ตอนที่ 348 หรือว่าคุณพ่อจะเป็นคนโทรมา
เธอรู้ว่าไม่ควรอยากรู้อยากเห็นเรื่องของคนอื่นมากเกินไป และไม่ควรเสียมารยาทแอบฟังคนอื่นคุยโทรศัพท์ด้วย ต่อให้คนคนนั้นจะเป็นคุณแม่ของเธอเองก็ไม่สมควร แต่เธอทนความอยากรู้อยากเห็นของตนเองไม่ไหวจริงๆ เธอจึงแอบย่องตามไปเงียบๆ และแอบฟังอยู่หลังผ้าม่านหน้าต่าง
น้ำเสียงของเวินเยวี่ยฉิงฟังดูไม่สบอารมณ์นัก ราวกับว่ากำลังรำคาญอีกฝ่ายมาก แต่สำหรับคนที่รู้จักคุณแม่ดีที่สุดอย่างเฉียวซือมู่แล้ว เธอกลับรู้สึกว่าคำพูดของคุณแม่มีความกระเง้ากระงอดแฝงอยู่ ราวกับกำลังออดอ้อนอย่างนั้นแหละ
อย่าบอกนะว่าคุณพ่อเป็นคนโทรมา?
เธอรู้สึกใจหายวาบ เมื่อเห็นว่าคุณแม่ทำท่าจะวางสายจึงรีบย่องกลับไปนั่งลงที่เดิม ในใจคิดหาเหตุผลต่างๆ นานาเพื่อเกลี้ยกล่อมไม่ให้คุณแม่เชื่อคุณพ่ออีก
คิดไม่ถึงเลยว่าคนฉลาดอย่างคุณแม่จะถูกคุณพ่อหลอกใช้ครั้งแล้วครั้งเล่าก็ยังไม่เข็ด คุณแม่จะรักคุณพ่อมากอะไรขนาดนั้น?
เฉียวซือมู่ครุ่นคิดไปมา ชายตาขึ้นมองเห็นเวินเยวี่ยฉิงเดินกลับมาพอดี เวินเยวี่ยฉิงรีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น “โทรผิดน่ะ แม่บอกเขาแล้วว่าไม่ต้องโทรมาอีก”
หากคุณแม่ไม่พูดประโยคนั้นออกมา บางทีเธออาจจะกล่อมตนเองว่าเธอหูฝาดไปเอง แต่พอคุณแม่พูดแบบนั้น มันทำให้เธอเข้าใจในทันที ที่แท้คุณแม่ยังคงไม่ยอมพูดความจริงกับเธออยู่ดี
เธอได้แต่ทอดถอนใจยามเมื่อนึกถึงคุณพ่อที่เสียสติไปแล้ว เธอมองหน้าคุณแม่ ตัดสินใจถามออกไปตรงๆ “คุณแม่ คุณพ่อเอาแต่หลอกลวงคุณแม่ ทำไมคุณแม่ถึงยังเชื่อใจเขาอยู่อีกคะ?”
“นี่ลูกพูดอะไรน่ะ?” สีหน้าเวินเยวี่ยฉิงประหลาดใจมาก “ทำไมลูกถึงพูดแบบนั้นล่ะ? ตั้งแต่เกิดเรื่องครั้งนั้นแม่ก็ไม่เคยเจอเขาอีกเลยนะ อยากจะให้เขาตายๆ ไปเสียด้วยซ้ำ แล้วที่ลูกพูดมันหมายความว่าอะไร?”
เธอจับสังเกตสีหน้าคุณแม่อย่างละเอียดจึงเห็นว่าสีหน้าของคุณแม่ดูจริงใจมาก เธอแอบคิดในใจว่าเพื่อคุณพ่อแล้ว คุณแม่ต้องทำถึงขนาดนี้เลยหรือ เธอส่ายศีรษะ “ไม่ต้องโกหกหนูหรอกค่ะ เมื่อกี้หนูแอบฟังคุณแม่คุยโทรศัพท์ น้ำเสียงแบบนั้นเป็นน้ำเสียงที่ใช้คุยกับคนที่โทรผิดเหรอคะ?”
เวินเยวี่ยฉิงหน้าถอดสีทันที “นี่ลูกแอบฟังแม่คุยโทรศัพท์ได้ยังไง…”
เธอมองหน้าลูกสาวแล้วรู้ทันทีว่าลูกสาวคิดว่าเธอติดต่อกับเจียงจื่อจี้ เธอจึงเอ่ยขึ้นด้วยความร้อนรนใจ “แม่ไม่ได้คุยกับเขาจริงๆ ตั้งแต่เขาหนีไปแม่ก็ไม่เคยเจอเขาอีกเลยนะ”
คราวนี้เฉียวซือมู่ฟังแล้วรู้สึกว่าคำพูดของคุณแม่ฟังดูมีน้ำหนักมากขึ้น หรือว่าเธอจะหูฝาดไปจริงๆ
เธอเอ่ยถามด้วยความสงสัย “ถ้าเมื่อกี้คุณแม่ไม่ได้คุยกับคุณพ่อ แล้วคุณแม่คุยกับใครคะ?”
