เฉียวซือมู่ลุกขึ้นยืน “ฉันขอให้คุณโชคดีนะคะ” เธอยื่นมือออกไปให้เขาอย่างสง่างาม
คริสลุกขึ้นยืนเช่นเดียวกัน เขามองมือเธอนิ่งนาน ทันใดนั้น เขาทำในสิ่งที่เธอคาดไม่ถึงมาก่อน เขายื่นสองแขนออกไปรวบตัวเธอเข้าไปกอด “ขอโทษ กอดนี้แทนคำบอกลาของคุณที่ให้ผมก็แล้วกันนะครับ”
เขาเอ่ยจบแล้วคลายวงแขนออก ส่งยิ้มให้เธอ “ผมไปก่อนนะครับ บ๊ายบาย”
เอ่ยจบแล้วก้าวเดินจากไปโดยไม่หันกลับมามองเธออีก
เธอยืนนิ่งอึ้งมองเขาเดินจากไปอยู่กับที่ รู้สึกว่าคำพูดของเขาแฝงความคิดถึงมากมายเอาไว้ มันทำให้เธอรู้สึกแปลกๆ
แปลกจัง กลับไปสืบทอดกิจการครอบครัวนี่มันทรมันมากขนาดนั้นเลยหรือ?
เธอส่ายศีรษะน้อยๆ ไม่ค่อยรู้อะไรเกี่ยวกับแก๊งมาเฟียสักเท่าไหร่ ไม่รู้ว่าเขากลับไปสืบทอดกิจการในครอบครัวต่อแล้วจะเป็นอย่างไรบ้าง
เธอคิดอยู่ตั้งนาน มองผ่านกระจกร้านเห็นเขาก้าวขึ้นรถคันเล็กแล้วจึงค่อยๆ เดินออกจากร้าน
เธอมุ่นหัวคิ้ว จู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนเสียเพื่อนไปอีกคนอย่างไรอย่างนั้น
การปรากฎตัวของคริสทำให้แผนในวันนี้ของตัวเองยุ่งเหยิงไปหมด เธอดูเวลาเห็นว่าเที่ยงแล้ว เข้าออฟฟิศตอนนี้คงไม่ทันแล้ว
เวลาเดียวกัน จิ้นหยวนโทรศัพท์หาเธอพอดี “ที่รัก ตอนนี้คุณอยู่ที่ไหน?”
เขาเอ่ยถามว่าเธออยู่ที่ไหนโดยตรง แสดงว่าพ่อบ้านรายงานเขาแล้วว่าเธอไม่อยู่บ้าน เธอเองก็ไม่แปลกใจเหมือนกัน “ฉันอยู่ข้างนอก…” เธอชะงักเล็กน้อย “เดินช้อปปิ้งน่ะค่ะ”
ใช่ว่าเธอไม่อยากบอกความจริงว่าออกมาพบคริส แต่เธอรู้ว่าจิ้นหยวนใจแคบมาก ขืนเธอบอกไปตามตรงเขาต้องไม่พอใจแน่ จึงเลือกที่จะไม่บอกดีกว่า
จิ้นหยวนชะงักชั่วครู่ “จริงเหรอ?”
เธอพยักหน้า รู้สึกผิดเล็กน้อย “ก็จริงนะสิคะ ฉันเดินช้อปปิ้งอยู่ข้างนอก กำลังจะกลับพอดี คุณล่ะคะ?”
น้ำเสียงเขาเคร่งขรึม แฝงรอยไม่พอใจ “ผมเพิ่งเลิกงาน กำลังจะออกไปทานข้าว คุณอยู่ไหน? เดี๋ยวผมไปรับ”
เธอลังเลชั่วครู่ “ฉันอยู่แถวๆ สนามบินค่ะ”
“อ้อ ได้ คุณรอแป๊บ ผมไปรับคุณเดี๋ยวนี้แหละ” เขาเอ่ยจบแล้ววางสายทันที
สีหน้าเขาแย่มาก หลินจื้อเฉิงที่ยืนอยู่ข้างๆ เหลือบมองหน้าจอโทรศัพท์ของเขาแวบหนึ่ง เห็นบนหน้าจอปรากฎภาพเฉียวซือมู่ที่กำลังยืนกอดกันกลมอยู่กับชายชาวต่างชาติหน้าตาหล่อเหลาแล้วหัวใจกระตุกวาบ
ท่าทางดวงความรักของเฉียวซือมู่จะแรงมากนะเนี่ย
จิ้นหยวนหน้าบึ้งตึงเดินออกจากห้อง เขาขับรถไปรับเธอด้วยตัวเอง เขาขับรถเร็วมาก ไม่สนว่าข้างหลังจะมีรถตำรวจจราจรขับตามมาหรือเปล่า พอขับไปถึงที่หมายก็เห็นเฉียวซือมู่กำลังยืนรอเขาอยู่ริมถนนคนเดียวพอดี
หัวใจเขาอ่อนยวบ ไฟโทสะลดลงไปไม่น้อย เขาเปิดประตูรถออก พยายามเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบที่สุด “ทำไมไม่รออยู่ในร้านล่ะ?”
