ตอนที่ 366 ผู้หญิงที่สวยที่สุด
เฉียวซือมู่เอ่ยขอบคุณพี่หวังอย่างสุภาพ เธอไม่กล้าหวังหรอก
ท่านประธานไม่รู้จักเธอเสียหน่อย จะช่วยเธอได้อย่างไร
ตัดใจเสีย แล้วคิดหาทางอื่นดีกว่า
เธอกลับถึงบ้านตอนหัวค่ำ และจิ้นหยวนก็กลับถึงบ้านหลังฟ้ามืดสนิทแล้ว ใบหน้าหล่อเหลาในชุดสูทสีดำพอดีตัว ทำให้เขาดูทรงเสน่ห์มาก
เธอยิ้มเต็มใบหน้า อ้าแขนรับเขา เขาโยนเสื้อสูทลงบนโซฟาด้วยท่วงท่าสุดเท่ห์ หมุนตัวกลับมาช้อนตัวเธอขึ้นอุ้ม
เธออิงแอบแนบชิดอยู่ในอกเขาอย่างมีความสุข
เช้าวันรุ่งขึ้น เขาไม่ได้เข้าบริษัท หากแต่ปลุกเธอให้ตื่นแต่เช้า “เมียจ๋า ตื่นได้แล้ว เร็ว เราต้องรีบออกจากบ้านนะ”
เฉียวซือมู่ครางเสียงอือ หากแต่ไร้ทีท่าลุกจากเตียง
จิ้นหยวนมองเธอแวบหนึ่ง เขายื่นมือออกไปบีบจมูกเธอเบาๆ “ตื่นได้แล้ว วันนี้เป็นวันสำคัญของเราสองคน จะสายไม่ได้นะ”
“วันสำคัญอะไร… ขอฉันนอนต่ออีกแป๊บนะ…” เฉียวซือมู่ที่ยังสะลึมสะลือลืมเรื่องที่จะไปจดทะเบียนสมรสกับเขาจนสิ้น เธอกอดผ้าห่มแน่น พลิกตัวหนึ่งตลบ
จิ้นหยวนทั้งเคืองทั้งขำ เขาบีบจมูกเธอจนเธอต้องหายใจทางปากแทน จากนั้นโน้มกายลงฝังจุมพิตลงบนริมฝีปากเธอ กระทั่งเธอทนไม่ไหวจนต้องลืมตาตื่น
“เป็นไงบ้าง?” จิ้นหยวนถอนจุมพิตจากริมฝีปากเธอพลางมองเธอด้วยรอยยิ้มอันตราย
เธอผุดลุกขึ้นนั่งท่าทางงอนๆ “ขืนยังไม่ตื่นอีกก็ขาดอากาศตายพอดีนะสิ”
เขาหัวเราะพลางลูบศีรษะเธอเบาๆ “สบายใจได้ ผมไม่ยอมให้คุณตายหรอก คุณยังต้องเป็นเมียจ๋าของผมอยู่นะ”
เธอกลอกตามองบน ใช้ผ้าห่มห่อตัวแล้วลงจากเตียง
เฉียวซือมู่เดินออกมาพร้อมเสื้อผ้าชุดใหม่ ทันได้ยินคำพูดสุดท้ายของเขาพอดี จึงเอ่ยถามด้วยความสงสัย “คุณกำลังคุยอยู่กับใครคะ?” เธอเหลือบมองไปที่ใบหูเขาขณะที่เอ่ยถาม ไม่เห็นมีหูฟังนี่นา?