ท่าทางที่ดูเหมือนไม่พอใจ แต่ความจริงกำลังงอนอยู่แบบนั้น ใช่ว่าจะทำกับใครก็ได้เสียที่ไหน
และสิ่งที่คาดไม่ถึงก็คือสีหน้าลำบากใจมากของเวินเยวี่ยฉิง “เขาเป็นเพื่อนแม่… ใช่ เป็นเพื่อนแม่น่ะ”
“เพื่อนคนไหนคะ? ใช่เพื่อนเก่าที่คุณแม่เคยพูดถึงคนนั้นหรือเปล่าคะ?” เฉียวซือมู่พอจำเพื่อนคุณแม่คนนั้นได้คลับคล้ายคลับคลา
ราวสวรรค์ทรงโปรด เวินเยวี่ยฉิงรีบพยักหน้าหงึกๆ “ใช่แล้ว ครั้งก่อนเขายังบอกให้แม่ไปร่วมทริปผู้สูงวัยอยู่เลย แต่แม่ปฏิเสธเขาไปแล้ว คราวนี้เขาก็เลยโทรมาเกลี้ยกล่อมแม่อีกครั้งน่ะ”
“จริงเหรอคะ?” แม้คำอธิบายของเวินเยวี่ยฉิงจะฟังดูสมเหตุสมผล แต่เฉียวซือมู่ยังคงรู้สึกว่ามันมีอะไรแปลกๆ พิกลอยู่ดี “แล้วทำไมคุณแม่ต้องบอกว่าเขาโทรผิดด้วยล่ะคะ?”
“ก็เพราะแม่ไม่อยากให้ลูกเป็นห่วงนะสิ” เวินเยวี่ยฉิงตอบกลับทันที เธอชักโมโหขึ้นมาเสียแล้วเมื่อเห็นสายตาระแวงของเฉียวซือมู่ “เอ๊ะ ลูกคนนี้นี่ ทำไมถึงจู้จี้จุกจิกแบบนี้นะ เลิกพูดเรื่องนี้ได้แล้ว ไม่งั้นแม่ไล่กลับบ้านจริงๆ ด้วย”
ตอนที่ 349 ท่านประธานจิ้นน่ากินมาก
“ค่า หนูไม่พูดแล้วก็ได้ ไม่พูดแล้ว” เฉียวซือมู่ยอมแพ้อย่างจำยอม เธอปิดปากเงียบ แต่ยังคงแอบบ่นในใจไม่หยุด หวังว่าจะเป็นอย่างที่คุณแม่พูดว่าแค่คุยกับเพื่อนเท่านั้น
เธอรับประทานอาหารเย็นที่บ้านคุณแม่แล้วค่อยกลับบ้าน ระหว่างนั้นจิ้นหยวนโทรศัพท์หาเธอ เมื่อรู้ว่าเธอกำลังรับประทานอาหารกับคุณแม่ เขาจึงบอกว่าจะส่งคนขับรถไปรับเธอ เหตุผลก็เพราะว่าค่ำแล้วมันอันตราย
เธอลังเลเล็กน้อยแล้วตกลงตามที่เขาบอก
ก็ดีเหมือนกัน เรื่องน่ากลัวต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับเธอก่อนหน้านี้ทำเอาความกล้าของเธอลดน้อยลงไปตั้งเยอะ มีคนคอยรับส่งแบบนี้ก็ไม่เลวเหมือนกัน
หลังรับประทานอาหารเย็นเสร็จเรียบร้อยแล้วเวินเยวี่ยฉิงจึงไล่เธอกลับบ้านทันที
เธอพูดไม่ออกบอกไม่ถูก ได้แต่กลับบ้านแต่โดยดี
เธอรู้สึกว่าคุณแม่มีเรื่องบางอย่างปิดบังเธออยู่ แต่คุณแม่ยังไม่ยอมบอกให้เธอรู้
ถ้าเช่นนั้น พรุ่งนี้เธอคงต้องหาเวลามาที่นี่อีก
ถ้างั้นก็เอาตามนี้แหละ!
