปซื้อเค้กให้คุณแม่แค่แป๊บเดียวเอง”
“จริงเหรอ?” เขาเอ่ยถามเสียงแผ่ว ต่อให้เขากอดเธอแน่นมากแค่ไหนเขาก็ยังไม่อยากจะเชื่ออยู่ดี
เธอพยักหน้าหงึกๆ พลางเอ่ย “คุณเห็นฉันเหมือนคนที่เพิ่งเกิดเรื่องไม่ดีอย่างนั้นเหรอคะ?”
แววตาจิ้นหยวนอ่อนแสงลง ไร้แววโกรธจนแทบจะฆ่าคนได้อย่างเมื่อกี้อีก เธอรีบฉวยโอกาสทันที “คุณอย่ากอดแน่นมากขนาดนั้นได้ไหมคะ ฉันหายใจไม่ออก”
เขาเพิ่งรู้สึกตัวจึงรีบคลายมือออก แต่ปรากฏว่าเฉียวซือมู่ไม่ทันระวังจนเกือบหกล้ม โชคดีที่เขาคว้าเธอเอาไว้ได้ทันเธอจึงยังยืนอยู่ได้
เธอค้อนควักใส่เขา “คุณอย่าทำตัวให้มันบ้ามากเกินไปได้ไหม ทำความเข้าใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนแล้วค่อยโมโหได้ไหม?”
ประกายความประหลาดใจฉายขึ้นในดวงตาจิ้นหยวนแวบหนึ่ง เขากำลังจะเอ่ยอะไรสักอย่างแต่ถูกเสียงโทรศัพท์มือถือดังขัดขึ้นเสียก่อน เขากดรับสายก็ได้ยินเสียงร้อนรนดังลอดออกมา “พี่ใหญ่ พวกเราไปตามหาพี่สะใภ้ตามที่ที่คิดว่าเธอน่าจะไปตั้งห้าที่แล้ว แต่ก็ไม่พบตัวเธอเลยครับ พี่ใหญ่จะให้พวกเราทำยังไงต่อ…”
เขายกมือที่กำไว้ขึ้นมาบังปากเอาไว้พลางแสร้งไอค่อกแค่ก “ไม่มีอะไรแล้ว พวกนายแยกย้ายได้”
เธอไม่ได้ยินคำพูดของเขาหลังจากนั้น เห็นเพียงใบหน้าของเขาแดงซ่านเพราะทำหน้าไม่ถูก เธอแอบหัวเราะอยู่ในใจทั้งๆ ที่ยังไม่รู้ว่าอะไรทำให้เขาเข้าใจผิดได้ขนาดนี้
จิ้นหยวนรีบเอ่ยตัดบทกับลูกน้องอย่างรวดเร็วด้วยความรู้สึกกระดากใจ การกระทำของเขาทำให้เขาเสียภาพลักษณ์มาก เขาหันไปมองเธอพลันเห็นแววตาแฝงรอยยิ้มขำขันของเธอ เขารีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติแล้วเอ่ย “อยากหัวเราะก็หัวเราะออกมาเถอะ”
เขากำลังรออยู่ว่าเธอจะหัวเราะเยาะเขาเสียงดังขนาดไหน แต่ไม่คิดเลยว่าคำพูดของเขาจะทำให้รอยยิ้มนั้นเลือนหายไปจากสายตาเธอ
เขาเลิกคิ้วขึ้นข้างด้วยความประหลาดใจ เธอจ้องมองเขาด้วยสายตาอ่อนโยนพลางเอ่ยเสียงเบา “ขอบคุณนะคะ”
“พูดเหลวไหลอะไรกัน?” เขาเข้าใจความหมายของเธอทันที “คุณเป็นผู้หญิงของผม ผมก็ต้องเป็นห่วงความปลอดภัยของคุณเป็นธรรมดา”
เธอยังอยากจะเอ่ยอะไรอีก แต่เขารีบเอ่ยเสียงดังขัดขึ้นเสียก่อน “กลับไปดูคุณแม่ก่อนเถอะ ท่านคงเป็นห่วงคุณมาก”
นี่เขาไม่อยากให้เธอพูดคำขอบคุณพวกนั้นใช่ไหม เธอยิ้มบางๆ แล้วไม่เอ่ยอะไรอีก
การทำดีกับใครสักคนต้องทำจากใจหาใช่พูดแต่ปาก ตอนนี้เธอจึงไม่พูดอะไรอีกหากแต่จับมือเขาเอาไว้แน่นโดยไม่คิดจะปล่อยมือเขา
เขาและเธออยู่ด้วยกันมานาน แต่พวกเขาไม่เคยรู้สึกว่าต่างฝ่ายต่างเข้าใกล้หัวใจของกันและกันมากเท่าวันนี้มาก่อน
เธอจับมือเขาแน่น รู้สึกอบอุ่นไปทั้งหัวใจ
ทั้งสองเดินไปจนถึงหน้าห้องคนไข้ของคุณนายเฉียว ทันใดนั้นเฉียวซือมู่รู้สึกว่ามีสายตาของใครบางคนกำลังจับจ้องเธออยู่จึงหันกลับไปมองแต่กลับไม่เห็นอะไรเลย เธอทำเสียง “เอ๊ะ” เบาๆ จิ้นหยวนหันไปเอ่ยถาม “เป็นอะไรไป?”
เธอมุ่นหัวคิ้วเล็กน้อย “ฉันรู้สึกเหมือนมีใครกำลังมองฉันอยู่”
เขากวาดสายตามองไปทางด้านหลัง ในใจรู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้นแต่เขากลับตอบเธอสีหน้าเรียบเฉย “คุณคงรู้สึกไปเอง ตรงนั้นไม่มีคนสักหน่อย”
เขาเอ่ยจบแล้วเปิดประตูออก จากนั้นเดินนำเธอเข้าไปในห้องก่อน
เธอเดินตามหลังเข้าไปในห้อง ทันใดนั้นเธอสัมผัสได้ถึงสายตาที่กำลังจับจ้องเธออยู่ เธอเงยหน้าขึ้นพลันเห็นคุณนายเฉียวที่น้ำตานองหน้ากำลังมองมาที่เธอ “ลูกไม่เป็นไรใช่ไหม? โชคดีเหลือเกิน”
พอถูกคุณนายเฉียวทักแบบนี้ ความรู้สึกแปลกๆ ก็กลับมาอีกครั้ง เธอมองหน้าคุณแม่ทีแล้วหันไปมองหน้าจิ้นหยวนทีอย่างจับต้นชนปลายไม่ถูกว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
จิ้นหยวนเอ่ยถามด้วยสีหน้าคลางแคลงใจ “คุณป้าครับ โทรศัพท์มือถือของมู่มู่อยู่ที่คุณป้าใช่ไหมครับ?”
เฉียวซือมู่ได้ยินแล้วพยักหน้ารับหงึกๆ “โทรศัพท์มือถือของฉันอยู่ที่คุณแม่ พอดีฉันลืมเอามันไปด้วย มีอะไรหรือเปล่าคะ?”