ตอนที่ 334 ปรากฎตัวอีกครั้ง
สถานะของเธอในยามนี้ทำให้เธอไม่สามารถหลบอยู่คนเดียวได้อีกต่อไป ดังนั้น เธอมีเวลาผ่อนคลายเพียงไม่นานก็มีคนมากหน้าหลายตาเข้ามาห้อมล้อมเธอ
เธอรู้สึกปวดเศียรเวียนเกล้า แต่เธอก็รู้ดีว่าตนคงหลีกเลี่ยงไม่ได้อีกแล้ว จึงรีบตั้งสติเพื่อรับมือคนเหล่านั้นอย่างเต็มความสามารถ
ต้องขอบคุณประสบการณ์การทำงานเป็นนักข่าวของเธอที่ทำให้เธอรู้เทคนิคในการสนทนาต่างๆ หลังการสนทนาพูดคุยกับคนเหล่านั้นเพียงไม่นาน คนเหล่านั้นต่างพากันพยักหน้าเบาๆ ความดูถูกดูแคลนที่มีต่อเธอในยามแรกลดน้อยถอยลงไปไม่น้อย
ในที่สุดเธอก็สามารถทำให้คนเหล่านั้นจากไปด้วยความพึงพอใจ เธอรีบดื่มน้ำอึกใหญ่ จากนั้นมุ่นหัวคิ้วมองหาจิ้นหยวนแต่กลับไม่เห็นเขา เธอชะงักนิ่งอึ้ง
เมื่อครู่จิ้นหยวนยังยืนอยู่ตรงนั้นพร้อมกับแขกเหรื่ออีกตั้งเยอะนี่ แต่ตอนนี้กลับไร้เงาคนเหล่านั้น รวมทั้งจิ้นหยวนด้วย
แปลกจัง เขาหายไปไหนกันนะ?
เธอเริ่มกวาดสายตามองหาจิ้นหยวนไปทั่ว แต่กลับไม่เห็นแม้แต่เงาของเขา
เธอเริ่มกระวนกระวายใจ หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาจะโทรศัพท์หาเขา ทันใดนั้น เสียงโทรศัพท์ของเธอดังขัดจังหวะขึ้นพอดี
เธอเหลือบมองชื่อคนที่โทรศัพท์เข้ามาแวบหนึ่ง จากนั้นยกโทรศัพท์มือถือขึ้นแนบหู “ฮัลโหล คุณแม่”
น้ำเสียงของเวินเยวี่ยฉิงอ้ำๆ อึ้งๆ ฟังดูแปลกพิกล “มู่มู่ ลูกรีบกลับมาได้ไหม แม่มีธุระหาลูกน่ะ”
“เรื่องอะไรคะ เอาไว้พรุ่งนี้ได้ไหมคะ?”
“… ไม่ได้ ต้องมาเดี๋ยวนี้ แม่มีเรื่องต้องคุยกับลูก” เวินเยวี่ยฉิงเอ่ยเสียงแข็งกร้าวอย่างที่ไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนัก
“ก็ได้ค่ะ เดี๋ยวหนูออกไปเดี๋ยวนี้แหละ” เอ่ยจบแล้วกดวางสาย เธอเหลียวซ้ายแลขวา จากนั้นเอ่ยทักทายบริกรที่ยืนให้บริการอยู่แถวนั้นแล้วรีบเดินออกจากงานทันที
น้ำเสียงคุณแม่ฟังดูแปลกๆ หรือว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับคุณแม่?
หรือว่า…
เธอร้อนใจจนลืมตามหาจิ้นหยวนไปโดยปริยาย
เธอยืนโบกรถแท็กซี่ตรงริมถนน คนขับรถแท็กซี่เห็นเธอแต่งตัวเต็มยศจึงเอ่ยทักทายอย่างเป็นมิตร แต่เธอไม่มีเวลามาสนใจเขา เธอบอกที่อยู่ให้เขารู้แล้วตั้งหน้าตั้งตามองทางอย่างเดียว
เธอกระโดดลงจากรถทันทีที่รถถูกขับไปถึงหน้าบ้านเวินเยวี่ยฉิง
เธอเดินไปหยุดยืนอยู่หน้าประตูห้องของเวินเยวี่ยฉิง จากนั้นลองยื่นมือออกไปเปิดประตู ปรากฎว่าประตูห้องไม่ได้ล็อกเอาไว้
ลางสังหรณ์แปลกๆ ร้องเตือนแรงขึ้น เธอค่อยๆ เปิดประตูห้องออกอย่างเบามือ ในห้องว่างเปล่า ไม่มีใครอยู่ในห้องแม้แต่คนเดียว เธอค่อยๆ เดินเข้าไปข้างในด้วยความระแวดระวัง
จู่ๆ เธอก็เดินเตะอะไรบางอย่างเข้าจนทำให้เธอเซจนเกือบล้ม ขณะเดียวกัน เก้าอี้ที่ถูกเธอเตะตัวนั้นล้มลงเสียงดังโครมใหญ่
ทันใดนั้น เวินเยวี่ยฉิงก็พุ่งตัวออกมาจากชั้นสองที่เคยไร้ผู้คน เธอตะโกนร้องเสียงดังลั่น “รีบหนีเร็ว หนีไป!”
