ตอนที่ 282 โมโหจนต้องเข้าโรงพยาบาล
เฉียวซือมู่ซาบซึ้งใจมาก ตอบ “อืม” เบาๆ ฉินเพ่ยหรงเห็นแล้วเบ้ปาก “คนบางคนกินเยอะไปก็เท่านั้น เสียของเปล่าๆ”
เหตุผลสำคัญอีกข้อที่ทำให้ฉินเพ่ยหรงไม่ชอบเฉียวซือมู่ก็คือเฉียวซือมู่อยู่กับจิ้นหยวนนานมากแล้ว แต่ก็ยังไม่ท้องเสียที เธอยังได้ยินมาว่าก่อนหน้านี้เฉียวซือมู่ได้รับบาดเจ็บ ทำให้เธอระแวงว่าเฉียวซือมู่อาจจะมีลูกไม่ได้
ตระกูลจิ้นมีจิ้นหยวนเป็นลูกชายเพียงคนเดียวเท่านั้น จะให้แต่งงานกับผู้หญิงที่มีลูกไม่ได้ได้อย่างไร? ด้วยเหตุนี้ เธอจึงไม่พอใจในตัวเฉียวซือมู่เป็นอย่างมาก
ส่วนเรื่องที่ว่าสาเหตุที่ยังไม่มีลูกเสียทีอาจจะเป็นเพราะจิ้นหยวนหรือไม่นั้น เธอไม่เคยคิดถึงปัญหานี้เลยด้วยซ้ำ ลูกชายเธอทั้งดีทั้งเก่งมากขนาดนี้ จะไร้น้ำยาได้อย่างไร? ตลกสิ้นดี!
เฉียวซือมู่นึกไม่ถึงด้วยซ้ำว่าที่ฉินเพ่ยหรงไม่ชอบเธอเป็นเพราะเหตุนี้
เพราะฉะนั้น ตอนที่ฉินเพ่ยหรงพูดประโยคนั้นออกมา เฉียวซือมู่จึงไม่เข้าใจนัยยะที่แฝงอยู่ในนั้น คิดเพียงแค่ว่าฉินเพ่ยหรงไม่ชอบหน้าเธอเท่านั้น เธอจึงไม่ได้ใส่ใจนัก เพียงส่งยิ้มบางๆ ให้จิ้นหยวน จากนั้นเริ่มรับประทานอาหารเงียบๆ จิ้นหยวนเห็นท่าทางเธอแล้วก็ไม่สะดวกที่จะพูดอะไรเช่นกัน
อาหารมื้อนี้เป็นการรับประทานอาหารที่ไร้ความรื่นรมย์ที่สุด เพราะในใจแต่ละคนเต็มไปด้วยแผนการ ยกเว้นจิ้นเฮ่าที่ไม่ค่อยพูดอะไรสักเท่าไหร่คนเดียวเท่านั้น
หลังมื้ออาหาร เฉียวซือมู่ลูบหน้าท้องตัวเองเบาๆ ด้วยความกลุ้มใจ เดี๋ยวคงต้องหาอะไรกินเพิ่มเสียแล้ว มิเช่นนั้น คืนนี้เธอต้องหิวตายแน่
ท่าทางเล็กๆ น้อยๆ ของเธอไม่รอดสายตาจิ้นหยวน เขายิ้มน้อยๆ พลางจับมือเธอเอาไว้ “เดี๋ยวผมพาคุณกลับบ้านนะ”
ดวงตาเธอเป็นประกายวาบ พยักหน้าหงึกๆ ให้เขา
เธอไม่ชอบที่นี่เลย ถึงแม้ที่นี่จะทั้งใหญ่โตทั้งสวยมากก็เถอะ แต่ที่นี่กลับสบายสู้บ้านที่เธออยู่กับจิ้นหยวนไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว
ท่าทางเธอไม่มีทางหลุดรอดสายตาของฉินเพ่ยหรงที่คอยจับสังเกตเธออยู่ตลอดเวลาไปได้ ฉินเพ่ยหรงเอ่ยอย่างไม่พอใจ “เฉียวซือมู่ นี่เธอกล้าจับมือถือแขนต่อหน้าพวกเราเลยเหรอ ไร้มารยาทสิ้นดี”
เฉียวซือมู่ตัวแข็งทื่อ รู้สึกน้อยใจขึ้นมาทันที หยาดน้ำตาคลอเบ้า เธอพยายามสะกดกลั้นความโกรธเอาไว้อย่างสุดความสามารถ พยายามดิ้นรนสลัดมือเขาออก แต่จิ้นหยวนกลับจับมือเธอแน่นไม่ยอมปล่อย เธอเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยความกรุ่นโกรธและคับแค้นใจ “คุณไม่ได้ยินหรือไงคะว่าท่านพูดว่ายังไง? ยังไม่รีบปล่อยมืออีก!”
