ตอนที่ 314 ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง
แต่เธอรู้สึกคุ้นหน้าหญิงสาวตรงหน้าอย่างบอกไม่ถูก ไม่รู้ว่าเคยเห็นเธอที่ไหนมาก่อนหรือไม่
กระทั่งได้ยินว่าเธอชื่อจ้านซีเฉินนั่นแหละ ชื่อเธอแตกต่างจากจ้านซีเยวี่ยที่เคยคิดจะฆ่าตนเองเพียงแค่ตัวเดียวเท่านั้น เธอมองจ้านซีเฉินด้วยความสงสัย จากนั้นหันไปมองหลินจื้อเฉิง ยังไม่ทันจะได้เอ่ยปากถามเขาก็เป็นคนตอบข้อสงสัยของเธอเอง “เธอเป็นน้องสาวคนละแม่ของจ้านซีเยวี่ยน่ะครับ ตระกูลจ้านไม่ให้ความสำคัญกับเธอ คุณก็เลยไม่เคยได้ยินชื่อเธอมาก่อน แต่คุณสบายใจได้ นิสัยเธอไม่เหมือนจ้านซีเยวี่ยเลย พวกคุณน่าจะเป็นเพื่อนกันได้นะครับ”
เธอหันไปมองจิ้นหยวน เขาพยักหน้าให้เธอเป็นคำตอบว่าจริงตามนั้น เธอจึงส่งยิ้มให้จ้านซีเฉิน “สวัสดีค่ะ ฉันชื่อเฉียวซือมู่ ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ”
แม้หน้าตาของจ้านซีเฉินจะละม้ายคล้ายกับจ้านซีเยวี่ย แต่ท่าทางเธอดูอ่อนแอและพูดจากระมัดระวังตัวมาก เธอส่งยิ้มให้เฉียวซือมู่ เอ่ยทักทายเสียงเบา “สวัสดีค่ะ ฉันชื่อจ้านซีเฉินค่ะ”
จากนั้นจ้านซีเฉินก็ไม่พูดอะไรอีก หลินจื้อเฉิงเองก็ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่อธิบายกับเฉียวซือมู่ว่าเธอเป็นคนเงียบๆ แบบนี้แหละ ขอให้เฉียวซือมู่อย่าถือสาเธอเลย
เฉียวซือมู่ส่ายศีรษะ เธอไม่ได้เอามาใส่ใจ แค่รู้สึกแปลกใจเล็กน้อยเท่านั้น หญิงสาวขี้อายมากอย่างจ้านซีเฉินมาคบกับผู้ชายเปิดเผยมากอย่างหลินจื้อเฉิงได้อย่างไร นิสัยของทั้งสองดูไม่เข้ากันเลยแม้แต่นิดเดียว
แต่เมื่อเห็นปฏิสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองแล้วเธอต้องยอมรับว่าพวกเขาเป็นคู่ที่รักกันมากจริงๆ พวกเขาไม่ต้องพูดกันเลยด้วยซ้ำ แค่มองตาก็รู้ใจแล้วว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่ ทั้งสองรู้ใจกันมากกว่าที่เธอกับจิ้นหยวนรู้ใจกันเสียอีก
เธอเห็นทั้งคู่แล้วรู้สึกอบอุ่นใจมาก หันไปส่งยิ้มให้จิ้นหยวนอย่างไม่รู้ตัว
เธอเพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่าเหตุใดจิ้นหยวนจึงพาเธอมาพบพวกเขา เพราะทั้งสองจะแต่งงานกันเดือนหน้าที่จะถึงนี้แล้ว จ้านซีเฉินไม่มีครอบครัวอีกแล้ว และนิสัยขี้อายของเธอทำให้เธอไม่มีเพื่อนที่ไหนอีก จึงอยากขอให้เฉียวซือมู่เป็นเพื่อนเจ้าสาวให้เธอ
