ตอนที่ 284 หายตัวไป
เฉียวซือมู่ผุลลุกขึ้นนั่ง เธอถอนหายใจแล้วนั่งเหม่อชั่วครู่ จากนั้นโทรศัพท์หาจิ้นหยวน แต่กลับไม่มีคนรับสายเสียที
เธอวางโทรศัพท์ลงหน้าเศร้า เดาว่าเขาอาจจะดูแลคุณแม่จนเหนื่อยจึงหลับเป็นตายไปแล้วมั้ง?
เธอส่ายศีรษะน้อยๆ วางโทรศัพท์มือถือลง นั่งเหม่ออยู่อย่างนั้นสักพัก จากนั้นลงไปทานอาหารเช้าที่ชั้นล่าง
หลังจากรับประทานอาหารเช้าเสร็จแล้ว เธอกวาดสายตามองไปรอบๆ บ้านที่กว้างใหญ่ จู่ๆ เธอก็รู้สึกโดดเดี่ยวอ้างว้างขึ้นมาดื้อๆ
เธอมุ่นหัวคิ้วคิดหาอะไรทำแก้เหงา คิดๆ แล้วหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาโทรศัพท์หาคุณแม่ เธอตัดสินใจแล้วว่าวันนี้เธอจะไปเยี่ยมคุณแม่ จะได้ถือโอกาสระบายความอัดอั้นตันใจกับท่านด้วย เพราะท่านเป็นครอบครัวคนเดียวของเธอที่เหลืออยู่บนโลกใบนี้
แต่เธอคิดไม่ถึงเลยว่าครั้งนี้ท่านจะปิดโทรศัพท์มือถือ
เธอรู้สึกแปลกใจมาก แปลกมาก คุณแม่เป็นคนที่ใช้ชีวิตเป็นระเบียบมาก ปกติท่านเป็นคนตื่นเช้าและเข้านอนเร็ว ตอนนี้ยังเช้าอยู่เลย ท่านน่าจะตื่นนอนแล้วนี่นา แล้วเหตุใดจึงปิดโทรศัพท์มือถือล่ะ?
เธอกระวนกระวายขึ้นมาทันที หรือว่าท่านจะไม่สบาย? แต่ก็ไม่น่าจะถึงขั้นต้องปิดโทรศัพท์มือถือนี่นา
หรือว่าจะเกิดอุบัติเหตุ? คิดได้ดังนี้จึงรีบลุกขึ้น หันไปบอกกับพ่อบ้าน “ฉันมีธุระด่วนต้องออกไปข้างนอก อาจจะไม่กลับมาทานข้าวนะคะ”
พ่อบ้านอ้าปากเหมือนอยากจะพูดอะไร แต่เธอก็วิ่งออกไปด้วยความรีบร้อนเสียแล้ว ไม่แม้แต่จะขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียหน่อย
ในสถานการณ์เช่นนี้ พ่อบ้านที่ไม่ทันอ้าปากพูดทำได้เพียงรีบโทรศัพท์เรียกคนขับรถให้ไปส่งคุณเฉียวตามที่เธอต้องการ
เธอรีบก้าวขึ้นรถ ไม่พูดพล่ามทำเพลง รีบบอกให้คนขับรถขับตรงไปที่บ้านคุณนายเฉียวทันที
อาฮุยถือเป็นคนคุ้นเคยของเธออีกคน พอเห็นสีหน้าคร่ำเครียดของเธอจึงไม่พูดอะไร รีบขับรถห้อตะบึงไปยังจุดหมายปลายทางทันที เพียงไม่นานเขาก็ขับรถไปจอดลงยังที่หมาย
เฉียวซือมู่ไม่มีกะจิตกะใจพูดอะไรเลย เธอรีบก้าวลงจากรถ จากนั้นวิ่งไปกดกริ่งหน้าประตูบาน “คุณแม่ เปิดประตูหน่อยค่ะ!”