จิ้นหยวนหน้าเข้ม ไม่สนใจการดิ้นรนของเธอ เขาจับมือเธอก้าวเข้าไปหาฉินเพ่ยหรง “ผมเป็นคนจับมือเธอเอง เรื่องแบบนี้คุณแม่ก็ต้องยุ่งด้วยเหรอครับ?”
ฉินเพ่ยหรงหน้าเข้ม “ทำไม แม่เป็นแม่ของลูกนะ ทำไมจะยุ่งไม่ได้? อีกอย่าง เธออยากจะแต่งงานกับลูกไม่ใช่เหรอ? แต่งงานกับลูกแล้วก็ต้องเป็นลูกสะใภ้บ้านนี้ แล้วลูกเคยเห็นลูกสะใภ้บ้านไหนกินข้าวเสร็จแล้วไม่เก็บโต๊ะล้างจานบ้าง? แล้วยังจะไปแอบจู๋จี๋กับลูกอีก เธอคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน?”
จิ้นหยวนหน้าดำคร่ำเคร่งเครียด “คุณแม่ ผมขอพูดอีกครั้งนะครับ ผมเป็นคนจับมือเธอเอง ผมชอบเธอ ผมจะแต่งงานกับเธอ ต่อให้คุณแม่หาผู้หญิงมาอีกพันคนก็เปล่าประโยชน์”
เขาพูดแทงใจดำเธอเข้าอย่างจัง และนั่นทำให้เธอโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ “ลองพูดอีกทีซิ นี่แม่หวังดีกับลูกนะ ลูกดูซิ ดูผู้หญิงคนนี้เหมือนอะไร ตั้งแต่เข้าบ้านก็ปั้นหน้าบึ้งตึงไม่ยิ้มสักนิด เห็นหน้าแล้วก็มีแต่ซวยกับซวย แล้วลูกยังกล้าแต่งงานกับเธออีกเหรอ? นี่ลูกอยากให้แม่ตายเร็วๆ หรือไง?”
จิ้นหยวนชักหัวคิ้วชนกันแน่น “คุณแม่พูดให้มันน้อยๆ หน่อยเถอะครับ ผมจะไปคิดแบบนั้นได้ยังไง”
“แล้วลูกหมายความว่ายังไง? แม่จะบอกให้นะว่าแม่ไม่ยอมให้เธอมาเป็นลูกสะใภ้เด็ดขาด ไม่งั้นก็รอให้แม่ตายไปก่อนเถอะ” ฉินเพ่ยหรงตบโต๊ะดังปังใหญ่
ตอนที่ 283 เป็นลม
จิ้นหยวนจับมือเฉียวซือมู่แน่น แม้ใบหน้าเธอจะเรียบเฉย แต่ฝ่ามือกลับชื้นเหงื่อ เขาสงสารเธอมาก น้ำเสียงที่พูดกับฉินเพ่ยหรงแข็งกระด้างขึ้น “คุณแม่ไม่ชอบเธอ แต่ผมชอบ เพราะฉะนั้น ไม่ว่าคุณแม่จะพูดยังไงก็ตาม ยังไงผมก็จะแต่งงานกับเธอ!
พูดจบแล้วหมุนตัวจูงมือเฉียวซือมู่เดินออกไปทันที ตอนแรกเขาอยากจะคุยกับคุณแม่ดีๆ แต่ตอนนี้คงไม่มีอะไรต้องคุยกันแล้ว ทิ้งคำพูดเด็ดขาดของตัวเองเอาไว้ข้างหลังแล้วเดินจากไปทันที
ฉินเพ่ยหรงโกรธจนตัวสั่นไปทั้งร่าง ชี้นิ้วไปยังแผ่นหลังของทั้งสอง “พวก… พวก… พวกแก…” ทันใดนั้น ใบหน้าเธอขาวจัด ร่างกายเอนไปทางด้านหลัง เธอเป็นลมล้มพับไปแล้ว
เสียงกรีดร้องด้วยความตกใจดังขึ้นรอบทิศ จิ้นหยวนจำต้องกลับไปดูแลฉินเพ่ยหรงอย่างเลี่ยงไม่ได้ เขาโทรศัพท์เรียกรถพยาบาลทันที เสียงกรีดร้องดังระงมด้วยความตกใจ สถานการณ์ชุลมุนวุ่นวายไปหมด
เฉียวซือมู่ยืนโดดเดี่ยวอยู่กับที่ รู้สึกหัวใจตัวเองเย็นวาบ
แม้จิ้นหยวนจะโกรธมาก แต่นั่นก็เป็นแม่บังเกิดเกล้าของตัวเอง พอเห็นฉินเพ่ยหรงเป็นลมล้มพับแบบนั้น ต่อให้เขาใจเย็นมากแค่ไหน เขาก็ลนลานจนทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน ในที่สุดเขาก็ส่งฉินเพ่ยหรงถึงโรงพยาบาลจนได้ คุณหมอตรวจอาการแล้วแจ้งว่าเธอเพียงแค่เลือดลมไหลเวียนไม่ดีเท่านั้น พักผ่อนสักพักก็ดีขึ้นเอง หลังจากวางใจเรื่องของฉินเพ่ยหรงแล้วเขาจึงนึกถึงเฉียวซือมู่ขึ้นมาได้