จิ้นหยวนชะงักกายเล็กน้อย แสร้งปั้นหน้าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น “เสร็จแล้วเหรอ? เราไปกันเถอะ” เอ่ยพลางยื่นแขนโอบเอวเธอ
เธอซบลงกับอกเขา “คุณสูบบุหรี่อีกแล้วเหรอคะ?” น้ำเสียงแฝงรอยไม่พอใจเล็กน้อย จนลืมเรื่องที่เธอเพิ่งสงสัยเมื่อกี้นี้
จิ้นหยวนหัวเราะเบาๆ แล้วโยนก้นบุหรี่ทิ้ง “นานๆ ทีน่ะ”
เขาไม่ได้ติดบุหรี่ แต่จะสูบบ้างเวลาที่มีเรื่องกลุ้มใจมาก ทุกครั้งที่เฉียวซือมู่เห็นเขาสูบบุหรี่ เธอจะต้องเทศนาตลอดว่าสูบบุหรี่ทำให้เสียสุขภาพ
หากไม่ใช่เพราะต้องการเบี่ยงเบนความสนใจของเธอ เขาเองก็ไม่สูบบุหรี่ในบ้านหรอก น่าแปลกที่ตอนนี้เขาได้ยินเฉียวซือมู่บ่นกระปอดกระแปดแล้วไม่รู้สึกรำคาญเลยสักนิด ตรงกันข้าม เขากลับรู้สึกมี “ความสุข” มากเสียด้วยซ้ำ
เมื่อทั้งสองเดินลงไปชั้นล่าง ใบหน้าเปื้อนยิ้มของพ่อบ้านเฉินทำให้เธอรู้สึกตกใจไม่น้อย
“จิ้น… จิ้นหยวน พ่อบ้านเป็นอะไรไปคะ? เขาไม่สบายหรือเปล่า?” พ่อบ้านที่มักจะปั้นหน้าไร้ความรู้สึกตลอดเวลายิ้มเป็นด้วย? สงสัยพระอาทิตย์คงขึ้นทางทิศตะวันตกเสียแล้วกระมัง?
จิ้นหยวนเหลือบมองพ่อบ้านเฉินแวบหนึ่ง รู้ดีแก่ใจว่าเหตุใดเขาจึงยิ้มน้อยยิ้มใหญ่แบบนี้ พ่อบ้านเฉินดูแลเขามานานหลายปี เขาเห็นพ่อบ้านเฉินเป็นเหมือนคนในครอบครัวคนหนึ่ง ในที่สุดวันนี้เขาก็จะบอกลาชีวิตหนุ่มโสดแล้ว พ่อบ้านเฉินจะไม่ยิ้มดีใจได้อย่างไร?
“ไม่ต้องสนใจเขาหรอก” เขากระแอมเบาๆ แล้วเดินจูงมือเธอไปนั่งลงที่โต๊ะอาหาร เมื่อกวาดสายตามองโต๊ะอาหารตรงหน้าแล้วถึงกับตะลึงงัน
นอกจากจานชามและอาหารที่ถูกตกแต่งอย่างประณีตสวยงามแล้ว อาหารในจานยังถูกจัดจานเป็นรูปหัวใจอีกต่างหาก แม้กระทั่งชุดรับประทานอาหารยังเป็นลายรูปหัวใจ เห็นแล้วพาฝันเหลือเกิน
เฉียวซือมู่มองโต๊ะอาหารแสนหวานแล้วหันไปมองจิ้นหยวน จากนั้นหันไปมองพ่อบ้านที่ใบหน้าเปื้อนยิ้ม ทันใดนั้น เธอเข้าใจทันทีว่าเหตุใดพ่อบ้านเฉินจึงยิ้มหน้าบานแต่เช้า ที่แท้พวกเขาก็รู้แล้วว่าเธอกับจิ้นหยวนกำลังจะไปจดทะเบียนสมรส…
จิ้นหยวนรู้สึกพอใจกับวิธีการของพ่อบ้านเฉินเป็นอย่างมาก เขาจ้องมองใบหน้าแดงเป็นลูกตำลึงของเธอแล้วหัวเราะเบาๆ “อายอะไร? ถึงยังไงก็ต้องประกาศเรื่องของเราให้ทุกคนรู้อยู่แล้ว ถึงตอนนั้น คุณไม่ต้องอายจนหลบอยู่แต่ในห้องหรือไง?”