เฉียวซือมู่ใจหายวาบ “คุณแม่ คุณแม่เป็นอะไรไปคะ?”
ร่างของคนคนหนึ่งปรากฎขึ้นข้างหลังคุณแม่ เธอคุ้นเคยกับรูปร่างหน้าตานั้นมาก และนั่นทำให้หัวใจเธอเย็นวาบในบัดดล
“เฉียวจื่อจี้…” เธอพึมพำกับตนเอง
สีหน้าเวินเยวี่ยฉิงเต็มไปด้วยความโกรธแค้น เธอมองเขาด้วยความโมโห “เฉียวจื่อจี้ คุณมันไม่มีหัวใจ นั่นลูกในไส้ของคุณนะ คุณทำลูกได้ลงคอเชียวเหรอ?” เอ่ยจบแล้วโถมกายเข้าหาเขาพลางตะโกนร้องเสียงดังลั่น “มู่มู่ รีบหนีไปเร็ว!”
เฉียวซือมู่ไม่มีวันยอมให้คุณแม่ถูกทำร้ายเด็ดขาด เธอไม่เพียงไม่หนี หากแต่ยังเดินก้าวไปข้างหน้าอย่างเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน นอกจากจะไม่หนีไปตามที่เวินเยวี่ยฉิงบอกแล้ว เธอยังวิ่งขึ้นบันไดเพราะคิดจะร่วมมือกับคุณแม่เพื่อจัดการกับเฉียวจื่อจี้ให้อยู่หมัดอีกต่างหาก
เฉียวจื่อจี้โมโหเป็นฟืนเป็นไฟหลังเห็นเวินเยวี่ยฉิงพยายามเตือนลูกสาวโดยไม่ห่วงชีวิตตนเอง ช่วงที่ผ่านมาเขาต้องคอยหลบซ่อนตัวไปทั่ว และนั่นทำให้เขาต้องทนทุกข์ทรมานมากเกินพอแล้ว ครั้งนี้เขาจะไม่มีทางพลาดพลั้งอีก ถ้าเขาไม่ลงมือเด็ดขาด เขาคงไม่เหลือแม้แต่ชีวิต
ตอนที่ 335 เอาตัวไป!
เฉียวจื่อจี้ตัดสินใจเด็ดขาด ยกมือขึ้นบีบคอเวินเยวี่ยฉิงจนใบหน้าเธอกลายเป็นสีม่วงเข้ม เธอหายใจติดขัดและพูดไม่ออกอีก
เฉียวซือมู่ใจหายวาบ เธอโถมตัวเข้าหาเฉียวจื่อจี้เต็มกำลัง ใช้แรงจับแขนเขาเอาไว้ “ปล่อยคุณแม่นะ แกมันไม่ใช่คน ปล่อยนะ!”
ตอนนี้เธอโกรธจนเลือดขึ้นหน้าจนลืมไปแล้วว่าสามารถโทรศัพท์ขอความช่วยเหลือ ชั่ววินาทีที่เธอเห็นคุณแม่ถูกบีบคอแน่น สติเธอก็ขาดผึงทันทีจนขาดสติสัมปชัญญะ
วินาทีต่อมา เฉียวจื่อจี้จึงสามารถใช้วิธีเดิมจัดการกับเธอได้อย่างสบายๆ เขาใช้ผ้าโปะยาสลบปิดจมูกเธอได้อย่างง่ายดายจนเธอสลบเหมือด
เฉียวจื่อจี้มองลูกสาวที่ตัวอ่อนยวบล้มลงกองกับพื้นด้วยสายตาเย็นชาแล้วครางเสียงฮึเย็นๆ ส่วนเวินเยวี่ยฉิงที่เห็นลูกสาวสลบเหมือดต่อหน้าต่อตาโกรธจนควันออกหู เธอใช้แรงทุบกำปั้นลงบนหลังเขา “คุณมันเป็นสัตว์นรก นั่นลูกสาวคุณนะ คุณทำแบบนี้ได้ยังไง?”
“คุณจะไปรู้อะไร! ผมจะบอกอะไรคุณให้นะ ครั้งนี้คุณอินชอบลูกสาวเรามาก ลูกสาวเราคบกับเขาสิถึงจะดี คุณมันไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง!” เฉียวจื่อจี้ถูกเธอทุบตีจนรู้สึกรำคาญ จึงหันไปตะคอกเสียงดังใส่เธอ
เวินเยวี่ยฉิงชะงักเล็กน้อยกับคำพูดของเขา จากนั้นกรีดเสียงด่าเขาดังลั่น “พูดเหลวไหล ลูกมีแฟนแล้วนะ และกำลังจะแต่งงานกันด้วย ทำไมคุณถึงทำเรื่องแบบนี้ได้ลงคอ?”