เขารีบโทรศัพท์หาเฉียวซือมู่ทันที “ฮัลโหล ที่รัก คุณ…”
จู่ๆ เขาก็รู้สึกผิดขึ้นมา ดูเหมือนว่าตั้งแต่คุณแม่เป็นลมเขาก็ลืมเธอไปเลย และตอนนี้เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเธออยู่ที่ไหนกันแน่
เฉียวซือมู่ยิ้มๆ รู้ทันทีว่าเขาอยากจะถามอะไร “ฉันอยู่ที่บ้านแล้วค่ะ”
“อย่างนั้นเหรอ? ทำไมคุณไม่โทรหาผมล่ะ?” เขาเอ่ยถาม
น้ำเสียงเธอฟังดูใจเย็นมาก “ฉันเห็นคุณกำลังยุ่งมาก ก็เลยไม่อยากรบกวนน่ะค่ะ”
ความจริงเธอเดินตั้งนานกว่าจะเรียกรถแท็กซี่ได้ แต่เธอไม่อยากจะพูดถึงมัน
จิ้นหยวนเอ่ยอย่างรู้สึกผิด “ขอโทษนะเมียจ๋า คืนนี้ผมไม่ได้ตั้งใจทิ้งคุณเอาไว้จริงๆ ตอนนี้คุณแม่ยังอยู่ที่โรงพยาบาล ก็เลย…”
“คุณไม่ต้องพูดอะไรแล้วล่ะค่ะ ฉันเข้าใจทุกอย่างดี” เธอกัดริมฝีปากล่างแน่น พยายามสะกดกลั้นความคิดของตัวเองเอาไว้แล้วเอ่ยเสียงเบา “ท่านเป็นคุณแม่คุณนี่คะ ฉันเข้าใจคุณค่ะ ถ้าเป็นฉัน ฉันก็คงจะทำแบบเดียวกับคุณเหมือนกันค่ะ”
“คุณเข้าใจก็ดีแล้ว คุณเป็นคนดีจัง กลับไปจะต้องให้รางวัลคุณหน่อยแล้ว คนดี คุณเข้านอนเถอะ คืนนี้ผมคงกลับดึกนะ” จิ้นหยวนเอ่ยกับเธอเสียงเบา
เธอตอบเบาๆ ว่า “อืม” จากนั้นวางโทรศัพท์มือถือลง
ประมวลจากเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในคืนนี้ จิ้นหยวนไม่ได้ทำอะไรผิดเลยแม้แต่นิดเดียว ถึงกระนั้นก็เถอะ เธอยังคงรู้สึกแย่มากอยู่ดี การถูกลืมและถูกทิ้งเอาไว้ในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยเป็นความรู้สึกที่แย่มากจริงๆ จนถึงตอนนี้เธอยังรู้สึกแย่ไม่หาย และเธอไม่อยากรู้สึกแย่แบบนั้นอีกเป็นครั้งที่สองแล้ว
แต่เธอไม่ต้องการให้เขารู้ว่าเธอคิดอะไรอยู่ พูดไปจะมีประโยชน์อะไร เขาอาจจะไม่เข้าใจก็ได้ เผลอๆ เขาอาจจะคิดว่าเธอเป็นคนไร้เหตุผลก็ได้ หากเป็นเช่นนั้น เธอขอเลือกทำตัวเป็นคนใจกว้างและมีเหตุผลดีกว่า อย่างน้อยเขาจะได้สบายใจและดีใจ
ดูสิ ตอนนี้ผลลัพธ์ก็ออกมาแล้ว เขาดีใจมากจริงๆ ด้วย แถมยังบอกอีกว่าเธอเป็นคนมีเหตุผลอีกต่างหาก
เธอยิ้มขื่น แล้วจะให้เธอทำอย่างไร? ให้ถามว่าทำไมเขาถึงทิ้งเธอเอาไว้คนเดียวอย่างนั้นเหรอ? นั่นคุณแม่ของเขานะ เขาจะไม่ดูดำดูดีได้อย่างไร?
ดังนั้น เธอจึงเลือกทำแบบนี้โดยโทษใครไม่ได้
เธอครุ่นคิดไปมา กระทั่งหนังตาหย่อนจึงค่อยๆ ผลอยหลับไป
จิ้นหยวนบอกว่าจะกลับดึก แต่คืนนั้นเขาไม่ได้กลับบ้านอย่างที่บอกเอาไว้ เธอลืมตาตื่นขึ้นพร้อมเตียงที่ว่างเปล่า ไร้ร่องรอยว่าเคยมีคนนอนข้างกาย