ตอนที่ 368 ลงมือดีกว่าเอาแต่ด่า
ตลอดทางที่จิ้นหยวนขับรถมุ่งหน้าไปยังบ้านของเวินเยวี่ยฉิง เฉียวซือมู่ยิ่งคิดยิ่งร้อนใจ เมื่อไปถึงหน้าบ้านเวินเยวี่ยฉิง ยังไม่ทันที่รถจะถูกจอดสนิท เธอก็กระโดดลงจากรถจนเกือบหกล้ม
จิ้นหยวนที่เพิ่งจอดรถเสร็จหันไปเห็นภาพนั้นเข้าพอดี หัวใจเขาแทบจะกระเด้งหลุดออกจากอก “คุณระวังตัวหน่อยสิ ทำไมไม่ดูให้ดีก่อน?”
เขาประคองเธอเอาไว้ มองเธอด้วยสายตาตำหนิ
เธอได้แต่ยิ้มแหย ขณะที่กำลังจะอ้าปากพูดนั้น จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงกรีดร้องดังออกมาจากบ้านหลังที่อยู่ตรงหน้า
หัวใจเธอเต้นโครมคราม เธอผลักจิ้นหยวนออก หมุนตัวแล้วรีบวิ่งตรงไปยังบ้านหลังนั้นทันที
จิ้นหยวนขมวดคิ้ว รีบเดินตามหลังเธอไป เขาครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือออกมากดโทรออก
เฉียวซือมู่เม้มริมฝีปากแน่น ในใจเต็มไปด้วยความคิดในแง่ร้าย เมื่อวิ่งไปถึงหน้าประตูบ้านจึงเห็นว่าประตูถูกเปิดอ้าซ่าเอาไว้ เฟอร์นิเจอร์ถูกทำลายจนเสียหาย ข้าวของเครื่องใช้ในบ้านกระจัดกระจาย ราวกับเพิ่งถูกพายุไต้ฝุ่นที่พิโรธจัดพัดผ่าน แต่กลับไม่เห็นเงาใครสักคน
ร่างกายเธอสั่นเทา ไม่กล้าแม้แต่จะคิดว่าเหตุใดสภาพภายในบ้านจึงกลายเป็นแบบนี้ เธอร้อนรนใจมาก คุณแม่ล่ะ คุณแม่อยู่ที่ไหน?
จิ้นหยวนเหลือบมองไปยังชั้นบน “อยู่ตรงนั้น”
เธอรีบเงยหน้าขึ้น เห็นคนหลายคนออกันอยู่ตรงบันไดชั้นสอง ทั้งหญิงทั้งชายกำลังยื้อยุดกันไปมา
เธอรีบวิ่งขึ้นบันได “คุณแม่ นี่มันเกิดอะไรขึ้นคะ?”
ในจำนวนคนที่ยืนออกันอยู่ตรงบันได เธอเห็นคุณแม่ที่อยู่ท่ามกลางคนพวกนั้นทันที
ทันทีที่เธอถามออกไป คนกลุ่มนั้นต่างพากันหันไปมองเธอเป็นตาเดียว
เวินเยวี่ยฉิงเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ “ลูกมาที่นี่ได้ยังไง ไหนบอกว่าจะมาพรุ่งนี้ไง?”
เฉียวซือมู่เห็นสีหน้าของคุณแม่เป็นปกติดีเหมือนไม่ได้มีปัญหาอะไร จึงรู้สึกสบายใจขึ้น เธอเอ่ยกับคุณแม่เสียงขุ่น “คุณแม่คงไม่รู้สินะคะว่าคำพูดของคุณแม่ฟังดูผิดปกติมากแค่ไหน คุณแม่เป็นคนโกหกไม่เป็น ไม่อยากให้หนูมาที่นี่มากขนาดนั้น หนูฟังก็รู้แล้วว่าต้องมีเรื่องปกปิดหนูอยู่แน่ๆ”
เวินเยวี่ยฉิงยิ้มแหยๆ “ก็แม่ไม่อยากให้ลูกเป็นห่วงนี่นา”
“ก็เพราะคุณแม่ไม่ยอมบอกอะไรหนูเลยนี่แหละที่ทำให้หนูเป็นห่วง” เฉียวซือมู่แย้งทันที เมื่อเห็นว่าท่านยังคิดจะแก้ตัวอีก จึงรีบเอ่ยแทรก “เรื่องนั้นช่างมันเถอะค่ะ คุณแม่บอกหนูก่อนว่านี่มันเกิดอะไรขึ้น แล้วคนพวกนี้เป็นใครคะ?”