เธอยิ้มๆ “ฉันกลัวคุณจะไม่เห็นฉันนะสิคะ”
คำพูดเธอแค่ประโยคเดียวก็สามารถทำให้ไฟโทสะของเขาลดลงไปอีกเยอะโข
ถึงกระนั้นก็เถอะ เขายังคงรู้สึกไม่พอใจอยู่ดี ฟังเธอพูดแบบนั้นแล้วเขาควรจะต่อปากต่อคำกับเธออีกสักหน่อย แต่ตอนนี้เขายังไม่อยากจะพูดอะไรทั้งนั้น ได้แต่เบือนหน้าหนีไปทางอื่นเงียบๆ
เห็นท่าทางเขาแล้วเธอรู้สึกว่าเขากำลังไม่ค่อยพอใจ จึงเอ่ยถามหยั่งเชิง “คุณเป็นอะไรไปคะ? ใครทำให้คุณไม่พอใจหรือเปล่า?”
เขามองเธอแวบหนึ่งโดยไม่ได้พูดอะไร แค่ขับรถเร็วมากเท่านั้น เขานึกถึงภาพนั้นทีไรก็รู้สึกแย่มากทุกที รู้ทั้งรู้ว่าคนที่ส่งรูปถ่ายนั้นให้เขาเจตนาทำให้เขาไม่พอใจ แต่มันก็ช่วยไม่ได้ที่เขาจะรู้สึกไม่สบายใจจริงๆ
เฉียวซือมู่ถามเขาหลายครั้งแต่ไม่ได้คำตอบเสียทีจนชักจะมีน้ำโห เธอไม่ถามเขาแล้ว เบือนหน้าหันไปมองวิวนอกรถแทน
เขาคอยเหลือบมองเธอตลอดเวลา ในใจมีแต่คำถามเต็มไปหมด แต่กลับไม่อยากจะถามเธอเสียอย่างนั้น เขาไม่อยากได้ยินคำตอบนั้น เพราะมันจะทำให้หัวใจเขาทนรับไม่ไหว
ท่ามกลางบรรยากาศเงียบกริบน่าอึดอัด เขาพาเธอไปรับประทานมื้อเที่ยงที่แสนจะกร่อย จากนั้นเฉียวซือมู่บอกว่าจะแยกกับเขาเพื่อไปที่ออฟฟิศซินเฟิง
จิ้นหยวนดวงตาไหววูบ เขายื่นแขนออกไปกอดเอวเธอไว้ “คุณไปที่บริษัทกับผมได้ไหม?”
เธอเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ “ทำไมคะ?”
