เธอไม่ได้โง่เสียหน่อย ขืนพูดออกไปเขาคงภูมิใจและได้ใจไปอีกนาน เธอไม่มีทางทำอย่างนั้นเด็ดขาด
จิ้นหยวนเห็นสีหน้าเธอแล้วรู้ทันทีว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ เขาเคลื่อนใบหน้าเข้าไปใกล้เธอแล้วเอ่ยเบาๆ ข้างหูเธอ “แบบนี้ยิ่งต้องออกกำลังกาย ไม่แน่นะ มันอาจช่วยให้เราได้ลองท่าใหม่ๆ อีกหลายท่าเลยก็ได้”
คนคนนี้ยิ่งพูดยิ่งน่าเกลียด ใบหน้าเธอแดงซ่านแต่เขากลับทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้นเสียอย่างนั้น ราวกับว่าคำพูดน่าอายพวกนั้นไม่ได้ออกมาจากปากเขา เขาดึงมือเธอเอาไว้ “คืนนี้อากาศดี เราไปเดินเล่นแถวๆ นี้กันเถอะ”
“อากาศดีเหรอ?” เธอได้ยินแล้วเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าแล้วแทบพูดไม่ออกบอกไม่ถูก นี่เรียกว่าอากาศดีอย่างนั้นเหรอ? ท้องฟ้ามืดมิดไร้แสงจันทร์ มีเพียงดวงดาวกะพริบแสงอยู่บนท้องฟ้าอันมืดมิดเพียงไม่กี่ดวงเท่านั้น เห็นแล้วก็รู้สึกน่าสงสารอย่างบอกไม่ถูก ในความคิดเธอสภาพอากาศแบบนี้ไม่ใกล้เคียงกับคำว่าอากาศดีเลยสักนิด บางทีเขาอาจจะคิดว่าขอแค่ฝนไม่ตกก็ถือว่าอากาศดีทั้งนั้นกระมัง
เธอได้แต่ส่ายศีรษะเบาๆ อย่างจำยอมเพราะเขาคงไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เป็นแน่ ถ้าเช่นนั้นก็ยอมทำตามใจเขาดีกว่า เธอจึงยื่นมือให้เขาจับเอาไว้ “ถ้าอย่างนั้นคุณต้องให้ฉันขี่หลังลงไปข้างล่างนะ”
เธอแค่อยากจะหาเรื่องเล่นแง่ให้เขาลำบากเล็กๆ น้อยๆ และเธอเตรียมตัวเตรียมใจเอาไว้แล้วว่าถ้าเกิดเขาปฏิเสธแล้วเธอจะรับมืออย่างไรต่อ แต่ไม่นึกเลยว่าจิ้นหยวนกลับตกปากรับคำทันที “ได้ ผมยอมให้คุณขี่หลัง”
เธอตกใจไม่น้อย พอเรียกสติกลับมาได้ก็รีบส่ายศีรษะปฏิเสธเป็นพัลวัน “ไม่… ไม่ต้อง ฉันแค่ล้อเล่นเฉยๆ”
แต่จิ้นหยวนที่กำลังอารมณ์ดีเป็นพิเศษไม่สนคำปฏิเสธของเธอ เขาอุ้มเธอขึ้นไปยืนบนโซฟา จากนั้นหมุนตัวหันหลังให้เธอแล้วย่อตัวลง “มาสิ ขึ้นมาเร็ว”
เธอมองแผ่นหลังกว้างของเขาอย่างลังเล “คุณพูดจริงเหรอคะ? ฉันจะขึ้นไปจริงๆ แล้วนะ”
เขาหันหน้ากลับไปมองเธออย่างอดรนทนไม่ไหว “อย่ามัวแต่โอ้เอ้ ขึ้นมาเร็ว”
ก็ได้ คุณพูดเองนะ เธอกัดริมฝีปากล่างอย่างตัดสินใจแล้วโถมกายลงบนหลังของเขา จากนั้นสองมือจับบ่าแข็งแรงของเขาเอาไว้แน่น “พร้อมแล้ว”
สองแขนของจิ้นหยวนรองสะโพกของเธอเอาไว้ราวชั่งน้ำหนัก “ตัวเบาจัง”