คนที่ยืนอยู่กับเวินเยวี่ยฉิงเป็นชายสองหญิงหนึ่ง หนึ่งในนั้นเป็นชายอายุประมาณสี่สิบกว่าๆ ท่าทางสุภาพอ่อนโยน ให้ความรู้สึกที่สบายตามาก และเธอยังรู้สึกคุ้นหน้าชายคนนี้อีกด้วย ส่วนชายอีกคน ไม่สิ ควรจะเป็นเด็กหนุ่มมากกว่า เด็กหนุ่มอายุราวๆ สิบห้า สิบหกปีเห็นจะได้ ใบหน้าอ่อนเยาว์ สายตาเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกและความอยากรู้กำลังจับจ้องมาที่เธอ
ยังไม่ทันที่เธอจะได้มองสำรวจอย่างละเอียดถี่ถ้วน หญิงหน้าตาใจดำดุร้ายที่เหลืออีกคนจึงเอ่ยขึ้นอย่างอดรนทนไหวอีกต่อไป “เวินเยวี่ยฉิง นี่เธอหมายความว่ายังไง เธอนี่มันเลวได้ใจจริงๆ สู้ฉันคนเดียวไม่ได้ แล้วคิดจะหาพวกมาช่วยเหรอ? ฉันจะบอกอะไรให้นะ ต่อให้เธอไปหาพวกมาเพิ่มอีกฉันก็ไม่กลัวหรอก ดีเหมือนกัน พวกเขาจะได้รู้ว่าเธอมันสารเลวมากขนาดไหน นังปีศาจจิ้งจอกหน้าด้าน ให้ท่าผัวคนอื่น ทำไมออกจากบ้านแล้วถึงไม่ถูกรถ…”
เฉียวซือมู่ยืนฟังผู้หญิงคนนั้นก่นด่าสาบแช่งคุณแม่ไม่หยุด เห็นสีหน้าคุณแม่ขาวสลับแดง แดงสลับขาว ในที่สุดเธอก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป เธอเดินฉับๆ ไปหยุดยืนอยู่ตรงหน้าผู้หญิงที่ยังคงด่าไม่หยุดคนนั้น เงื้อมือขึ้นแล้วฟาดฝ่ามือลงบนใบหน้าเธอคนนั้นเต็มแรง
เสียงตบดัง “เพียะ” เธอลงมือทั้งหนักทั้งแรง ผู้หญิงคนนั้นคงคิดไม่ถึงว่าเธอจะลงไม้ลงมือโดยไม่พูดพล่ามทำเพลง พอดึงสติกลับมาได้จึงกรีดร้องโหยหวน จากนั้นโถมตัวเข้าหาเฉียวซือมู่อย่างแรง
เฉียวซือมู่รีบก้าวเท้าถอยหลังหนึ่งก้าวเพื่อเอาตัวบังคุณแม่เอาไว้
ตอนที่ 369 ดวงความรักแย่ๆ ของคุณแม่
“นี่แกกล้าตบฉันเหรอ นังโสเภณีสกปรก ฉันจะฆ่าแก!” ผู้หญิงคนนั้นถาโถมเข้าหาเฉียวซือมู่ราวแม่เสือที่กำลังบ้าคลั่ง
เฉียวซือมู่ตั้งสติ ตั้งท่ารับมือเต็มที่
ทันใดนั้น ข้อมือของหญิงคนนั้นกลับถูกมือใครคนหนึ่งจับเอาไว้แน่น
จิ้นหยวนปรากฎตัวขึ้นข้างกายเธอ เขากำข้อมือหญิงคนดังกล่าวด้วยสีหน้าหน้าถมึงทึง “หยุดนะ!”
หญิงคนนั้นเจ็บจนกรีดร้องเสียงดัง “โอ๊ย ฉันเจ็บ ปล่อยฉันนะ!”
ตอนแรกเธอยังมีแรงด่ากราด แต่จิ้นหยวนคงรำคาญเธอเต็มทนแล้ว จึงบีบข้อมือเธอแรงขึ้น เพียงไม่นาน หญิงคนนั้นก็เจ็บจนเอาแต่ร้องไห้โดยด่าอะไรไม่ออกอีก
หนุ่มใหญ่คนนั้นเริ่มกระสับกระส่าย เขาหันไปมองเวินเยวี่ยฉิง ขยับปากเหมือนจะพูดอะไรสักอย่าง แต่สุดท้ายก็พูดอะไรไม่ออก
เฉียวซือมู่มองจิ้นหยวนยิ้มๆ “คุณมาแล้วเหรอ? ฉันก็นึกว่าคุณรออยู่ข้างนอกเสียอีก”
จิ้นหยวนมองเธออย่างตำหนิ ยังจะต้องให้พูดอีกเหรอ เธออยู่ที่ไหนเขาก็ต้องอยู่ที่นั่นสิ
จิ้นหยวนเห็นหญิงคนนั้นตัวอ่อนปวกเปียกไปแล้วจึงคลายมือออกอย่างรังเกียจ สลัดเธอทิ้งไปอีกทางราวกับทิ้งขยะชิ้นหนึ่ง จากนั้นหันไปพยักหน้าให้เวินเยวี่ยฉิงเล็กน้อย “คุณแม่ยังมีอะไรให้เราช่วยอีกหรือเปล่าครับ?”
