“ใช่ครับ ผมดีใจมาก” จู่ๆ เหมือนเขาจะคิดอะไรได้ สีหน้าของเขาดูผ่อนคลายขึ้นจนลบสีหน้าอมทุกข์ก่อนหน้านี้ไปจนหมดสิ้น เขายิ้มพลางยื่นมือให้เธอ “เต้นรำกับผมสักเพลงนะครับ นี่อาจเป็นครั้งสุดท้ายที่เราจะได้พบกันแล้ว”
คำพูดของเขาทำให้เธอปฏิเสธเขาไม่ลงคอ เธอฝืนยิ้มพลางวางมือลงบนมือของเขา “ทำไมพูดแบบนี้ล่ะ เราอยู่ในเมืองเดียวกันนะ ไม่ได้ไปอยู่ต่างประเทศเสียหน่อย เป็นไปได้ยังไงที่จะไม่ได้เจอกันอีก?”
เฝิงเจ๋อจับมืออ่อนนุ่มของเธอเอาไว้แล้วดึงตัวเธอเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนของเขา “มันก็ไม่แน่นี่ครับ ทำงานที่ฮวาฉีมีแรงกดดันเยอะมาก อาจจะทำให้ไม่มีเวลาออกไปไหนเลยก็ได้นี่ครับ”
เขาเอ่ยพลางนำเธอเข้าสู่วงเต้นรำที่ไม่รู้ว่าดนตรีเริ่มขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่
ชายหนุ่มตรงหน้าเธอคือเฝิงเจ๋อซึ่งเป็นคนที่เธอสนิทมากที่สุดคนหนึ่ เธอจึงรู้สึกผ่อนคลายมาก และยังหัวเราะหยอกล้อกับเขา “ก็ไม่แน่นะ ฮวาฉีอยู่ใกล้แค่นี้เอง บางทีพี่อาจจะไปเที่ยวหาเธอก็ได้”
เฝิงเจ๋อมองเธอแล้วยิ้ม “ก็ดีครับ แล้วผมจะรอนะ”
“สัญญา” เธอเอ่ย
เขาหัวเราะเบาๆ เธอหมุนตัวตามการนำของเขาและเต้นรำตามเขาอย่างพลิ้วไหว เธอถามอย่างอดใจไม่ไหว “เธอเต้นรำได้ดีมาก เคยเรียนมาก่อนหรือเปล่า?”
เขาเอ่ยตอบ “อืม ก่อนหน้านี้เคยเรียนอยู่พักหนึ่ง แต่มันง่ายมากก็เลยไม่ได้เรียนอะไรเยอะแยะ”
“มันก็จริง”
สองหนุ่มสาวเต้นรำกันไปคุยเรื่องต่างๆ กันไปอย่างเพลิดเพลินจนไม่ทันสังเกตเห็นสายตาอีกคู่ที่เต็มไปด้วยหยาดน้ำตากำลังจ้องมองพวกเขามาจากมุมมุมหนึ่ง
“พวกพี่ทำอย่างนั้นได้ยังไง… ฮือๆๆ … ฮือๆๆ …” เธอร้องไห้ออกมาอย่างทนไม่ไหว รู้สึกเจ็บปวดราวถูกควักหัวใจออกมา
เธอรู้มานานแล้วว่าเฝิงเจ๋อมีใจให้พี่มู่มู่ แต่แฟนของพี่มู่มู่เป็นคนใหญ่คนโตขนาดนั้น พี่มู่มู่ไม่มีทางเห็นเขาอยู่ในสายตาหรอก
เธอรู้ดีแก่ใจจึงได้แต่ยืนรออย่างเงียบๆ อยู่มุมหนึ่งในงาน แต่เธอไม่นึกเลยว่าเฝิงเจ๋อจะถลำลึกมากขนาดนั้น แม้เขาจะลาออกไปแล้วแต่ก็ยังดั้นด้นเพื่อมาเต้นรำกับพี่มู่มู่อีก แถมเขามองพี่มู่มู่ด้วยสายตาที่ลึกซึ้งมากอีกต่างหาก
แม้เธอจะเตรียมใจเอาไว้แล้ว แต่เธอก็ดูถูกความอิจฉาริษยาที่เกาะกินใจตัวเองมากเกินไป เธอได้แต่เฝ้ามองเขาใช้สายตาที่เธอปรารถนามาตลอดมองหญิงอื่น แต่ยามเมื่อเธอเห็นพี่มู่มู่ไม่แยแสมันเลยสักนิด ความโกรธเกลียดเคียดแค้นพยาบาทที่แอบซ่อนอยู่ส่วนลึกสุดในใจก็ระเบิดออกมาทันที
ทำไม ทำไมพี่มู่มู่ถึงได้ในสิ่งที่เธอไม่มีวันได้มันมา? ทำไมสวรรค์ถึงไม่ยุติธรรมอย่างนี้? ประทานใบหน้าที่งดงามให้เธอ ประทานรูปร่างที่สมบูรณ์แบบให้เธอ แล้วยังประทานชายหนุ่มที่รักเธอหมดหัวใจให้เธออีก ทำไมจนป่านนี้แล้วเธอยังไม่พอใจอีก แล้วยังคิดจะมาแย่งเฝิงเจ๋อของเธอไปอีก?