เธอบิดตัวเล็กน้อย “ตอนแรกฉันก็คิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องของเราสองคนเท่านั้น ใครจะไปคิด พอออกจากห้องถึงได้รู้ว่าคนทั้งโลกรู้เรื่องกันหมดแล้ว”
จิ้นหยวนหัวเราะชอบใจ “ก็ไม่ทั้งโลกหรอก แค่พวกเขาเท่านั้น พวกเขาไม่มีทางออกไปพูดข้างนอกอยู่แล้ว พ่อบ้านว่าจริงไหม?”
พ่อบ้านเฉินค้อมกายลงเล็กน้อยอย่างนอบน้อม “จริงครับ คุณเฉียว ไม่สิ คุณนายจิ้นไม่ต้องเป็นกังวลนะครับ พวกเราจะปิดปากให้สนิท อะไรที่ไม่ควรพูดเราจะไม่พูดเด็ดขาดครับ”
เธอรีบโบกมือไปมาเป็นพัลวัน เธอเคารพนับถือพ่อบ้านเฉินมากมาโดยตลอด เมื่อเห็นเขาพูดกับเธอด้วยความนอบน้อมมากกว่าปกติ จึงรู้สึกแปลกๆ “ไม่ต้องเกรงใจมากขนาดนั้นก็ได้ค่ะ เรียกฉันมู่มู่ก็พอแล้วล่ะค่ะ”
พ่อบ้านเฉินยืดกายยืนตัวตรง “ครับ”
เขารับปากแล้ว แต่ไม่รู้ว่าจะเรียกเธออย่างที่รับปากหรือเปล่านะสิ
เฉียวซือมู่เห็นท่าทางของเขาแล้วรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวบอกไม่ถูก ได้แต่ส่งสายตามองจิ้นหยวนอย่างขอความช่วยเหลือ
ปกติทั้งสองจะรับประทานอาหารกันแค่สองคนเท่านั้น แต่ตอนนี้กลับมีคนกลุ่มใหญ่คอยยืนมองทั้งสองรับประทานอาหาร หนำซ้ำยังยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กันอีกต่างหาก จนเธอแทบจะกินข้าวไม่ลงอยู่แล้ว
จิ้นหยวนยิ้มบางๆ โบกมือเล็กน้อยเป็นสัญญาณให้ทุกคนถอยออกไป
เขามองเธอพลางเอ่ย “ยังไม่ชินที่มีคนคอยรับใช้อีกเหรอ?”
เธอพยักหน้าหงึกหงัก ใช้ส้อมจิ้มไข่ดาวรูปหัวใจขึ้นมากัดคำใหญ่ เอ่ยเสียงอู้อี้ “ก็ใช่นะสิคะ ฉันไม่ชอบที่มีคนคอยจ้องมองอยู่ตลอดเวลาแบบนี้ ถึงจะรู้ว่าเขากำลังทำหน้าที่ของตัวเองก็เถอะ ฉันก็ไม่ชอบอยู่ดี”
จิ้นหยวนส่ายศีรษะ การเป็นคุณนายตระกูลจิ้นไม่ใช่เรื่องง่าย ถึงเวลานั้น ต่อให้ไม่ชินก็คงต้องทำตัวให้ชิน
แต่ตอนนี้เขายังไม่อยากจะพูดให้เธอเสียอารมณ์ จึงเปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่นแทน
สองหนุ่มสาวนั่งคุยกันไปหัวเราะกันไป รับประทานอาหารเช้าที่เต็มไปด้วยความหมายแห่งรักอย่างมีความสุข
ระหว่างทางไปสำนักงานเขต เธอจัดเสื้อผ้าด้วยความตื่นเต้น หยิบกระจกบานเล็กขึ้นมาส่องดูความเรียบร้อย “ตอนนี้ฉันดูเป็นยังไงบ้างคะ?”