ที่แท้ก็เป็นเพราเหตุนี้นี่เอง เธอไม่เคยเป็นเพื่อนเจ้าสาวมาก่อน จึงตกปากรับคำทันที
ดวงตาจ้านซีเฉินเต็มไปด้วยความดีใจ เธอเอ่ยกับเฉียวซือมู่ “ขอบคุณมากนะคะ”
เฉียวซือมู่พยักหน้าน้อยๆ “ไม่ต้องเกรงใจหรอกค่ะ”
พวกเขาคุยกันอย่างสนุกสนาน หลินจื้อเฉิงและเฉียวซือมู่เป็นคนพูดคุยเรื่องต่างๆ เสียเป็นส่วนใหญ่ ส่วนจิ้นหยวนนั้นมีส่วนร่วมบ้างเป็นครั้งคราว แต่จ้านซีเฉินเอาแต่นั่งฟังอย่างเดียวตลอดการสนทนา จำนวนประโยคที่เธอพูดนั้นคงไม่เกินห้าประโยคด้วยซ้ำ
บรรยากาศอบอุ่นมากจนเฉียวซือมู่รู้สึกว่าทานอะไรก็ไม่สำคัญแล้ว
หลังจากขึ้นรถแล้ว เฉียวซือมู่จึงเอ่ยถามจิ้นหยวนด้วยความสงสัย “ฉันรู้สึกว่าจ้านซีเฉินดูแปลกๆ เป็นเพราะฉันคิดมากไปเองหรือเปล่าคะ?” เธอเคยเห็นคนขี้อายมาไม่น้อย แต่เธอเพิ่งเคยเห็นคนที่เงียบมากอย่างจ้านซีเฉินเป็นครั้งแรก รู้สึกว่าเธอเงียบมากจนผิดปกติ
จิ้นหยวนเหลือบมองเธอแวบหนึ่ง “คุณไม่ได้คิดมากไปเองหรอก เมื่อก่อนเธอไม่ค่อยปกติสักเท่าไหร่ เธอเป็นโรคซึมเศร้าตั้งแต่เด็กน่ะ แต่พอรู้จักกับหลินจื้อเฉิง อาการเธอก็ค่อยๆ ดีขึ้นตามลำดับ สำหรับเธอแล้ว การออกมาทานอาหารนอกบ้านกับพวกเรา แล้วยังพูดคุยบ้างถือเป็นเรื่องที่ดีมากแล้ว”
“ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง” เธอเพิ่งเข้าใจเดี๋ยวนั้นเอง “ฉันก็ว่าทำไมดูเธอเงียบมากผิดปกติ ที่แท้ก็ป่วยเป็นโรคซึมเศร้านี่เอง ได้ยินว่าโรคนี้รักษาหายยากมาก ดูเธอในตอนนี้เหมือนจะดีขึ้นมากแล้วนะคะ”
ก่อนหน้านี้ตอนที่เธอทำงานข่าว เธอเคยเห็นเด็กที่ป่วยเป็นโรคซึมเศร้ามาบ้าง ปกติแล้วพวกเขามักจะจมอยู่ในโลกของตัวเองเท่านั้นโดยไม่สนใจโลกภายนอกเลย ถือว่าอาการของจ้านซีเฉินนั้นดีมากแล้ว
ตอนที่ 315 เตรียมตัวออกเดินทาง
“เขาหาผู้เชี่ยวชาญหลายแขนงมารักษาเธอ ทุ่มเทแรงกายแรงใจไปเยอะมาก เขารักเธอมากจริงๆ” จิ้นหยวนเอ่ยสรุป
เฉียวซือมู่พยักหน้า “ดูออกค่ะ” บรรยากาศระหว่างสองหนุ่มสาวเป็นสีชมพูขนาดนั้น ทำเอาเธอเกือบสำลักความหวานตายอยู่แล้ว หากไม่มีจิ้นหยวนอยู่ด้วย เธอคงอิจฉาตาร้อนไปแล้ว
“สรุปว่าที่คุณพาฉันมาพบพวกเขา ก็เพื่อขอให้ฉันเป็นเพื่อนเจ้าสาวเหรอคะ?”