เธอมันละโมบโลภมาก…
หรงเซียวคิดไปร้องไห้ไป ทรมานจนแทบหายใจไม่ออก
เธอยืนหลบอยู่ในมุมที่ไม่เป็นที่สังเกตและยังร้องไห้อย่างเงียบๆ ต่อให้เธอร้องไห้หนักมากแค่ไหนก็ไม่มีใครสังเกตเห็น
แต่ในที่สุดก็มีคนมานั่งลงข้างๆ เธอแล้วเอ่ย “หรงเซียว อย่าร้องไห้เลย…”
หรงเซียวหันไปมองคนคนนั้นผ่านสายตาพร่าเลือน “เธอ…”
เขาส่งยิ้มเดายากให้เธอ “เธอเสียใจมากใช่ไหม? ผิดหวังมากใช่ไหม? เธออยากสั่งสอนพวกเขาไหมล่ะ?”
เธออยากจะปฏิเสธเพราะเฉียวซือมู่ดีกับเธอมากและยังเคยให้ความช่วยเหลือเธอด้วย แต่ไม่รู้เพราะอะไร ทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่าอีกฝ่ายน่าจะมีเจตนาร้าย แต่เธอกลับไร้เรี่ยวแรงที่จะปฏิเสธ
คนคนนั้นดูออกว่าเธอกำลังสับสน เขายิ้มบางๆ แล้วยั่วยุเธอต่อ “เธอดูสิ สิ่งที่เธอไม่มีวันได้แต่เธอกลับได้มันไปอย่างง่ายดายแล้วยังไม่เห็นคุณค่าของมันอีก เธอคิดว่าคนที่ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดีแบบนี้ไม่สมควรถูกสั่งสอนเหรอ?
คำพูดทุกคำที่เอ่ยออกมาแทงใจดำเธอเข้าอย่างจังจนทำให้เธอหวั่นไหว
เขายังคงพยายามไม่หยุด “ไม่ต้องห่วง ขอแค่โอกาสเล็กๆ ก็พอ เธออยากลองดูไหมล่ะ? วางใจเถอะ มันไม่ทำให้เธอบาดเจ็บหรอก อย่างมากก็แค่ทำให้เธออับอาย เธอจะได้เข้าใจอะไรๆ ขึ้นมาบ้าง เธอคิดว่าไง?”
“แล้วต้องทำยังไง?” เธอคิดแล้วคิดอีก ในที่สุดก็พ่ายแพ้ให้กับแรงยั่วยุของปีศาจตนนั้นจนได้
ในที่สุดคนคนนั้นก็ยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ “เด็กดี…”
ปฏิบัติการทรยศหักหลังเริ่มขึ้นตรงมุมมืดมุมหนึ่งในห้องจัดเลี้ยง ส่วนสองหนุ่มสาวที่กำลังเต้นรำอย่างสนุกสนานไม่รู้อะไรเลย เฉียวซือมู่หมุนตัวอย่างสง่างามเมื่อจบเพลง ทั้งสองหายใจหอบเล็กน้อย ต่างมองหน้าแล้วยิ้มให้แก่กัน
เฉียวซือมู่เดินไปหยิบน้ำผลไม้ขึ้นดื่ม เธอไม่ได้ออกกำลังกายมานานแล้ว คืนนี้เธอเต้นรำแค่เพลงเดียวก็รู้สึกเหนื่อยมาก เห็นชัดเจนว่าร่างกายเธออ่อนแอมากขนาดไหน เธอคิดว่าตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปต้องเริ่มออกกำลังกายแล้ว เธอเองก็ไม่ได้เล่นโยคะมานานแล้วด้วย
เอาตามนี้ก็แล้วกัน เธอตัดสินใจพลางดื่มน้ำผลไม้ตามอีกอึกหนึ่ง
ในขณะเดียวกัน เฝิงเจ๋อถือแก้วไวน์ในมือเดินมาหยุดยืนอยู่ข้างกายเธอ “ไม่ดื่มเหล้าเหรอครับ?”