เฉียวซือมู่จ้องหลังของเขาตาเขม็ง ทำไมเธอรู้สึกว่าคำพูดของเขาฟังดูเหมือนกำลังไม่ชอบใจที่เธอตัวเบา? ตอนนี้ยังมีคนไม่ชอบที่แฟนสาวของตัวเองหุ่นดีด้วยเหรอ? รูปร่างอย่างเธอเรียกว่าหุ่นดีตามมาตรฐาน มีสาวๆ อีกตั้งเท่าไหร่ที่อิจฉาหุ่นอย่างเธอ
จิ้นหยวนไม่ได้มีความหมายเป็นอื่น เขาคิดแค่ว่าตัวเบาเกินไปเท่ากับร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง ถ้าเทียบกับความสูงของเธอแล้วเธอควรจะหนักกว่านี้อีกสักห้ากิโลกรัมถึงจะกำลังดี
เห็นได้ชัดเจนว่าความคิดระหว่างหญิงและชายนั้นแตกต่างกันมากเพียงใด
ดูเหมือนจะโรแมนติก แต่ความจริงจิ้นหยวนแค่แบกเธอเดินรอบสวนดอกไม้เล็กๆ แค่รอบเดียวก็ปล่อยเธอลงแล้ว เขาให้เหตุผลว่าไหนๆ จะออกกำลังกายแล้วก็ต้องลงมือทำด้วยตัวเอง จะพึ่งเขาไม่ได้
ระหว่างทางที่จิ้นหยวนแบกเธอลงไปชั้นล่าง สายตาอิจฉาของสาวใช้ทำให้เธอต้องอับอายไม่น้อย เธอไม่ใช่เด็กๆ แล้ว เล่นแบบนี้ดูเหมือนจะมากเกินไปหน่อย เพราะฉะนั้น ตอนที่เขาบอกให้เธอลงจากหลังเธอถึงได้รีบร้อนลงจากหลังของเขาทันที
แต่ชั่วขณะที่เท้าของเธอแตะพื้น ทันใดนั้นส่วนลึกในร่างกายเธอก็เจ็บตุบๆ เธอถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วล้มลงบนตัวจิ้นหยวน
เขาชักหัวคิ้วชนกันแน่นพลางรับตัวเธอเอาไว้ “เจ็บมากเลยเหรอ เดี๋ยวผมไปตามหมอให้นะ” เอ่ยจบพลางวางตัวเธอลงเพื่อจะไปตามหมอแต่กลับถูกเฉียวซือมู่กอดเขาเอาไว้แน่น “ไม่นะ ฉันแค่รู้สึกไม่สบายนิดหน่อย ตอนนี้ไม่เป็นอะไรแล้ว” พูดเป็นเล่น เธอจะยอมให้เขาไปตามหมอมาดูอาการตรงนั้นของเธอได้อย่างไร? เธอยอมทนเจ็บแต่ไม่ยอมทนสู้สายตาหมอเด็ดขาด
จิ้นหยวนอยากจะไปหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองที่อยู่ในบ้านแต่กลับถูกเธอกอดเอาไว้แน่นจนขยับตัวไม่ได้ เขาจึงได้แต่มองเธอด้วยความจำยอม “คุณแน่ใจนะว่าไม่เป็นอะไรแล้ว”
เฉียวซือมู่รีบพยักหน้าหงึกๆ “จริงค่ะ ฉันสาบานว่าฉันไม่เป็นไรแล้วจริงๆ” เมื่อกี้เธอแค่รู้สึกเจ็บตุบๆ แค่แป๊บเดียว และตอนนี้เธอไม่เป็นไรแล้ว
จิ้นหยวนมองเธออยู่พักใหญ่จนแน่ใจว่าเธอไม่เป็นะอะไรแล้วจึงค่อยวางใจ แต่ตอนนี้เขาหมดอารมณ์เดินเล่นแล้ว เขาพาเธอเดินรอบสวนดอกไม้แค่สองรอบเท่านั้น จากนั้นอุ้มเธอกลับขึ้นห้อง
เธอเอ่ยถามเขาอย่างไม่สบอารมณ์เมื่อนึกถึงเรื่องที่ตัวเองต้องทนเห็นสายตาอิจฉาของพวกสาวใช้อีกรอบ “ทำไมต้องอุ้มฉันด้วย? ฉันเดินเองได้ คุณไม่ต้องอุ้มฉันหรอกค่ะ” เธอไม่ใช่เด็กทารกเสียหน่อย ปล่อยให้เขาอุ้มไปอุ้มมาแบบนี้ใช่เรื่องที่ไหนกัน
จิ้นหยวนตอบจริงจัง “ร่างกายคุณไม่แข็งแรง ผมดูแลเอาใจใส่คุณขนาดนี้คุณยังไม่ซาบซึ้งอีกเหรอ?”
