ตอนที่ 392 ช่วยเธอให้ได้ ไม่ว่าต้องแลกกับอะไรก็ตาม
จิ้นหยวนอุ้มเธอขึ้นรถ จากนั้นขับรถพาเธอไปยังโรงพยาบาลด้วยความเร็วสูงสุด
บรรดาคุณหมอทั้งหลายในโรงพยาบาลจิ้นซื่อกระวีกระวาดเข้าไปรับตัวเฉียวซือมู่ แล้วเข็นเธอเข้าห้องฉุกเฉินอย่างเร่งด่วน
โรงพยาบาลเอกชนแห่งนี้เป็นโรงพยาบาลในเครือ จิ้นซื่อ กรุ๊ป และคนในตระกูลจิ้นต้องได้รับการดูแลที่ดีที่สุด
หลังจากทีมแพทย์รู้สถานะของเฉียวซือมู่แล้ว ยิ่งปฏิบัติการอย่างเคร่งครัดและระมัดระวังสูงสุด สิบนาทีผ่านไป ผู้อำนวยการโรงพยาบาลวิ่งกระหืดกระหอบมาถึงพร้อมเม็ดเหงื่อที่ผุดพรายเต็มใบหน้า
ขณะที่เขากำลังจะพูดกับจิ้นหยวนนั้น จิ้นหยวนไม่มีแม้แต่กะจิตกะใจจะฟัง กลับชี้นิ้วไปยังห้องฉุกเฉิน “เข้าไป ทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยเธอให้ได้”
เขาชะงักเล็กน้อย “ไม่ว่าต้องแลกกับอะไรก็ตามอย่างนั้นเหรอครับ”
ผู้อำนวยการเช็ดเหงื่อตรงหน้าผาก เดินเข้าห้องฉุกเฉินเพื่อทำการรักษาร่วมกับทีมแพทย์
ตอนแรกทีมแพทย์คิดว่าเธอได้รับบาดเจ็บสาหัส จึงตรวจร่างกายเธออย่างละเอียด แต่กลับพบว่าร่างกายเธอไม่มีปัญหาอะไรเลย นอกจากบาดแผลบนหน้าผากเท่านั้น
หลังจากการตรวจเช็คอย่างละเอียดแล้วจึงได้ผลสรุปออกมาตามนั้น ผู้อำนวยการพูดไม่ออกบอกไม่ถูก ออกไปรายงานผลให้จิ้นหยวนทราบ “คุณชายจิ้น คุณเฉียว…”
เขายังคงเรียกเธอว่าคุณเฉียว จึงถูกจิ้นหยวนถลึงตาใส่ เขารีบแก้คำทันที “คือคุณนาย… คุณนายมีแผลที่หน้าผากเท่านั้น นอกจากแผลที่หน้าผากแล้ว ก็คือร่างกายเธออ่อนแอมาก จำเป็นต้องพักผ่อนให้มากๆ”
“อืม ยังมีอะไรอีก?” จิ้นหยวนเอ่ยถาม
ผู้อำนวยการชะงักเล็กน้อย “ไม่มีแล้วครับ”
เขาพยักหน้ารับรู้ “แล้วทำไมเธอถึงสลบไม่ได้สติซะทีล่ะ?”
ตาเฒ่าคนนี้ทำอะไรอ้ำอึ้งชักช้า เขารู้สึกเกะกะสายตาตั้งนานแล้ว หากไม่ใช่เพราะเขาเป็นคนของคุณพ่อล่ะก็ เขาคงปลดออกจากตำแหน่งไปนานแล้ว
ผู้อำนวยการไม่รู้ว่าจิ้นหยวนกำลังคิดอะไรกับตน จึงเอ่ยตอบ “หน้าผากเธอน่าจะกระแทกกับของแข็ง ที่ยังสลบไม่ได้สติ เป็นเพราะสมองได้รับการกระทบกระเทือนเล็กน้อย ถ้าฟื้นภายในวันนี้ก็ไม่เป็นไรแล้วครับ”
“แล้วถ้าไม่ฟื้นล่ะ?” จิ้นหยวนมองเขาด้วยสายตาเย็นเยียบ
เขาชะงักเล็กน้อย แอบคิดว่าถ้าไม่ฟื้นขึ้นมาล่ะแย่แน่ ก่อนหน้านี้เขาได้ยินมาว่าเธอนอนสลบไม่ได้สติอยู่ตั้งนานโดยไม่ทราบสาเหตุ ถ้าเกิดเป็นอย่างครั้งก่อนอีกล่ะก็…
เขาตัวเย็นวาบ ไม่กล้าคิดต่อ เอ่ยตอบเพียงว่า “ไม่หรอกครับ เธอต้องฟื้นแน่นอนครับ”
จิ้นหยวนครางเสียงฮึเย็นๆ ไม่พูดกับเขาอีก จากนั้นหมุนตัวเดินไปเปิดประตูแล้วเดินเข้าไปในห้องฉุกเฉิน