“ไม่งั้นล่ะ?” จิ้นหยวนเหลือบมองเธอแวบหนึ่ง สายตาเขาบ่งบอกชัดเจนว่า “ทำไมถึงโง่อย่างนี้” จนทำให้เธอชะงักนิ่งอึ้ง
เอาเป็นว่าตอนนี้เธอเข้าใจลึกซึ้งแล้วล่ะว่าความสัมพันธ์ระหว่างจิ้นหยวนกับพี่น้องของเขาเป็นอย่างไร
หลังจากจิ้นหยวนยืนกรานหนักแน่น เฉียวซือมู่จึงต้องตามเขาเข้าบริษัทอย่างเลี่ยงไม่ได้ ความใกล้ชิดสนิทสนมระหว่างทั้งสองทำเอาคนรอบข้างตาร้อนเป็นไฟ
จิ้นหยวนคอยหาโอกาสโลมเล้าเธอตลอดเวลา เธอทั้งโมโหทั้งรู้สึกวาบหวามใจ ลืมจนสิ้นว่าตนเองกำลังไม่พอใจเรื่องของเจียงจื่อเสียนอยู่ ที่สำคัญ เธอลืมเสียสนิทว่าพรุ่งนี้เธอจะต้องไปพบคุณพ่อ
ส่วนจิ้นหยวนนั้นไม่รู้เรื่องเลยว่าเธอตัดสินใจจะไปพบเฉียวจื่อจี้ในวันพรุ่งนี้
วันรุ่งขึ้น จิ้นหยวนออกไปทำงานตามปกติ เฉียวซือมู่ได้รับโทรศัพท์จากเวินเยวี่ยฉิง ถามว่าเธอออกจากบ้านหรือยัง เฉียวซือมู่จึงนึกขึ้นได้
“แย่แล้ว” เธอตบศีรษะตัวเองเบาๆ รู้สึกว่าตนเองคงเป็นโรคอัลไซเมอร์แล้ว ถึงได้ลืมบอกเรื่องนี้กับจิ้นหยวน
เธอวางโทรศัพท์มือถือลง ดูเวลาเห็นว่าใกล้ถึงเวลานัดหมายแล้ว จึงตัดสินใจไม่โทรศัพท์หาจิ้นหยวนดีกว่า เธอรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ววิ่งลงบันไดไป
ในความคิดเธอ เธอแค่ไปพบคุณพ่อ เอาเงินให้ท่านไปใช้หนี้ คงไม่ต้องใช้เวลามากมายอะไรหรอก
เธอจึงออกจากบ้านโดยไม่ได้คิดอะไรมาก พ่อบ้านเฉินเห็นเธอออกไปข้างนอกจึงเข้าใจว่าเธอออกไปหาคุณแม่ของเธอ แต่ใครจะรู้ว่าเธอออกจากบ้านคราวนี้จะต้องพบเจอเหตุการณ์เลวร้ายมากมายกว่าจะได้กลับบ้าน
พ่อบ้านเฉินจะเตรียมรถให้เธอแต่ก็ถูกเธอปฏิเสธ เธอจองรถแท็กซี่ทางออนไลน์ ตอนที่เธอเดินออกไปนอกบ้านก็เห็นรถแท็กซี่มาจอดรออยู่ก่อนแล้ว
เธอบอกที่อยู่กับคนขับรถแท็กซี่ จากนั้นนั่งหลับตาด้วยใจระทึก เธอไม่ได้เจอหน้าคุณพ่อนานมากแล้ว หากจะบอกว่าเธอไม่รู้สึกอะไรเลยคงเป็นเรื่องโกหก เธอหวนคิดถึงเรื่องที่คุณพ่อหอบเงินทองทั้งหมดหนีไป ความสิ้นหวังตอนที่เจ้าหนี้บุกไปทวงหนี้ถึงที่บ้าน เรื่องที่คุณแม่ช็อกจนล้มป่วย แล้วหวนนึกถึงคำพูดของคุณแม่ที่ท่านเอ่ยกับเธอในช่วงหลายวันที่ผ่านมา ความทรงจำทั้งหมดทั้งมวลทำให้เธอรู้สึกทรมานเหลือเกิน
ในฐานะลูกสาวคนหนึ่ง เธอไม่เข้าใจเลยว่าทำไมคนที่เป็นทั้งสามีและเป็นทั้งพ่อคนถึงใจคอโหดเ**้ยมทำกับพวกเธอได้ลงคอ เขาไม่รู้หรืออย่างไรว่าการที่เขาทิ้งทุกอย่างไปแบบนั้นจะทำให้พวกเธอต้องพบเจอกับความเลวร้ายอะไรบ้าง? หากไม่ใช่เพราะเธอได้รู้จักกับจิ้นหยวน และเขาช่วยพวกเธอเอาไว้ได้ทันท่วงที ไม่รู้ว่าป่านนี้เธอจะตกระกำลำบากขนาดไหน
เธอครุ่นคิดไปมา รู้สึกว่าเธอจะให้เงินคุณพ่อง่ายๆ ไม่ได้ อย่างน้อยท่านก็ต้องได้รับบทเรียนเสียก่อน
เธอหยิบกระจกขึ้นมาส่อง รู้สึกว่าวันนี้เธอแต่งตัวได้ธรรมดามาก เธอสวมเสื้อเชิ้ตกางเกงยีนส์ซึ่งดูกลมกลืนกับคนทั่วไป
เธอตัดสินใจเงียบๆ ในใจ
ถนนหนทางเปลี่ยวขึ้นเรื่อยๆ คนขับรถแท็กซี่เหลือบมองเธอด้วยความระแวงเป็นระยะๆ เธอแอบคิดว่าหากเธอไม่ใช่ผู้หญิง คนขับรถแท็กซี่คงคิดว่าเธอเป็นพวกโจรจี้ปล้นแน่