ไร้เสียงตอบรับใดๆ จากข้างในบ้าน ไม่มีแม้แต่เสียงฝีเท้า
เธอกดกริ่งประตูไม่หยุด และยังคงไร้เสียงตอบรับเช่นเดิม
อาฮุยเห็นท่าทางร้อนใจของเธอแล้วเอ่ยเตือนสติ “ท่านอาจจะออกไปข้างนอกก็ได้นะครับ”
เธอส่ายศีรษะ “ไม่ ปกติเวลานี้ท่านไม่ออกไปไหนหรอก ถ้าออกไปข้างนอกแล้วทำไมต้องปิดมือถือด้วยล่ะ ต้องมีอะไรผิดปกติแน่ๆ”
เธอยืนกดกริ่งประตูอยู่นานสองนานก็ไม่เห็นมีใครออกมาเปิดประตูเสียที ทำให้เธอร้อนใจดั่งไฟลน ทันใดนั้น เธอนึกอะไรขึ้นมาได้ เธอตบศีรษะตัวเองเบาๆ ด้วยความหงุดหงิด ก้มหน้าลงค้นหาอะไรบางอย่างในกระเป๋า ในที่สุดเธอก็หยิบกุญแจออกมาดอกหนึ่ง
เธอส่ายศีรษะอย่างระอาตัวเอง ตอนที่คุณแม่ย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่ เธอปั๊มกุญแจสำรองเอาไว้เผื่อมีเหตุฉุกเฉิน แต่เธอกลับลืมเสียสนิท โชคดีที่นึกขึ้นมาได้
เธอรีบไขกุญแจเปิดประตูออกทันที เสียงประตูดังเอี๊ยดอ๊าดเหมือนไม่ได้เปิดใช้งานมานาน เสียงแบบนี้ทำให้คนฟังรู้สึกไม่สบายใจมาก และทำให้เฉียวซือมู่ที่ร้อนใจเป็นทุนเดิมอยู่แล้วกระวนกระวายใจหนักขึ้นไปอีก
ความจริงอาฮุยไม่สมควรตามเธอเข้าไปในบ้าน แต่เขาเห็นท่าทางร้อนรนของเธอแล้วจึงตัดสินใจเดินตามหลังเธอเข้าไป เธอเป็นชีวิตจิตใจของพี่ใหญ่ ถ้าเกิดเธอเป็นอะไรขึ้นมาเขารับผิดชอบไม่ไหวแน่
เฉียวซือมู่ไม่รู้ว่าอาฮุยคิดอะไรอยู่ รีบเดินจ้ำอ้าวเข้าไปในห้องนอน และภาพที่เธอกลัวก็ปรากฎขึ้นตรงหน้า ไม่มีใครอยู่ในห้องนอนสักคน ที่นอนและรองเท้าถูกเก็บอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ราวกับว่าเจ้าของไม่อยู่ที่นี่แล้ว
ตอนที่ 285 คุณเองเหรอ
อาฮุยมองเธออยู่เงียบๆ โดยไม่พูดอะไรสักคำ เฉียวซือมู่ร้อนใจดั่งไฟลน หรือว่าคุณแม่เพิ่งจะออกจากบ้าน? แล้วทำไมท่านไม่บอกเธอสักคำ?
เธอหมุนตัววิ่งลงไปที่ห้องครัว กลับพบว่าคุณแม่ไม่อยู่บ้านอย่างน้อยสองวันแล้ว
นี่มันเกิดอะไรขึ้น?
เธอปิดประตูตู้เย็นอย่างแรง ในใจเต็มไปด้วยความเป็นห่วงเป็นกังวล
อาฮุยเอ่ยขึ้น “หรือว่าท่านจะออกไปเที่ยวครับ?”