จิ้นหยวนขับรถพลางเหลือบมองเธอพลาง “คุณสวยมาก สวยกว่าพวกดาราชื่อดังซะอีก”
“ขี้โม้ ฉันจะไปสวยกว่าดาราสาวๆ พวกนั้นได้ยังไงกันคะ?” เธอมองเขาขำๆ แล้วเก็บกระจกใส่กระเป๋า
เขาเอ่ยสีหน้าจริงจัง “ผมพูดจริงนะ ในใจผม คุณเป็นผู้หญิงที่สวยที่สุด”
ใบหน้าเธอแดงซ่าน รู้สึกหวานในใจ
ปกติจิ้นหยวนไม่ใช่คนปากหวาน เขาแทบจะไม่พูดคำหวานๆ เลยด้วยซ้ำ จู่ๆ เขาก็พูดคำพูดที่ฟังแล้วทำให้ปั่นป่วนหัวใจแบบนี้ ถึงจะฟังดูเชยไปหน่อย แต่มันก็ทำให้หัวใจเธอเต้นแรงไม่เป็นส่ำ
ตอนที่ 367 คุณเป็นคนของผมแล้ว
เมื่อไปถึงหน้าสำนักงานเขต เธอหยิบทะเบียนบ้านที่เตรียมเอาไว้เรียบร้อยออกมา สองหนุ่มสาวยิ้มให้กันและกันแล้วเดินเคียงคู่เข้าไปข้างใน
ครึ่งชั่วโมงผ่านไป ทั้งสองเดินออกมาพร้อมหนังสือสีแดงเล่มเล็กในมือ คำว่าทะเบียนสมรสพิมพ์หราอยู่ตรงหน้าปก
จิ้นหยวนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ มองดูหนังสือทะเบียนสมรสในมือไม่วางตาด้วยความอิ่มเอมใจ ในที่สุดเขาก็สมปรารถนาเสียที ไม่ง่ายเลยจริงๆ
เฉียวซือมู่เสียอีกที่มองหนังสือทะเบียนสมรสในมือด้วยสีหน้าสับสนปนเปตลอดทาง จิ้นหยวนเห็นเข้าจึงเอ่ยถาม “คุณกำลังคิดอะไรอยู่? อย่าบอกนะว่าเสียใจที่จดทะเบียนกับผม? สายไปแล้วล่ะ ตอนนี้คุณเป็นคนของผมแล้ว”
เธอถลึงตาใส่เขา “นี่คุณคิดไปไกลถึงไหนแล้ว” เอ่ยพลางทอดถอนใจ “ฉันกำลังคิดถึงคุณแม่ต่างหากล่ะคะ ถ้าท่านรู้ว่าวันนี้ฉันจดทะเบียนสมรสกับคุณแล้ว ไม่รู้ว่าท่านจะดีใจมากขนาดไหน”
“ง่ายนิดเดียว เราก็ไปหาท่านตอนนี้เลยสิ” คิดแล้วลงมือปฏิบัติทันที เขากลับรถ จากนั้นขับรถมุ่งหน้าไปยังบ้านของคุณแม่ยายทันที
เธอตะลึงนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ แต่ก็รีบปรับสภาพจิตใจให้เป็นปกติอย่างรวดเร็ว บอกก็บอกสิ ไม่ใช่เรื่องน่าอายที่เห็นแสงสว่างไม่ได้เสียหน่อย
เธอครุ่นคิดเล็กน้อย เพื่อไม่ให้คลาดกับคุณแม่ เธอจึงเก็บหนังสือทะเบียนสมรสลงในกระเป๋า จากนั้นหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดโทรออกหาคุณแม่ แต่น่าแปลกที่คราวนี้ไม่มีคนรับสาย
เธอกดโทรออกอีกหลายครั้ง หัวคิ้วขมวดเป็นปมแน่นขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดก็มีคนรับสาย เมื่อได้ยินเสียงคุณแม่ดังลอดมาจากปลายสาย เธอจึงถอนใจโล่งอก “ทำไมเพิ่งรับสายคะ หนูก็คิดว่าคุณแม่เป็นอะไรไปอีกแล้ว”
น้ำเสียงของเวินเยวี่ยฉิงกลับฟังดูไม่สบอารมณ์สักเท่าไหร่ “เมื่อกี้แม่ยุ่งอยู่ ลูกมีอะไรหรือเปล่า?”