จิ้นหยวนเป็นคนที่แยกเรื่องส่วนตัวและเรื่องงานออกจากกันอย่างชัดเจน เธออยู่กับเขามานานขนาดนี้ แต่ยังไม่เคยไปที่บริษัทของจิ้นซื่อ กรุ๊ป แม้แต่ครั้งเดียว พอได้ยินเขาชวนให้เธอไปด้วย เธอจึงรู้สึกประหลาดใจมาก
เขาส่ายศีรษะน้อยๆ “ไม่มีเหตุผล แค่อยากเห็นคุณอยู่ในสายตาเท่านั้น ผมไม่อยากให้คุณอยู่ห่างจากผม”
คำพูดของเขาทำให้เธอหน้าแดงซ่าน เธอไม่คิดจะปฏิเสธจริงจังตั้งแต่แรก พอได้ยินแบบนี้ยิ่งหวั่นไหวเข้าไปใหญ่
หลินจื้อเฉิงสังเกตเห็นว่าข้างกายพี่ใหญ่มีคนเพิ่มมาคนหนึ่งทันที พอเห็นว่าเป็นเฉียวซือมู่เขาก็เบิกตาโตด้วยความประหลาดใจ นี่เขาไม่ได้ตาฝาดไปใช่ไหม พี่ใหญ่พาคุณเฉียวมาถึงนี่ ตระกูลหร่วนรู้เข้าต้องโกรธเป็นฟืนเป็นไฟแน่
แม้หลินจื้อเฉิงจะแอบตำหนิอยู่ในใจ แต่เขาก็คลี่ยิ้มต้อนรับเธอเต็มที่ “คุณเฉียวมาถึงที่นี่ เป็นเกียรติจริงๆ เลยครับ”
เธอยิ้มบางๆ พลางพยักหน้าเล็กน้อย “สวัสดีค่ะ ไม่เจอกันนานเลยนะคะ”
จิ้นหยวนมองทั้งสองแวบหนึ่ง จูงมือเธอด้วยความไม่พอใจ “ไปกับผม” เอ่ยจบแล้วจูงมือเธอเดินเข้าไปในห้องทำงานทันที
เฉียวซือมู่ได้แต่ยิ้มแห้งๆ ให้หลินจื้อเฉิงแทน
จิ้นหยวนพาเธอไปนั่งลงบนโซฟาด้วยท่าทางหยาบกระด้าง “คุณนั่งอยู่ตรงนี้แหละ จำไว้ ห้ามอยู่ห่างจากสายตาผมเด็ดขาด”
น้ำเสียงเขาแข็งกระด้างจนทำให้เธอมุ่นหัวคิ้วชนกันด้วยความไม่พอใจ “วันนี้คุณเป็นอะไรกันแน่?” เธอครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วหลุดขำออกมา “เมื่อกี้ฉันแค่ทักทายเขาเท่านั้น แค่นี้คุณก็ไม่พอใจแล้วเหรอคะ?”
เขาครางเสียงฮึดฮัด “ในสายตาคุณต้องมีแต่ผมคนเดียวเท่านั้น ไม่ว่าผู้ชายหน้าไหนก็ไม่ได้ทั้งนั้น”
เฉียวซือมู่ส่ายศีรษะ “คุณนี่มันจริงๆ เลย จอมขี้หึง ฉันว่านะ ถ้าคุณปิดบริษัทแล้วไปขายน้ำส้มสายชูแทนคงรวยอื้อซ่าแน่”
คำพูดตรงไปตรงมาของเธอทำให้จิ้นหยวนมองเธออย่างเซ็งๆ เขาตัดสินใจไม่พูดมากกับเธออีก หมุนตัวแล้วเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้หลังโต๊ะทำงาน
เธอมองโต๊ะตรงหน้าอย่างเบื่อหน่าย บนโต๊ะมีแท็บเล็ตวางอยู่ เขาคงเตรียมเอาไว้ให้เธอเล่นแก้เบื่อ เธอหยิบมันขึ้นมา ใช้นิ้วปัดหน้าจอ
เธอชำเลืองมองเขาแวบหนึ่งแล้วหันกลับมาดูหน้าจอแท็บเล็ตตรงหน้า รู้สึกเซ็งๆ “วันนี้ช่างมันเถอะ ถือว่ามาออกเดทก็แล้วกัน”
เธอจึงตั้งหน้าตั้งตาเล่นแท็บเล็ต จนกระทั่งถึงเวลาเลิกงานจึงกลับบ้านพร้อมเขา
เธอคิดว่าวันนี้เป็นกรณีพิเศษ แต่ไม่คิดเลยว่าวันรุ่งขึ้น เขายังคงพาเธอไปที่บริษัทเหมือนเดิม วันที่สาม วันที่สี่ และวันต่อๆ มาก็ทำเหมือนเดิม เรื่องนี้ทำให้เธอรู้สึกแปลกใจมาก แต่ทุกครั้งที่เธอคิดจะปฏิเสธ เขามักจะมีคำพูดที่ทำให้เธอพูดไม่ออกทุกครั้ง
เธอจนปัญญา ได้แต่ตามเขาไปทำงานทุกวัน และปรากฎตัวต่อหน้าสาธารณชนอย่างเปิดเผย
เวลาหนึ่งเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว เธอค่อยๆ ชินกับการติดสอยห้อยตามเขาไปที่บริษัท ตอนหลังเธอเริ่มเบื่อมากจึงทำหน้าที่เป็นลูกมือให้เขา ช่วยเขาจัดการเอกสารต่างๆ ดูเหมือนจิ้นหยวนจะดื่มด่ำกับการบริการของเธอมาก และนั่นทำให้เขาอารมณ์ดีทุกวัน