เธอส่ายศีรษะช้าๆ “ถ้าท่านออกไปเที่ยว ท่านคงไม่ไปโดยที่ไม่บอกฉันสักคำแบบนี้หรอก”
ที่สำคัญ พวกเธอเพิ่งจะกลับมาจากท่องเที่ยวไม่นานนี้เอง ท่านไม่มีทางออกไปท่องเที่ยวอีกเร็วขนาดนี้หรอก กระนั้น เธอก็ไม่ลืมที่จะโทรศัพท์หาเพื่อนของคุณแม่คนนั้นอย่างมีความหวัง
และผลลัพธ์ยังคงเหมือนเดิม เพื่อนคุณแม่บอกว่าไม่รู้เรื่องอะไรเพราะไม่ได้ติดต่อกันสองสามวันแล้ว
คราวนี้เธอเธอว้าวุ่นจนลนลาน
ตั้งแต่คุณพ่อทิ้งไป สุขภาพของคุณแม่ก็ย่ำแย่มาตลอด ตอนนี้เพิ่งจะดีขึ้นมาบ้าง แต่กลับหายตัวไปอีก ทันใดนั้น ภาพข่าวสังคมน่ากลัวแวบขึ้นในสมองเธอทันที เธอเข่าอ่อนจนแทบทรุดลงกองกับพื้น
อาฮุยเห็นท่าไม่ดี รีบเข้าไปประคองร่างไร้เรี่ยวแรงของเธอเอาไว้ได้ทันท่วงที เขาประคองเธอไปนั่งลงบนเก้าอี้ “คุณอย่าเพิ่งร้อนใจไปนะครับ ลองโทรศัพท์หาเพื่อนๆ ของท่านดูก่อน บางทีท่านอาจจะมีธุระที่ต้องออกไปข้างนอกก็ได้นะครับ”
เธอพยายามตั้งสติ ส่ายศีรษะเบาๆ “ตั้งแต่เกิดเรื่องขึ้น ท่านก็ไม่มีเพื่อนที่ไหนอีก ตอนนี้ฉันเป็นคนที่ใกล้ชิดกับท่านมากที่สุดแล้ว ถ้ามีธุระจริงๆ ท่านก็ต้องบอกฉัน ไม่มีทางหายตัวไปแล้วยังปิดมือถือแบบนี้หรอก”
อาฮุยยังคงพยายามปลอบใจเธอต่อ “บางทีมันอาจจะไม่ได้แย่อย่างที่คุณคิดก็ได้ คุณดูห้องนี้สิครับ ทุกอย่างถูกจัดอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ห้องนอนก็สะอาดสะอ้าน และไม่มีร่องรอยถูกคนบุกรุก นั่นก็หมายความว่าอย่างน้อยท่านก็เป็นคนออกจากบ้านเอง เพราะฉะนั้น คุณอย่าเพิ่งคิดในแง่ร้ายเลยนะครับ”
“นายพูดถูก” เธอหวนนึกถึงสภาพภายในบ้านตามที่เขาบอก ตอนนี้เธอเริ่มจะตั้งสติได้แล้ว “เป็นเพราะฉันตกใจมากเกินไปเอง แล้วทำไมท่านถึงปิดมือถือล่ะ?”
เธอบ่นงึมงำ อาฮุยนิ่งเงียบเพราะไม่รู้สาเหตุเหมือนกัน
อีกสาเหตุที่ทำให้เธอร้อนรนมากก็เพราะสำหรับท่านแล้ว ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดควรจะเป็นลูกสาวคนนี้ แต่ท่านกลับหายตัวไปโดยไม่บอกไม่กล่าวสักคำ ไม่แม้แต่จะโทรศัพท์บอกเธอสักคำ และถึงขั้นปิดโทรศัพท์มือถือแบบนี้ มันต้องเป็นเรื่องที่สำคัญมากขนาดไหนที่ทำให้ท่านทำแบบนี้?
เธอยิ่งคิดยิ่งไม่เข้าใจ ยิ่งคิดยิ่งสับสน
ทันใดนั้น เสียงโทรศัพท์มือถือของเธอดังขึ้น หัวใจเธอกระตุกวูบ รีบกดรับสายทันที เสียงจิ้นหยวนดังลอดมาตามสาย “ที่รัก คุณกำลังทำอะไรอยู่เหรอ?”
“คุณเองเหรอคะ!” นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้ยินเสียงจิ้นหยวนแล้วไม่รู้สึกดีใจ แต่กลับรู้สึกผิดหวังแทน
จิ้นหยวนสัมผัสถึงความผิดปกติทันที “คุณเป็นอะไรหรือเปล่า?”
“ฉัน… ฉันมีเรื่องอยากให้คุณช่วยค่ะ” เธอลังเลเล็กน้อย ตัดสินใจเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้เขาฟัง
ตอนนี้เธอจับต้นชนปลายไม่ถูกแล้ว อยากจะออกตามหาคุณแม่แต่ก็ไม่รู้จะเริ่มต้นจากตรงไหน และตอนนี้วิธีเดียวที่เธอนึกออกก็คือขอให้จิ้นหยวนช่วย
จิ้นหยวนรู้เรื่องแล้วรับปากทันที “ได้ เดี๋ยวผมสั่งให้คนออกตามหาเดี๋ยวนี้แหละ คุณแน่ใจใช่ไหมว่าคุณแม่คุณปิดมือถือเอาไว้?”
“ใช่ค่ะ คุณแม่ปิดมือถือเอาไว้ ฉันโทรหาท่านตั้งแต่เช้าเป็นสิบๆ สายแล้ว แต่ก็ปิดเครื่องตลอด” พูดถึงตรงนี้แล้วเธอรู้สึกว้าวุ่นใจจนเกือบจะร้องไห้ออกมา