“ไม่” เฉียวซือมู่เบิกตาโต “คุณปล่อยฉันลงเดี๋ยวนี้นะ ได้ยินไหม” เธอเอ่ยพลางดิ้นรนพลาง แต่กลับถูกจิ้นหยวนที่ไม่มีความอดทนใช้มือตีก้นเธอเข้าให้ “เด็กดื้อ เลิกงอแงได้แล้ว”
นี่… นี่เขากล้าตีก้นฉันเหรอ? ความจริงนี้ทำให้เธอตะลึงนิ่งอึ้ง เธออยากจะร้องไห้แต่ก็ร้องไม่ออก นี่เธอยังจะมีหน้าอยู่ต่อไปได้อย่างไร? อายุปูนนี้แล้วยังถูกเขาอุ้มขึ้นอุ้มลง แล้วยังถูกเขาตีก้นเหมือนเด็กๆ อีก! ที่สำคัญ เขาตีเสียงดังขนาดนั้น พวกพ่อบ้านเฉินกับสาวใช้ต้องได้ยินแน่ๆ โอ้ พระเจ้า! เธออยากจะแทรกแผ่นดินหนีอายเดี๋ยวนี้เลย
จิ้นหยวนอุ้มเธอไปวางลงบนเตียงถึงสังเกตเห็นสีหน้าผิดปกติของเธอ เขาใช้มือตบหน้าเธอเบาๆ เพื่อเรียกสติแต่เธอกลับไม่มีปฏิกิริยาตอบรับใดๆ จนทำให้เขาเริ่มเป็นกังวล เขาหมุนตัวจะไปตามหมอแต่ถูกเฉียวซือมู่ที่เพิ่งได้สติกอดเขาเอาไว้แน่น “ไม่เอานะ ฉันไม่เป็นไร อย่าตามหมอนะ”
“นี่คุณเป็นอะไรไป?” จิ้นหยวนเอ่ยถาม
“ฉัน… ก็ใครใช้ให้คุณตีก้นฉันกันเล่า ตั้งแต่เล็กจนโตยังไม่เคยมีใครตีก้นฉันมาก่อนเลยนะ แม้แต่คุณแม่ก็ไม่เคย แต่คุณกลับ…” เธอทำหน้าน่าสงสารจนจิ้นหยวนหลุดหัวเราะออกมา “ที่แท้แม่ยายเป็นคนอ่อนโยนเหรอเนี่ย”
“ไม่ใช่สักหน่อย เมื่อก่อนคุณแม่ดีกับฉันมาก…” พูดไปพูดมาก็โยงไปถึงเรื่องคนในครอบครัวเสียอย่างนั้น เธอเล่าเรื่องสนุกสมัยเด็กๆ ไปเรื่อยๆ จนไม่รู้ตัวว่าจิ้นหยวนขึ้นมานอนลงบนเตียงกับเธอแล้ว เธอรู้สึกตัวอีกครั้งยามเมื่อจิ้นหยวนสวมกอดเธอเอาไว้
ได้เวลาเข้านอนแล้วเหรอ? เธอคิดๆ แล้วเอ่ยถามออกไป “คุณแม่ของคุณรักคุณมากใช่ไหมคะ? ฉันดูออกว่าท่านเป็นคนที่สง่างามมาก ท่านคงได้รับการเลี้ยงดูมาเป็นอย่างดี”
จิ้นหยวนพยักหน้ายอมรับ ความคิดที่อยากจะใช้เวลาอย่างอ่อนโยนกับเธอมลายหายไปพลัน แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน ตอนนี้ร่างกายของเธอคงทนรับแรงกระทบกระเทือนอีกครั้งไม่ไหวเป็นแน่
ทั้งสองนอนกอดกันและกันอยู่บนเตียงกว้าง ต่างเล่าเรื่องราวในครอบครัวให้ฟัง แบ่งปันเรื่องราวต่างๆ ของกันและกันจนกระทั่งความง่วงคืบคลานเข้าหา ทันใดนั้นเธอเพิ่งนึกถึงเป้าหมายที่คืนนี้ตัวเองยอมถูกทรมานมาตั้งนานขึ้นมาได้ก่อนที่จะจมดิ่งสู่ห้วงนิทรา เธอรีบฉวยโอกาสที่เขากำลังสะลึมสะลือเอ่ยขึ้น “คุณรับปากอะไรฉันสักอย่างได้ไหมคะ?”
เขาหลับตาตอบเธอเสียงงัวเงีย “เรื่องอะไร?”
“เอาน่า แค่เรื่องเล็กนิดเดียวเอง คุณรับปากฉันก่อนสิคะ” เธอเอ่ยเสียงออดอ้อน
“ได้ ผมรับปากคุณ” บางทีอาจเป็นเพราะบรรยากาศคืนนี้ดีมากจนเขายอมตกปากรับคำทันที จากนั้นเขาดำดิ่งสู่ห้วงนิทราทันที
และเธอได้คำสัญญาจากเขา เธอยิ้มแก้มปริพลางกอดแขนของเขาแน่น จากนั้นดำดิ่งสู่ห้วงนิทราอันแสนหวานตามเขาไป