เช้าวันถัดมา จิ้นหยวนลืมเรื่องที่ตัวเองเคยรับปากเธอเอาไว้จนหมด เฉียวซือมู่คิดๆ แล้วตัดสินใจไม่บอกเขาดีกว่า ถ้าเกิดเขาท้วงขึ้นมาเธอจะได้ใช้เรื่องที่เขารับปากเธอแล้วเป็นข้ออ้างได้
ในขณะที่จิ้นหยวนไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย แต่เฉียวซือมู่กลับกำลังเตรียมตัวไปร่วมงานเลี้ยงอย่างอารมณ์ดี
ก่อนอื่นเธอต้องหาชุดราตรีที่เหมาะสมให้ได้เสียก่อน เธอมีชุดราตรีไม่น้อย เลือกไปเลือกมาหลายตลบ สุดท้ายตัดสินใจเลือกชุดกระโปรงสีดำที่มีความยาวถึงหัวเข่า เธอมองดูตัวเองในกระจกแล้วพยักหน้าเบาๆ ด้วยความพึงพอใจ
ดูสิ คนที่อยู่ในกระจกปากแดงฟันขาว ผิวขาวนวลเนียน ช่างเป็นหญิงสาวที่สวยจริงๆ
จากนั้นก็เตรียมของอื่นๆ อีกมากมาย และวันเวลาสามวันล่วงเลยไปอย่างรวดเร็ว
เธอใช้วิธีบอกกับจิ้นหยวนว่าจะไปเยี่ยมคุณแม่ที่โรงพยาบาล ขณะที่เธอกำลังพะวักพะวนอยู่นั้น จิ้นหยวนแค่มุ่นหัวคิ้วนิดๆ พลางครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วอนุญาตเธอทันที
เธอรู้สึกประหลาดใจไม่น้อย แต่ครู่เดียวจิ้นหยวนก็เฉลยให้เธอหายสงสัยทันที เพราะคืนนี้เขาเองก็ต้องไปร่วมงานสมาคมเหมือนกัน และอีกฝ่ายยังเป็นคนใหญ่คนโตที่เขาปฏิเสธไม่ได้เสียด้วย
เธอแอบดีใจอยู่เงียบๆ รู้สึกว่าคืนนี้สวรรค์ช่างเป็นใจเหลือเกิน ไม่แน่ว่าคืนนี้เธออาจจะกลับถึงบ้านก่อนเขาด้วยซ้ำ ถ้าเป็นแบบนั้นจริงทุกอย่างก็จบอย่างสมบูรณ์แบบ
ส่วนจิ้นหยวนนั้นไม่รู้เลยว่าเธอกำลังคิดวางแผนอะไรอยู่ในใจ เขาลูบศีรษะเธอเบาๆ อย่างใจลอยเพราะมัวแต่คิดหาวิธีจัดการกับจิ้งจอกจอมเจ้าเล่ห์ตัวนั้นโดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่าข้างกายเขายังมีจิ้งจอกน้อยอีกตัวที่กำลังคิดแหกคอกอันอบอุ่นของเขาเพื่อออกไปดูโลกภายนอก
วันนี้มาถึงเร็วมาก จิ้นหยวนมัวแต่ใจลอย ส่วนเธอเองก็ไม่ต่างกันสักเท่าไหร่ ทั้งสองต่างเก็บเรื่องราวเอาไว้ในใจ ทำให้บรรยากาศในโต๊ะอาหารแปลกพิลึก
สาวใช้ต่างพากันมองหน้ากันไปมาเพราะรู้สึกแปลกๆ แต่ที่น่าสนใจคือดูอย่างไรก็รู้สึกว่าเฉียวซือมู่กำลังจะทำเรื่องไม่ดีอย่างไรอย่างนั้น
เวลาล่วงไปจนถึงตอนเย็น จิ้นหยวนขับรถไปส่งเธอที่หน้าประตูโรงพยาบาลก่อน จากนั้นลูบแก้มนวลเนียนของเธอเบาๆ “เด็กดี คืนนี้รอผมมารับนะ”
เธอรีบส่ายศีรษะปฏิเสธราวเข้าอกเข้าใจความลำบากของเขา “ไม่ต้องหรอกค่ะ ถึงเวลาเดี๋ยวฉันนั่งแท็กซี่กลับเองดีกว่า”
แต่เขากลับส่ายศีรษะไม่ยอม “เด็กโง่ รอผมที่นี่แหละ ไม่ดึกหรอก” เอ่ยจบพลางยักไหล่อย่างช่วยไม่ได้แล้วหมุนตัวเดินจากไปทันที
เธอรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย รู้สึกว่าท่าทางของเขาแปลกมาก เพราะมันทั้งดูซับซ้อนและดูรู้สึกผิดในเวลาเดียวกัน เธอคิดอยู่ตั้งนานกว่าจะเข้าใจ อย่าบอกนะว่าเขารู้สึกผิดที่พาเธอไปด้วยไม่ได้
เธอไม่เข้าใจเลยจริงๆ งานสมาคมพวกนั้นไม่เห็นมีดีตรงไหน ถึงจะพาเธอไปด้วยเธอก็ไม่อยากไป
เธอดูถูกนิดๆ จากนั้นโบกมือเรียกรถแท็กซี่ได้คันหนึ่งแล้วขึ้นรถไป
ปีนี้บริษัททำรายได้อย่างงาม อีกทั้งยังได้ตระกูลฉีเข้าร่วมเป็นพันธมิตรจึงยิ่งทำให้นิตยสารซินเฟิงมั่นคงมากยิ่งขึ้น งานเลี้ยงปีนี้จึงถูกจัดขึ้นที่ชั้นยี่สิบสองในโรงแรมเอ็มเพอร์เรอร์ที่หรูหราที่สุดในเมืองนี้ ที่นี่มีสถานที่กว้างใหญ่ การตกแต่งที่หรูหรา ต่อให้เฉียวซือมู่ที่มีชาติกำเนิดที่ดียังเคยมาที่นี่แค่ไม่กี่ครั้ง แล้วนับประสาอะไรกับพนักงานทั่วไป
เฉียวซือมู่สังเกตเห็นสีหน้างุนงงของเพื่อนร่วมงานนับตั้งแต่ที่เธอก้าวเท้าเข้ามาในงานแล้ว ดูเหมือนพวกเขายังไม่ทันตั้งตัวที่เห็นเธอ แต่พอทุกคนได้สติแล้วต่างก็พากันเข้ามาพูดคุยกับเธอ
หรงเซียวเป็นคนแรกที่เข้ามาทักเธอ เด็กสาวคนนี้เป็นคนว่องไวมากเวลาที่ไม่ได้อยู่ต่อหน้าเฝิงเจ๋อ “พี่มู่มู่มาถึงแล้วเหรอคะ ไม่ได้เจอพี่ตั้งนาน คิดถึงพี่มากเลยค่ะ”
คำทักทายอย่างเปิดเผยของหรงเซียวทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นในหัวใจมาก เธอยิ้มพลางเอ่ย “ถ้าอย่างนั้นตอนนี้ก็ดูให้พอใจไปเลย”
“ดีค่ะ” หรงเซียวยิ้มตาหยี ในมือถือจานใส่ขนมเค้กเอาไว้
เธอเห็นสีหน้ามีความสุขของหรงเซียวแล้วรู้สึกแปลกใจมาก นี่เธอไม่สะเทือนใจเลยเหรอที่เฝิงเจ๋อจากไปแล้ว?
แต่ตอนนี้ยังไม่เหมาะที่จะถามหรงเซียว เธอจึงเก็บคำถามเอาไว้ในใจแล้วหันไปพูดคุยกับเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ ทันใดนั้นเธอเหลือบเห็นคนที่คาดไม่ถึงคนหนึ่ง และนั่นทำให้เธอเข้าใจทันทีว่าเหตุใดหรงเซียวถึงดูมีความสุขมาก
เพราะคนคนนั้นคือเฝิงเจ๋อนั่นเอง
น่าแปลก เขาลาออกไปแล้วไม่ใช่เหรอ? ตอนที่เห็นชายหนุ่มที่เธอคุ้นเคยคนนั้นเธอเองก็แทบไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเองเหมือนกัน
ขณะเดียวกันเฝิงเจ๋อเองก็สังเกตเห็นเธอแล้วเช่นเดียวกัน เขาส่งยิ้มบางๆ ให้เธอ ความรู้สึกคุ้นเคยทำให้เธอรู้ทันทีว่านั่นคือเฝิงเจ๋อตัวจริง
เพราะมีคำถามในใจ เธอจึงทักทายเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ พลางขยับเข้าใกล้เฝิงเจ๋อทีละนิดๆ พลาง ส่วนเฝิงเจ๋อยังคงยืนอยู่ที่เดิมและคอยเฝ้ามองการกระทำของเธออย่างยิ้มๆ ทำให้เธอเกิดความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย
ไม่นานเธอก็เดินเข้าไปหยุดยืนอยู่ตรงหน้าเขา เธอมองเขาพลันเห็นสายตาที่คุ้นเคย เขาเอ่ยทักทาย “เจอกันอีกแล้วนะครับพี่มู่มู่”
“เธอลาออกไปแล้วไม่ใช่เหรอ?” เธอเอ่ยถาม
เฝิงเจ๋อตอบยิ้มๆ “ผมลาออกแล้ว แต่ บ.ก. เห็นว่าที่ผ่านมาผมทำผลงานได้ดีมากก็เลยเชิญผมมาร่วมงานเป็นการพิเศษ ผมว่างพอดีก็เลยรับปากมาร่วมงานด้วย ถือว่ามาสนุกน่ะครับ”
เขาเอ่ยจบแล้วกวาดสายตามองไปทั่วอย่างตื่นเต้นเกินจริง “ถ้าไม่ได้มาเห็นเองกับตา ผมคงไม่อยากจะเชื่อว่ามีที่ที่ใหญ่โตหรูหราอลังการมากขนาดนี้อยู่บนโลกด้วย”
คำพูดเกินจริงของเขาทำให้เธอหัวเราะออกมา “เธอนี่พูดโอเวอร์ไปได้ ที่นี่ไม่ได้ดีมากขนาดนั้นเสียหน่อย”
เฝิงเจ๋อกลับเอ่ยอย่างจริงจัง “ผมพูดจริงนะครับ ถ้าไม่ใช่เพราะ บ.ก. ต้วน ผมคงไม่กล้าคิดด้วยซ้ำ”
เธอส่ายศีรษะเบาๆ “ที่นี่ไม่ได้ดีมากขนาดนั้น ก็แค่พอใช้ได้เท่านั้นแหละ”
นี่เป็นคำพูดจากใจจริงของเธอ ในฐานะที่เธอเคยเป็นคุณหนูในครอบครัวฐานะร่ำรวยมาก่อน และในฐานะที่เธอคบกับจิ้นหยวนมานาน เธอไม่เห็นที่นี่อยู่ในสายตาด้วยซ้ำ
ใบหน้าของเฝิงเจ๋อยังคงเปื้อนยิ้มเหมือนเดิม หากแต่ยังแฝงความรู้สึกอื่นเอาไว้ด้วย “จริงสินะ สำหรับพี่แล้วที่นี่ก็แค่พอใช้ได้เท่านั้น”
เธอฟังแล้วรู้สึกแปลกพิกล เธอกำลังจะเอ่ยปากถามแต่ถูกเขาเปลี่ยนเรื่องคุยเสียก่อน “พี่รู้ไหมครับว่าตอนนี้ผมทำงานที่ไหน?”
คำถามของเขาทำให้เธอตื่นเต้นขึ้นมาทันที “อ้อ? ที่ฮวาฉีใช่ไหม?”
ฮวาฉีเป็นสำนักพิมพ์ที่ใหญ่ที่สุดและมีชื่อเสียงที่สุดในประเทศ มีนักเขียนชื่อดังในวงการมากมาย เธอรู้ข้อนี้ดี แม้จะรู้สึกเสียดายมากที่ต้องเสียลูกน้องฝีมือดีอย่างเขาไป แต่เธอก็ไม่อาจรั้งเขาเอาไว้เช่นเดียวกัน
นี่เป็นโอกาสก้าวหน้าในหน้าที่การงานที่ดีมาก ถ้าเป็นเธอ เธอเองก็อาจจะทนแรงดึงดูดนั้นไม่ไหวเช่นเดียวกัน
เธอเอ่ยกับเขาอย่างจริงใจ “ยินดีด้วยนะ”
คืนนี้ใบหน้าของเฝิงเจ๋อเปื้อนยิ้มตลอดเวลา แต่มันยังคงแฝงความหมายอื่นเอาไว้เช่นเคย “ก็จริง นี่เป็นโอกาสที่ดีมาก ผมควรจะดีใจถึงจะถูก”
ควรจะหรือ? หรือว่าเขาไม่ดีใจ? เธอชักจะงงแล้วสิ เธอได้แต่มองเขาโดยไม่พูดอะไรอีก
ดูเหมือนเฝิงเจ๋อจะรู้ตัวว่าพูดอะไรผิดไปจึงรีบเอ่ยยิ้มๆ “ผมหมายความว่าผมดีใจมาก แต่ใจจริงผมอยากทำงานกับพี่มากกว่า น่าเสียดาย…”
ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง เธอเข้าใจแล้ว เธอสัมผัสได้ถึงความรู้สึกพิเศษที่เฝิงเจ๋อมีต่อเธอจึงเอ่ยขึ้น “นี่ถือเป็นโอกาสที่ดีมาก เธอควรรักษาโอกาสนี้ให้ดี”