เฉียวจื่อจี้ขี้เกียจต่อล้อต่อเถียงกับเธออีก เขาก้มกายลงช้อนตัวเฉียวซือมู่ขึ้นอุ้มแล้วเดินเข้าไปในห้องนอนของเวินเยวี่ยฉิง
เธอชะงัก “นั่นคุณจะทำอะไรน่ะ!”
เฉียวจื่อจี้มองหน้าเฉียวซือมู่ที่หลับตาแน่นแล้วเอ่ยกับเวินเยวี่ยฉิง “เดี๋ยวคุณอินก็มาถึงแล้ว คุณหลีกไปไกลๆ เลยนะ!”
“ฉันไม่ไป ฉันจะแจ้งความ ใช่ ฉันต้องโทรบอกจิ้นหยวน…” ยังไม่ทันที่เธอจะได้เอ่ยจบ เฉียวจื่อจี้ก็ใช้ผ้าโปะยาสลบปิดจมูกเธอด้วยความรำคาญจนเธอสลบเหมือดอีกคน
เวินเยวี่ยฉิงที่กำลังโกรธกระฟัดกระเฟียดหายใจสูดยาสลบเข้าไปเต็มเปา เธอสูดยาสลบเข้าไปมากกว่าเฉียวซือมู่ จึงหมดสติล้มลงกับพื้นทันที
เฉียวจื่อจี้มองเวินเยวี่ยฉิงด้วยสายตาเย็นชา เขาครุ่นคิดเล็กน้อยล้วอุ้มเธอไปยังห้องอีกห้อง
หลังจากจัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดโทรออก จากนั้นรอการมาถึงของคุณอินอย่างเงียบๆ
ครั้งนี้คุณอินมาถึงเร็วมาก เพียงไม่นานก็มีคนมากดกริ่งหน้าประตูบ้าน เขาถอนหายใจโล่งอก รีบเดินออกไปเปิดประตูให้เขาทันที
และสิ่งที่เขาคาดไม่ถึงก็คือคนที่ยืนรออยู่หน้าประตูไม่ใช่คุณอินอย่างที่คิด หากแต่เป็นชายรูปร่างสูงใหญ่คนหนึ่ง เขาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงติดสำเนียงท้องถิ่น “คุณอินสั่งให้ผมมารับตัวเธอไปพบเขา”
“อ้อ เหรอ?” เฉียวจื่อจี้เอ่ยตอบอย่างอัตโนมัติ แต่กลับเห็นสายตาไม่พอใจของอีกฝ่ายจนต้องรีบเอ่ยขึ้นใหม่ “ครับๆ ผมไปพาตัวมาเดี๋ยวนี้แหละครับ”
“เร็วๆ หน่อย!”
เฉียวจื่อจี้รีบเดินกลับไปยังห้องนอน จากนั้นอุ้มเฉียวซือมู่ที่ยังคงสลบไสลไม่ได้สติขึ้นมา
ชายรูปร่างสูงใหญ่คนนั้นครางเสียงฮึแล้วหมุนตัวเดินนำทางพวกเขา
รถถูกจอดรออยู่ริมถนนซึ่งอยู่ห่างจากพวกเขาเพียงประมาณสิบเมตรเท่านั้น
เฉียวจื่อจี้อุ้มเฉียวซือมู่อย่างระมัดระวัง ในใจสงสัยไม่หยุดว่าเหตุใดคุณอินจึงให้ความสำคัญกับลูกสาวตนมากขนาดนี้ ดูชายคนนั้นสิ อย่าคิดว่าเขาเป็นพวกคนตัวโตไร้สมองเชียวนะ ความจริงแล้วเขาเป็นลูกน้องที่คุณอินไว้ใจมากเป็นพิเศษ และเขายังเป็นคนที่รู้ใจคุณอินมากที่สุดอีกด้วย
คุณอินถึงกับส่งลูกน้องคนสนิทมารับพวกเขาแบบนี้ นั่นย่อมแสดงว่าเขาให้ความสำคัญกับลูกสาวของตนมากจริงๆ
เฮอะ ให้ตายยัยลูกสาวตัวแสบก็ไม่ยอมบอกว่าเป็นอะไรกับเขา แล้วยังจะปากแข็งอีกว่าไม่รู้จักเขา แล้วดูซิ แบบนี้เป็นเรื่องที่คนไม่รู้จักเขาทำกันเหรอ?
โกหกเก่งเหมือนแม่ไม่มีผิด!
เขาอุ้มเธอพลางคิดสรตะพลาง ไม่นานก็เดินไปจนถึงรถที่จอดรออยู่