เธอทุบกำปั้นเล็กๆ ลงบนฝ่ามืออีกข้างอย่างหมายมั่นปั้นมือด้วยความพอใจ จนอาฮุยที่เพิ่งขับรถมาถึงต้องมองเธอด้วยสายตาแปลกๆ เธอรีบเก็บมือ แลบลิ้นให้กับความเปิ่นของตนเอง ตายแล้ว วันนี้เธออารมณ์ดีมากเกินไปแล้ว หวังว่าเขาจะไม่แอบไปรายงานจิ้นหยวนนะ
ส่วนบรรยากาศฝั่งจิ้นหยวนนั้นไม่ดีเลยสักนิด
เขากำลังยืนอยู่ตรงระเบียงในห้องหรูหราห้องหนึ่ง เขายืนพิงกำแพงพลางเก็บโทรศัพท์มือถือเข้ากระเป๋า
ที่นี่เป็นสถานที่ที่หรูหรามาก เสียงดนตรีดังคลอเบาๆ พนักงานบริการสาวสวยที่เดินนวยนาดไปมา และบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความใคร่บ่งบอกว่าที่นี่เป็นสถานเริงรมย์ที่บุรุษเพศเข้ามาแล้วเป็นต้องแข้งขาอ่อนแรงทุกราย
ภาพลักษณ์ของจิ้นหยวนในตอนนี้แตกต่างจากภาพลักษณ์ที่เฉียวซือมู่เคยเห็นอย่างสิ้นเชิง ไม่เพียงปล่อยตัวอิสระเสรี เสื้อผ้าที่ต้องเนี๊ยบอยู่ตลอดเวลากลับมีรอยยับย่น ปากคาบบุหรี่มวนหนึ่งเอาไว้ หากเฉียวซือมู่มาเห็นสภาพเขาในตอนนี้เข้า เธอจะต้องตกตะลึงจนอ้าปากค้างเป็นแน่
หนุ่มเพลย์บอยสุดเซ็กซี่ตรงหน้าคนนี้เป็นใคร? เอาท่านประธานเสน่ห์ร้ายจอมเผด็จการของเธอคืนมานะ!
หากจะมองหาว่าตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าของเขามีตรงไหนที่ไม่เข้ากับที่นี่บ้าง นั่นก็คือสีหน้าของเขานั่นเอง สีหน้าเขาทั้งเบื่อหน่าย ทั้งรังเกียจจนแทบอยากจะออกไปจากที่นี่ให้รู้แล้วรู้รอด ขณะที่เขากำลังจะทำตามที่ใจคิดอยู่นั้น ประตูห้องที่อยู่ไม่ไกลก็ถูกเปิดออก สาวสวยคนหนึ่งเดินนวยนาดเข้ามาในห้อง
เขาชักหัวคิ้วชนกันแน่น ยืนอยู่กับที่ไม่ไหวติง สาวสวยพราวเสน่ห์คนนั้นเดินบิดเอวส่ายสะโพก ชายใดเห็นเป็นต้องอารมณ์ร้อนรุ่มเป็นไฟ แต่จิ้นหยวนกลับทำหน้ารังเกียจเสียเต็มประดา
สาวสวยคนนั้นวางมือที่ทาเล็บสีแดงเพลิงลงบนอกเขา เธอหายใจรดเขาเบาๆ พลางเอ่ยเสียงยั่วยวน “เป็นอะไรไปคะ? ยังไม่ทันจะได้สนุกก็คิดจะหนีแล้วเหรอ? หรือพวกเราต้อนรับได้ไม่ดีพอคะ?”
เธอเอ่ยพลางเบียดกายแนบชิดเขา คำพูดสุดท้ายลอยวนอยู่ข้างหูเขา กลิ่นหอมเย้ายวนยั่วเสน่ห์อย่างประหลาด
จิ้นหยวนจับมือเธอ ริมฝีปากขยับจะพูด แต่หางตาเขาเหลือบเห็นแสงสว่างวาบปรากฎขึ้นแวบหนึ่งพอดี ทั้งสองหันกลับไปมองพร้อมกัน พลันเห็นชายคนหนึ่งตรงปลายระเบียงทางเดินกำลังรีบเก็บอะไรบางอย่างแล้วหมุนตัววิ่งหนีไปทันที
“บ้าเอ๊ย!” จิ้นหยวนสบถออกมา หมุนตัววิ่งไล่ตามชายคนนั้นไปทันที
สาวสวยคนนั้นยืนนิ่งอึ้งอยู่กับที่เพราะคิดไม่ถึงว่าจะเกิดเหตุพลิกผันเช่นนี้ขึ้น ผ่านไปเพียงชั่วครู่เธอจึงค่อยๆ คลี่ยิ้มออกมา ใบหน้าสวยเซ็กซี่เผยสีหน้าลึกล้ำ
“ผู้ชายคนนี้ ดูน่ากินมาก…”
เฉียวซือมู่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับจิ้นหยวนเลย หลังกลับถึงบ้านแล้วเธอก็เข้าไปอาบน้ำอย่างอารมณ์ดี พอคิดว่าจะได้ออกไปทำงานพรุ่งนี้แล้ว เธอก็อารมณ์ดีมากจนเหมือนกับตนเองจะบินได้ จนลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าตนรับปากกับจิ้นหยวนว่าจะโทรศัพท์หาเขา แต่ที่น่าแปลกกว่าก็คือ จิ้นหยวนเองก็ไม่ได้โทรกลับมาหาเธอเหมือนกัน