ตอนที่ 338 ทำไมถึงเป็นคุณ?
เธอค่อยๆ ขยับตัวลุกขึ้นอย่างยากลำบาก ตอนนี้เธอควรจะพักผ่อนได้แล้ว เธอวิ่งวุ่นเรื่องงานแต่งงานของหลินจื้อเฉิงกับจ้านซีเฉินแต่เช้า จนกระทั่งถึงตอนนี้เธอยังไม่ได้พักเลย แถมยังไม่ค่อยมีอะไรตกถึงท้องเสียด้วย ตอนนี้เธอจึงรู้สึกวิงเวียนศีรษะเพราะร่างกายขาดน้ำตาล
แต่เธอยังไม่อยากพักผ่อน และไม่มีกะจิตกะใจจะกินอะไรด้วย เพราะในใจเธอตอนนี้เต็มไปด้วยความโกรธแค้นและความสับสน เธออยากจะโทรศัพท์หาจิ้นหยวนเพื่อถามให้รู้ดำรู้แดงกันไปเลย แต่พอนึกถึงน้ำเสียงเยาะเย้ยของเจียงจื่อเสียนแล้วเธอกลับยอมแพ้เสียอย่างนั้น
ขณะที่จิตใจเธอกำลังต่อสู้กันอย่างหนักอยู่นั้น เสียงโทรศัพท์มือถือของเธอก็ดังขึ้น เธอรีบกดรับสายด้วยความคาดหวัง “ฮัลโหล จิ้นหยวน…”
“มู่มู่ ผมเอง…” เสียงคุ้นเคยเสียงหนึ่งดังลอดมาตามสาย หากแต่ไม่ใช่เสียงของจิ้นหยวน
เธอเอ่ยอย่างไม่อยากจะเชื่อ “ฉีหย่วนเหิง? ทำไมถึงเป็นคุณล่ะ?”
ฉีหย่วนเหิงที่อยู่อีกฟากสายหัวเราะ “แล้วทำไมถึงเป็นผมไม่ได้ล่ะ? หรือว่าคุณไม่อยากเห็นหน้าผม?”
“ไม่ใช่อย่างนั้น ฉันแค่ประหลาดใจมากก็เท่านั้นเอง” เธอรีบอธิบาย
เขาหัวเราะสดใส “ผมเพิ่งกลับประเทศ มาถึงก็คิดถึงคุณทันที ก็เลยโทรมาทักทายคุณน่ะ แล้วตอนนี้คุณเป็นไงบ้าง?”
ช่วงที่ผ่านมาชีวิตเขาไม่ง่ายเลย คงเป็นเพราะเรื่องที่เขาพาเฉียวซือมู่หลบหนีอยู่ที่ต่างประเทศก่อนหน้านี้ทำให้จิ้นหยวนโกรธจัด จนจิ้นหยวนคิดหาสารพัดวิธีมาเล่นงานเขา เพื่อที่เขาจะได้ปลีกตัวไปไหนไม่ได้อีก จิ้นหยวนยังยั่วยุปลุกปั่นให้คนในตระกูลฉีแย่งชิงตำแหน่งในบริษัทกับเขาอีกด้วย เขาต้องรับมือทั้งศึกนอกและศึกในไปพร้อมๆ กัน ธุรกิจที่เขาดูแลอยู่ก็เกิดปัญหาไม่หยุดหย่อน เห็นได้ชัดว่าจิ้นหยวนกะทำให้เขาเข็ดจนตาย
แต่เขาเป็นใคร? เขาคือฉีหย่วนเหิงนะ คนที่ฝ่าฟันอุปสรรคและรอดจากศึกสายเลือดอย่างเขา คิดว่าจะแหย่กันได้ง่ายๆ อย่างนั้นหรือ เขายอมรับว่าตอนแรกจิ้นหยวนเป็นฝ่ายได้เปรียบกว่า แต่ทันทีที่เขามีโอกาส เขาก็สามารถพลิกสถานการณ์กลับมาเป็นฝ่ายรุกทันที
ทั้งสองต่อสู้กันอย่างดุเดือดนับครั้งไม่ถ้วนลับหลังเฉียวซือมู่ ต่างฝ่ายต่างผลัดกันรุกผลัดกันรับ ฉีหย่วนเหิงยังถูกบีบให้ต้องออกนอกประเทศ และตอนนี้เขาเพิ่งจะปลีกตัวกลับมาได้
มีสิ่งหนึ่งที่ทั้งสองมีใจตรงกัน ต่อให้สู้รบกันแทบเป็นแทบตาย แต่พวกเขาจะไม่มีวันดึงเธอเข้ามาในเกมการต่อสู้ของพวกเขาเด็ดขาด ดังนั้น แม้คราวนี้เขาจะเป็นคนโทรศัพท์หาเฉียวซือมู่ก่อน แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรมาก เขารับรู้ได้ว่าเธออารมณ์ไม่ค่อยดีนัก เขาคิดว่าเธอคงจะทะเลาะกับจิ้นหยวนอีกแล้ว จึงเอ่ยชวนเธอ “ผมเพิ่งลงจากเครื่อง ร่างกายยังปรับเวลาไม่ได้ ตอนนี้ก็เลยยังไม่ง่วง อยากจะหาที่เที่ยวคลายเครียดซะหน่อย ถ้าคุณเบื่อๆ ก็ออกไปเที่ยวด้วยกันสิครับ”