ผู้อำนวยการอ้าปากค้าง อยากจะเรียกชายหนุ่มที่บุกเข้าไปในห้องฉุกเฉินหน้าตาเฉยเอาไว้ แต่เมื่อคิดๆ ดูแล้ว คุณนายจิ้นที่นอนสลบอยู่ในห้องไม่ได้เป็นอะไรแล้ว และไม่ได้กำลังผ่าตัดด้วย จึงหุบปากทันที
จิ้นหยวนเดินเข้าไปในห้อง พบว่านางพยาบาลกำลังใช้สำลีทำความสะอาดบาดแผลบนหน้าผากเฉียวซือมู่ อาจเป็นเพราะยาที่ใช้ทำให้แสบแผล ทุกครั้งที่นางพยาบาลเช็ดแผลให้เธอ หัวคิ้วของเฉียวซือมู่จะย่นเข้าหากันเล็กน้อยเพราะความเจ็บ บวกกับใบหน้าขาวซีดและรอยเลือดแห้งกรัง ทำให้ดูน่าสงสารมาก
ลมหายใจจิ้นหยวนสะดุดทันที เขาเดินก้าวเท้ายาวๆ เข้าไปข้างในแล้วดุเสียงดัง “เธอทำอะไรน่ะ!”
นางพยาบาลตกใจจนสะดุ้งโหยง ชายตาขึ้นมองเห็นจิ้นหยวนที่หน้าถมึงทึงน่ากลัวแล้วตกใจจนหน้าถอดสี “คุณเป็นใคร? เข้ามาในห้องนี้ได้ยังไง?”
เธอไม่รู้จักจิ้นหยวน และไม่เข้าใจว่าทำไมไม่มีใครห้ามไม่ให้เขาเข้ามา จึงลุกขึ้นเอ่ยกับเขา “ญาติคนไข้กรุณาออกไปรอข้างนอกด้วยค่ะ…”
จิ้นหยวนไม่สนใจคำพูดของเธอแม้แต่นิดเดียว เดินเข้าไปหยุดยืนข้างเตียงคนไข้ ก้มหน้าลงมองเฉียวซือมูที่ยังคงหลับไม่ได้สติพลางเอ่ยเสียงเข้ม “เอาอุปกรณ์มาให้ฉัน!”
ตอนที่ 393 รบกวนกลับไปซะ
นางพยาบาลชะงักอึ้ง “คุณว่าอะไรนะคะ?”
คนคนนี้เป็นใครกันแน่? เหตุใดจึงพูดจากับเธอเช่นนี้?
เธอหันไปมอง เห็นทีมแพทย์ยังอยู่กันพร้อมหน้าไม่กล้าไปไหน สีหน้าแต่ละคนตื่นตระหนกกันถ้วนหน้า หัวใจเธอกระตุกวูบ มือที่กำแน่นคลายออก อุปกรณ์ในมือถูกเขาแย่งไปอย่างง่ายดาย
จิ้นหยวนรับอุปกรณ์ทำแผลมาจากเธอ เขานั่งลงข้างเตียงคนไข้ บรรจงเช็ดรอยเลือดเกรอะกรังให้เฉียวซือมู่อย่างตั้งใจพลางเอ่ยพลาง “ออกไปให้หมด!” คำสั่งทรงอำนาจทำให้ทุกคนในห้องรู้สึกหวาดเกรง จนต้องรีบถอยออกจากห้องทันที
แค่ทำแผลใส่ยา เขาอยากจะทำก็ปล่อยให้เขาทำไป
เฉียวซือมู่หลับตาแน่น หว่างคิ้วย่นเข้าหากันเล็กน้อย สร้างความน่าสงสารได้ไม่น้อย
จิ้นหยวนต้องทำทุกอย่างให้มือเบาที่สุดกว่าจะทำแผลเสร็จเรียบร้อย
เขาทายาให้เธอเบาๆ จากนั้นพันผ้าพันแผลให้เรียบร้อย แม้เขาจะไม่เคยทำแผลให้ใครมาก่อน แต่ฝีมือการทำแผลของเขาก็ดีใช้ได้ไม่เบา ไม่แพ้ฝีมือนางพยาบาลด้วยซ้ำ
เขาจับมือเธอกุมไว้เบาๆ พลางถอนหายใจออกมา
หากเขารู้ว่าเธอจะถูกคุณแม่ทำร้ายจนถึงขั้นเลือดตกยางออกจนต้องเข้าโรงพยาบาลแล้วล่ะก็ เขาจะไม่มีวันยอมให้เธอย้ายเข้าไปอยู่ที่บ้านหลังนั้นเด็ดขาด
เสียใจภายหลังก็สายเกินแก้แล้ว
เช้าวันรุ่งขึ้น แขกไม่ได้รับเชิญปรากฎขึ้นในห้องคนไข้ ขณะนั้น จิ้นหยวนเพิ่งเปลี่ยนยาให้เธอเสร็จพอดี เขาเข้าไปล้างมือในห้องน้ำ พอเดินออกมาจากห้องน้ำก็เห็นร่างที่แสนคุ้นเคยยืนอยู่ตรงประตูห้อง
เขามองแขกไม่ได้รับเชิญคนนั้นสีหน้าเฉยชา “คุณแม่ มาทำอะไรที่นี่ครับ?”