เธอเอ่ยตอบ “พี่ดื่มไม่เก่ง ดื่มทีไรเกิดเรื่องน่าอายทุกที”
เขายิ้มบางๆ พลางหมุนแก้วไวน์ในมือเล็กน้อย จากนั้นยกแก้วไวน์ขึ้นส่องดูไวน์สีแดงกับแสงไฟพลางเอ่ย “ความจริงเหล้าก็ไม่ใช่ของที่น่าดื่มจริงๆ นั่นแหละครับ แต่บางครั้งในเวลาที่สภาพจิตใจของเราย่ำแย่ก็ต้องหาอะไรมากระตุ้นเสียหน่อย และเหล้าก็เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด”
เธอมองเขายิ้มๆ “รู้สึกว่าวันนี้เธอจะมีเรื่องให้ทอดถอนใจหลายเรื่องจังเลยนะ ถ้าตัดใจจากพวกเราไม่ได้ก็กลับมาสิ”
เธอหยอกเขาเล่นแต่เขาเพียงแค่ยิ้มบางๆ แล้วเอ่ยขึ้น “มู่มู่ หมดแก้วนี้ผมก็จะกลับแล้ว”
“ทำไมกลับเร็วจัง?” เธอแปลกใจเล็กน้อย
“จะช้าจะเร็วก็ต้องกลับอยู่ดี กลับเร็วหน่อยก็ดีเหมือนกัน เพราะพรุ่งนี้เช้าต้องไปทำงานแต่เช้าด้วยก็เลยไม่อยากอยู่ดึกมาก” เอ่ยพลางยื่นมือไปหยิบแก้วค็อกเทลที่อยู่ในถาดที่บริกรเดินถือมาพอดีแล้วยื่นให้เธอ “แก้วนี้ถึงจะขึ้นชื่อว่าเหล้าเหมือนกัน แต่ความจริงมันก็เป็นแค่เครื่องดื่มธรรมดา อยากลองหน่อยไหมครับ?”
เธอยื่นมือรับแก้วค็อกเทลมาจากเขาแล้วยกขึ้น “ขออวยพรให้ชีวิตต่อจากนี้ของเธอมีแต่ความโชคดี ก้าวหน้าในหน้าที่การงานนะ”
ปกติแล้ว ถ้าลูกน้องของเธอลาออกเธอมักจะจัดงานเลี้ยงส่งเล็กๆ ให้พวกเขาเสมอ แต่ครั้งนี้สถานการณ์ของเธอไม่เอื้ออำนวยให้เธอทำอย่างนั้นได้ เธอจึงถือโอกาสนี้อวยพรเฝิงเจ๋อแทน
แววตาของเขาไหววูบ ชั่ววินาทีที่เขาเห็นเธอเอ่ยจบแล้วยกแก้วค็อกเทลขึ้นดื่มจนหมดแก้วเขาก็ควบคุมความรู้สึกของตัวเองไม่ไหวอีกต่อไป “พี่มู่มู่…”
“อะไรเหรอ?” เธอได้ยินคำเรียกที่ไม่ได้ยินมานานแล้วรู้สึกอบอุ่นใจ มันทำให้เธอหวนนึกถึงเรื่องราวที่ผ่านมา ชายหนุ่มตรงหน้าเธอคนนี้เคยยืนบังเธอเอาไว้เพื่อไม่ให้จ้านซีเยวี่ยรังแกเธอตั้งหลายครั้ง เธอยิ้มพลางเอ่ยถาม “อย่าบอกนะว่าเธออยากจะร้องไห้น่ะ? ผู้ชายตัวโตๆ ร้องไห้โฮมันไม่น่าดูเลยนะ”
เธอเอ่ยจบปุ๊บเขาก็ยื่นแขนดึงเธอเข้าไปกอดเอาไว้แน่น เธอตกตะลึงนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ “นี่เธอทำอะไรน่ะ? ปล่อยพี่เดี๋ยวนี้นะ”
“พี่เมาแล้ว” เขาเอ่ยเสียงแผ่ว