เสี้ยววินาทีนั้นเธอรู้สึกหวั่นไหวต่อคำเชื้อเชิญของเขาจริงๆ แต่เมื่อฉุกคิดขึ้นได้ว่าคุณแม่ยังนอนสลบไสลอยู่บนเตียง จึงได้แต่ส่ายศีรษะปฏิเสธ “เอาไว้ครั้งหน้าดีกว่า พอดีฉันยังมีธุระที่ต้องจัดการน่ะค่ะ”
“ก็ได้ครับ” น้ำเสียงฉีหย่วนเหิงผิดหวังเล็กน้อย แต่เขายังคงเอ่ยอย่างร่าเริง “คุณจำเอาไว้นะ ถ้าคุณลำบากก็บอกผม ผมยินดีช่วยคุณเสมอ”
“ค่ะ ขอบคุณมากนะคะ” เธอเอ่ยขอบคุณเขา
แม้ฉีหย่วนเหิงจะชอบทำตัวหายเข้ากลีบเมฆอยู่บ่อยๆ แต่ทุกครั้งที่เขาปรากฎตัว เขาก็จะให้ความช่วยเหลือเธออย่างสุดความสามารถเสมอ
เธอจึงเชื่อใจเขามาก
เธอกดวางสายพลันรู้สึกว่าพลังงานในร่างกายถูกดูดออกไปจนหมด เธอยืนนิ่งอยู่กับที่สักพัก จากนั้นค่อยๆ เดินไปนั่งลงข้างเตียงคุณแม่ เหม่อมองใบหน้าที่กำลังหลับอย่างสงบของท่าน ความง่วงงุนเริ่มโจมตีเธออย่างหนัก และเธอค่อยๆ ผลอยหลับไป
เฉียวซือมู่ถูกความอบอุ่นเหนือศีรษะปลุกให้ตื่นขึ้น เธอชายตาขึ้นมองพลันเห็นสายตาอ่อนโยนของคุณแม่กำลังจับจ้องมาที่เธอ
เธองัวเงียตื่นขึ้นด้วยความมึนงง ทันใดนั้น ภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนย้อนกลับมาสมองเป็นฉากๆ เธอกระเด้งตัวลุกขึ้น “คุณแม่ฟื้นแล้วเหรอคะ?”
ตอนที่ 339 เป็นความผิดของแม่เอง
เฉียวซือมู่รู้สึกผิดทันที ปากก็บอกว่าตนเองมาดูแลคุณแม่ แต่ถึงเวลาจริงตนกลับหลับเป็นตาย ไม่รู้แม้กระทั่งว่าคุณแม่ฟื้นตั้งแต่เมื่อไหร่
เวินเยวี่ยฉิงส่ายศีรษะ “แม่เพิ่งฟื้นเมื่อกี้นี้เอง เกิดอะไรขึ้น? ทำไมแม่ถึงอยู่ที่โรงพยาบาลล่ะ?” เธอเอ่ยถามพลางมองสำรวจเฉียวซือมู่พลาง สายตาเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดและเป็นกังวล “ลูกไม่เป็นไรใช่ไหม? แล้วพ่อของลูกล่ะ? ไม่สิ เฉียวจื่อจี้ล่ะ?”
เธอรู้สึกโกรธแค้นเขามากจนเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน แม้แต่คำเรียก “พ่อของลูก” ก็เปลี่ยนไปด้วย
เฉียวซือมู่ลังเลชั่วครู่ ในที่สุดเธอก็ตัดสินใจเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นหลังคุณแม่สลบไปให้ท่านฟัง
ก่อนหน้านี้ที่เธอไม่ได้เล่าอะไรให้เวินเยวี่ยฉิงฟังเลยนั้นเป็นเพราะกลัวว่าเวินเยวี่ยฉิงจะรับความจริงไม่ไหว แต่ประเมินจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้แล้ว มันคงไม่ดีต่อเวินเยวี่ยฉิงแน่หากเธอยังคงไม่รู้เรื่องอะไรเลยอยู่เช่นนี้
เวินเยวี่ยฉิงนั่งฟังเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นอย่างเงียบๆ จนจบ เธอนั่งเหม่อไม่พูดไม่จาพักใหญ่
เฉียวซือมู่เอ่ยขึ้นด้วยความเป็นห่วง “คุณแม่กำลังคิดอะไรอยู่คะ?”