ฉินเพ่ยหรงสีหน้าร้อนใจ “แม่อยากจะมาเยี่ยมเธอ เธอ… เป็นยังไงบ้าง?”
จิ้นหยวนเดินช้าๆ ไปหยุดยืนอยู่ข้างเตียงคนไข้ คลุมผ้าห่มให้เธออย่างเอาใจใส่ “หมอบอกว่าอาการบาดเจ็บของเธอไม่ได้เป็นอะไรมาก แต่จนถึงตอนนี้เธอยังไม่ฟื้นเลยครับ”
เขาตอบตามตรงด้วยน้ำเสียงเย็นชา ราวกำลังพูดอยู่กับคนแปลกหน้า
ฉินเพ่ยหรงตัวสั่นอย่างควบคุมไม่อยู่ “แม่… แม่ไม่ได้ตั้งใจ ตอนนั้นแม่โกรธมากไปหน่อย…”
“ผมรู้ครับ…” จิ้นหยวนจับจ้องใบหน้าเฉียวซือมู่นิ่ง ไม่แม้แต่จะหันไปมอง “คุณแม่พูดจบหรือยังครับ ถ้าพูดจบแล้ว รบกวนคุณแม่กลับไปได้แล้วล่ะครับ สุขภาพคุณพ่อไม่แข็งแรง ต้องการการดูแลจากคุณแม่นะครับ”
คำพูดไร้ความรู้สึกใดๆ จนฉินเพ่ยหรงสีหน้าแย่กว่าเดิม “ลูกยังเกลียดแม่อยู่ใช่ไหม?”
“เปล่าครับ ผมไม่เกลียดหรอกครับ คุณแม่เป็นแม่ของผม ผมจะเกลียดคุณแม่ได้ยังไง ผมแค่ไม่อยากจะพูดอะไรอีก เพราะฉะนั้น รบกวนคุณแม่ไม่ต้องคิดมาก ไม่ว่ายังไงผมก็ยังเป็นลูกชายของคุณแม่อยู่วันยังค่ำ ความจริงข้อนี้ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงอยู่แล้วล่ะครับ” เขาเอ่ยเสียงเรียบเฉย
“แล้วทำไมลูกไม่ยอมมองหน้าแม่ล่ะ? แม่รู้ว่าลูกยังเกลียดแม่อยู่ แต่แม่ไม่ได้ตั้งใจจริงๆ นะ ลูกเชื่อแม่เถอะนะ ถึงแม่จะไม่ชอบเธอมากแค่ไหน แต่แม่ก็ไม่มีทางทำอย่างนั้นต่อหน้าลูกเด็ดขาด ตอนนั้นแม่เองก็ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ แม่หลงผิดไปชั่ววูบน่ะ…” เธอรีบแก้ตัวทันที เพราะไม่อยากเห็นแววตาเย็นชาระคนผิดหวังของลูกชาย
“รบกวนคุณแม่กลับไปเถอะครับ เดี๋ยวผมต้องเช็ดตัวให้เธอแล้ว” เขาเอ่ยเสียงเนิบนาบ ยังคงไม่ยอมมองหน้าเธอเหมือนเดิม
เขาแสดงออกชัดเจนว่ากำลังไล่แขกอย่างไม่ปิดบัง ฉินเพ่ยหรงเม้มริมฝีปากแน่น เธอยอมลดตัวมาขอโทษเขาถือว่าเกินขีดจำกัดของตนแล้ว ขืนยังเป็นอย่างนี้ต่อ เธอเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าควรจะพูดอะไรอีก