เวินเยวี่ยฉิงมองหน้าลูกสาวด้วยความร้อนใจ แม้เธอยังมีเรื่องในใจ แต่ก็รู้สึกแปลกใจไม่น้อยที่ได้ยินเขาเรียกเธอว่าคุณแม่
จังหวะนั้น หนุ่มใหญ่คนนั้นรวบรวมความกล้าแล้วก้าวออกมา เขาเอ่ยกับเวินเยวี่ยฉิงอย่างจริงใจ “ผมขอโทษ เป็นเพราะผมแท้ๆ คุณถึงต้องลำบากแบบนี้ รู้ทั้งรู้ว่าเธอเป็นคนแบบนี้ แต่ผมก็ยังดึงดันที่จะคบกับคุณอีก สุดท้ายก็นำความเดือดร้อนมาให้คุณจนได้ ผมขอโทษจริงๆ”
เวินเยวี่ยฉิงส่ายศีรษะเบาๆ ใบหน้าเปื้อนยิ้มอ่อนโยน “ไม่เป็นไรค่ะ เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของคุณ แค่…”
เฉียวซือมู่ฟังทั้งสองคุยกัน เธอกวาดสายตามองคนนั้นทีคนนี้ที ทันใดนั้น เธอนึกออกแล้วว่าตนเคยเห็นหนุ่มใหญ่คนนี้ที่ไหน เธอเคยเห็นเขาที่โรงพยาบาล ครั้งที่คุณแม่ถูกคุณพ่อทำร้ายร่างกายจนต้องเข้าโรงพยาบาล และเขาเป็นคุณหมอที่ทำการรักษาคุณแม่นั่นเอง
ที่แท้ทั้งสองก็ถูกใจกันตั้งแต่ตอนนั้นแล้วหรือ? ไม่สิ ตอนนั้นคุณพ่อยังอยู่ไม่ใช่เหรอ?
ถ้าเธอยังดูไม่ออกอีกว่าคุณหมอวัยกลางคนสุดหล่อกับคุณแม่ชอบพอกัน เธอก็คงเสียชาติเกิดแล้ว ชอบกันน่ะไม่แปลก เพราะเธอเองก็คิดว่าคุณพ่อตายไปนานแล้ว แต่ผู้หญิงท่าทางเหมือนหมาบ้าคนนี้เป็นใครกัน?
หรือว่าจะเป็นผู้หญิงที่คุณหมอคนนี้พามาด้วย?
เธอคาดเดาไปต่างๆ นานา สายตาที่จับจ้องคุณหมอคนนั้นฉายแสงเย็นเยียบ
เวินเยวี่ยฉิงคุยกับคุณหมอคนนั้นเบาๆ จากนั้นหันมาเอ่ยกับเฉียวซือมู่อย่างตัดสินใจแล้ว “เรื่องนี้เราค่อยคุยกันทีหลัง ตอนนี้ช่วยจัดการผู้หญิงคนนี้ให้ก่อนได้ไหม?”
เอ่ยจบแล้วชี้ไปยังหญิงที่ล้มอยู่กับพื้น เธอเป็นคนรูปร่างอ้วน นอกจากใบหน้าที่ดูใจดำดุร้ายแล้ว หน้าเธอยังเต็มไปด้วยรอยยับย่น ดูแล้วน่าเกลียดกว่าเวินเยวี่ยฉิงตั้งหลายเท่า ไม่รู้ว่าเธอไปเอาความกล้ามาจากไหน ถึงกล้ามาหาเรื่องด่าว่าเวินเยวี่ยฉิงถึงที่บ้านแบบนี้
เรื่องที่เธอขอเป็นเรื่องง่ายนิดเดียว เพียงชั่วครู่ก็มีคนวิ่งพรึบพรับกันขึ้นมาแล้วหามตัวหญิงคนนั้นออกไปอย่างรวดเร็ว
ไม่รู้ว่าจิ้นหยวนทำอะไรผู้หญิงคนนั้น เธอถึงได้นอนนิ่งอยู่อย่างนั้นตั้งนานสองนาน หากไม่ใช่เพราะเธอคอยมองมาด้วยสายตาโกรธแค้นอยู่ตลอดเวลา เฉียวซือมู่เกือบจะคิดว่าเธอตายไปแล้วเสียด้วยซ้ำ
ขณะเดียวกัน เฉียวซือมู่สังเกตเห็นว่าชั่ววินาทีที่หญิงคนนั้นถูกหามออกไป ชายสองคนในที่เกิดเหตุต่างหน้าถอดสีทันที โดยเฉพาะเด็กหนุ่มที่ปิดปากเงียบมาตลอด เขาก้าวเดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าว เมื่อเห็นว่าคุณหมอคนนั้นไม่ได้ห้าม จึงส่งสายตาซับซ้อนมองไปยังเฉียวซือมู่แวบหนึ่ง จากนั้นเดินลงบันไดไป