เวินเยวี่ยฉิงยิ้มขมขื่น “ที่แท้เขาก็ไม่ใช่คนดีจริงๆ ด้วย แม่ก็นึกว่า… นึกว่าเขาจะกลับตัวกลับใจได้แล้ว แม่ยังคิดอยู่เลยว่าจะยกโทษให้เขาสักครั้ง แต่เขาเสียสติไปแล้ว นี่มัน…”
เธอรู้สึกผิดต่อลูกสาวมาก ก่อนหน้านี้เธอไม่ยอมเชื่อลูกสาว รู้สึกว่าลูกสาวทำกับเฉียวจื่อจี้เกินไปหน่อย เธอถึงขั้นจะไม่ทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับลูกสาวด้วยซ้ำ แต่พอเธอถูกเขาข่มขู่ แถมยังถูกบังคับให้โทรศัพท์เรียกตัวลูกสาวให้ไปติดกับดักอีก เรื่องทั้งหมดทั้งมวลที่เกิดขึ้นทำให้เธอรู้สึกเสียใจมาก
เธอมองเฉียวซือมู่ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิด “แม่ทำผิดต่อลูก เป็นความผิดของแม่เอง แม่หลงเชื่อเขาง่ายเกินไป ลูกยกโทษให้แม่ด้วยนะ”
เฉียวซือมู่ส่ายศีรษะ “คุณแม่อย่าพูดแบบนั้นสิคะ ถ้าหนูโกรธคุณแม่จริงๆ หนูคงไม่พูดกับคุณแม่แล้ว หนูเข้าใจค่ะว่าเมื่อก่อนคุณพ่อกับคุณแม่รักกันมาก หนูเองก็ไม่เชื่อหรอกค่ะว่าคุณแม่สามารถตัดเยื่อสิ้นใยกับคุณพ่อได้ในทันที”
เวินเยวี่ยฉิงน้ำตาเอ่อคลอด้วยความซึ้งใจ
“แต่คุณแม่คะ คุณแม่ต้องจำไว้นะคะว่าต่อไปจะทำแบบนี้ไม่ได้อีกแล้ว คุณพ่อในตอนนี้ไม่ใช่คุณพ่อคนเดิมอีกต่อไปแล้ว เขาเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ไม่ใช่คนที่เราเคยรู้จักอีกแล้วนะคะ” เธอจับมือที่ยังคงอ่อนนุ่มของเวินเยวี่ยฉิงเอาไว้ เอ่ยอย่างจริงจัง “เพราะฉะนั้น ต่อไปคุณแม่จะใจอ่อนกับเขาไม่ได้อีกแล้วนะคะ และอย่าพบเขาอีกจะเป็นการดีที่สุดค่ะ”
เวินเยวี่ยฉิงพยักหน้า “แม่รู้แล้ว แม่จะไม่ทำเรื่องโง่ๆ แบบนั้นอีก”
เธอเอ่ยด้วยสีหน้าเศร้าสลด
เธอไม่รู้ว่าทำไมเรื่องราวมันถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้ อยู่ดีๆ สามีตนก็ทิ้งเธอกับลูกไปอย่างไม่ไยดี พอกลับมาแล้วยังคิดร้ายกับพวกเธออีก เธอเริ่มสงสัยสายตาในการดูคนของตนเองขึ้นมาเสียแล้ว ตอนนั้นทำไมเธอถึงได้ตกหลุมรักผู้ชายคนนี้ได้นะ?
“อย่าคิดมากอีกเลยค่ะ” เฉียวซือมู่จับมือคุณแม่พลางเอ่ยปลอบพลาง “ต่อไปเราก็คิดเสียว่าเขาไม่มีตัวตนอีกแล้ว รอให้หนูจัดการธุระทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้วเราไปเที่ยวกันนะคะ”
“ก็ดีเหมือนกัน” เวินเยวี่ยฉิงรู้ว่าจะทำตัวให้ลูกสาวเป็นห่วงไม่ได้ จึงตกปากรับคำทันที
จู่ๆ เธอก็นึกอะไรขึ้นมาได้ “ลูกอยู่เฝ้าแม่ทั้งคืนแบบนี้ จิ้นหยวนรู้เรื่องหรือเปล่า?”
เฉียวซือมู่ชะงักกายเล็กน้อย จากนั้นเอ่ยตอบอย่างรวดเร็วราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น “เขาก็ต้องรู้อยู่แล้วสิคะ หนูจะอยู่เป็นเพื่อนคุณแม่จนกว่าคุณแม่จะออกจากโรงพยาบาลค่ะ”
เวินเยวี่ยฉิงพยักหน้าเล็กน้อย เธอแค่สูดยาสลบเข้าไปจนสลบเท่านั้น ตอนนี้ก็ฟื้นแล้ว อีกไม่นานก็ได้ออกจากโรงพยาบาลแล้ว
เฉียวซือมู่เห็นคุณแม่หลับไปแล้วจึงลุกขึ้นอย่างเงียบเชียบ ค่อยๆ เดินย่องไปอีกทางแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดู แต่ปรากฎว่าหน้าจอดับสนิท
เธอตะลึงนิ่งอึ้ง เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าคืนก่อนเธอลืมชาร์จแบตเตอรี่ และเมื่อวานเธอก็ยุ่งมากทั้งวันจนลืมเรื่องที่ต้องชาร์จแบตเตอรี่ไปเสียสนิท