เธอชะงักเล็กน้อย คุณแม่ไม่ค่อยพูดแบบนี้กับเธอ ราวกับว่าท่านรำคาญเธอมากอย่างนั้นแหละ… และดูเหมือนจะมีเสียงแหลมสูงของผู้หญิงอีกคนดังแว่วๆ ด้วย
เธอจึงเอ่ยถามด้วยความสงสัย “คุณแม่อยู่ไหนคะ ทำไมหนูได้ยินเสียงคนอื่นด้วย?”
เวินเยวี่ยฉิงรีบเอ่ยตอบ “แม่กำลังซื้อของอยู่ข้างนอก ยังไม่ถึงบ้าน รอบตัวมีแต่คนเยอะแยะเต็มไปหมด”
“อ้อ” เธอยังคงรู้สึกว่ามีบางสิ่งผิดปกติอยู่ดี จึงเอ่ยถามหยั่งเชิง “งั้นหนูไปหาคุณแม่นะคะ”
“ไม่ต้องมา ตอนนี้แม่อยู่ข้างนอก คงจะกลับดึก ลูกค่อยมาพรุ่งนี้ก็แล้วกัน” เวินเยวี่ยฉิงปฏิเสธทันที
เธอฟังแล้วยิ่งรู้สึกว่าผิดปกติมากยิ่งขึ้น จิ้นหยวนคอยเหลือบมองเธอเป็นระยะ
“ก็ได้ค่ะ งั้นหนูไปหาพรุ่งนี้นะคะ” หลังจากตอบแบบนี้แล้ว เธอได้ยินเสียงเวินเยวี่ยฉิงถอนใจโล่งอกอย่างชัดเจน เวินเยวี่ยฉิงรีบเอ่ยตอบว่า “อืม” อย่างเร่งรีบ จากนั้นกดวางสายเสียดื้อๆ
เธอวางโทรศัพท์มือถือลง หันไปสบตากับจิ้นหยวน “ช่วยขับเร็วอีกหน่อยได้ไหมคะ ฉันคิดว่าต้องเกิดอะไรขึ้นกับคุณแม่แน่ๆ ค่ะ”
เขาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย แต่ไม่ได้เอ่ยถามอะไร จากนั้นเหยียบคันเร่งจนความเร็วเพิ่มขึ้นอีกไม่น้อย
เขาจับจ้องไปยังถนนเบื้องหน้าพลางเอ่ยถามเธอพลาง “คุณป้า ไม่สิ ผมต้องเรียกว่าคุณแม่ถึงจะถูก คุณแม่เป็นอะไรไปเหรอ?”
จะว่าไปแล้ว คุณแม่ยายของเขาคนนี้ช่างเป็นคนที่เคราะห์ซ้ำกรรมซัดอะไรอย่างนี้ เป็นแค่ผู้หญิงตัวเล็กๆ แต่มักมีปัญหาถามหาอยู่ตลอดเวลา
เฉียวซือมู่ทอดถอนใจ “ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ ท่านไม่ยอมบอกฉัน แถมยังหาข้ออ้างตอบอย่างขอไปทีอีกต่างหาก คงไม่อยากให้ฉันไปหา ท่านจะต้องมีเรื่องปิดบังฉันอยู่แน่ๆ บางทีตอนนี้ท่านอาจจะอยู่ที่บ้านก็ได้”
เธอมุ่นหัวคิ้ว นึกถึงเสียงแหลมสูงของผู้หญิงอีกคนที่ดังลอดมาตามสาย แม้เธอจะได้ยินไม่ชัดเจนว่าเธอคนนั้นพูดว่าอะไร แต่สัญชาตญาณบอกเธอว่าผู้หญิงคนนั้นมุ่งเป้าไปที่คุณแม่ของเธออย่างแน่นอน
มันเป็นความรู้สึกที่สื่อผ่านสายใยแห่งสายเลือด
จิ้นหยวนเหลือบมองสายตามาดมั่นของเธอแล้วไม่ได้พูดอะไรอีก เขาเหยียบคันเร่งให้เร็วขึ้นอีก เพราะตอนนี้ทั้งสองยังอยู่ห่างจากบ้านของเวินเยวี่ยฉิงอีกไกลมาก อีกครึ่งชั่วโมงกว่าพวกเขาจะไปถึงที่นั่น