ตอนที่ 396 ฉันโชคร้ายเอง
ทีมแพทย์รีบออกันเข้าไปดูอาการเธอ ทั้งวัดความดัน ทั้งตรวจร่างกาย จนจิ้นหยวนถูกผลักไปอยู่ข้างหลัง
เธอมองดูทุกอย่างที่เกิดขึ้นตรงหน้าด้วยความงุนงง เธอมองผ่านศีรษะของทีมแพทย์ เห็นสีหน้าร้อนรนใจของจิ้นหยวน ภาพเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นก่อนที่เธอจะสลบไปค่อยๆ ฉายชัดในหัวอีกครั้ง
เธอสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อนึกถึงเรื่องที่เธอถูกกระแทกอย่างรุนแรง พลันรู้สึกเจ็บจี๊ดๆ ตรงหน้าผาก
เธอย่นหัวคิ้วเล็กน้อย อยากจะใช้มือจับหน้าผากตน แต่พอขยับแขนถึงพบว่าหลังมือตนมีสายน้ำเกลือห้อยระโยงระยาง และคุณหมอต่างพากันทำหน้าแตกตื่น “เจ็บตรงไหนหรือเปล่าครับ? ปวดหัวหรือเปล่า…”
เธอตอบคำถามหมอพลางเหลือบมองจิ้นหยวนที่เข้าใกล้เธอไม่ได้พลาง รู้สึกว่าดวงตาที่เต็มไปด้วยความทุกข์ใจและความเป็นห่วงของเขาแทบจะทำให้ตัวเธอหลอมละลาย
จู่ๆ เธอก็นึกขึ้นได้ ทำไมเธอฟื้นแล้วแต่เขายังดูเป็นห่วงเธอมากขนาดนั้นล่ะ?
น่าเสียดายที่เธอถูกคุณหมอล้อมหน้าล้อมหลังจนไม่มีโอกาสถามเขา
หัวหน้าทีมแพทย์ตรวจร่างกายเธออย่างละเอียด เขาถอนหายใจเบาๆ จากนั้นหมุนตัวไปรายงานจิ้นหยวน “คุณจิ้น ตอนนี้คุณนายไม่เป็นอะไรแล้ว บาดแผลสมานตัวดี ต่อจากนี้ก็แค่ดูแลบำรุงร่างกายให้แข็งแรงก็ไม่มีอะไรแล้วล่ะครับ”
“เข้าใจแล้ว” จิ้นหยวนผงกศีรษะเล็กน้อย จากนั้นก้าวเข้าไปหาเธอ
ทีมแพทย์แหวกแถวออกเป็นทาง มองดูเขาก้าวเท้ายาวๆ เข้าไปหาคนไข้
พวกเขาลอบส่งสายตาให้กัน ต่างถอยออกจากห้องอย่างเงียบๆ จนเหลือเพียงแค่นางพยาบาลที่เตรียมเปลี่ยนยาให้เธอใหม่เพียงคนเดียวเท่านั้น
อยู่ที่นี่ การอ่านสีหน้าเป็นเรื่องที่สำคัญมาก
นางพยาบาลคนนั้นเดินเข้าไปใกล้ เตรียมจะเปลี่ยนยาให้เฉียวซือมู่ จิ้นหยวนยื่นมือออกไปรับอุปกณ์ทำแผลอย่างช่ำชอง “เดี๋ยวฉันทำเอง เธอออกไปได้แล้ว”
เสียงขรึมต่ำของเขาทำให้เธอขนลุกจนตัวสั่น รีบก้มหน้างุดเดินออกจากห้องทันที
อารมณ์ฉุนเฉียวของจิ้นหยวนทำให้ผู้คนมากมายตกใจกลัวจนไม่มีใครอยากจะเข้าใกล้เขา แม้แต่นางพยาบาลทั้งหลายที่เคยใฝ่ฝันถึงเขาก็ไม่ยกเว้น
ชีวิตสวยงามจะตาย ทำไมต้องไปชอบคนเจ้าอารมณ์อย่างเขาด้วย
เวลานี้ “คนเจ้าอารมณ์” ในสายตาของพวกเธอสีหน้าอ่อนโยนยิ่งนัก เขาแกะผ้าพันแผลออกอย่างเบามือ พบว่าบาดแผลเล็กลงไม่น้อย และเริ่มตกสะเก็ดแล้ว จึงพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ “อีกไม่กี่วันก็ไม่ต้องเปลี่ยนยาแล้ว”
เขาเปลี่ยนยาให้เธอใหม่เสร็จเรียบร้อย เพิ่งรู้ตัวว่าถูกเธอจับจ้องไม่วางตา “เป็นอะไรไปเหรอ?”
เฉียวซือมู่มองเขาเงียบๆ “ฉันหลับไปนานเท่าไหร่คะ?”
เธอจำได้ว่าตอนนั้นตนได้รับบาดเจ็บตอนเย็น แต่เวลานี้ ท้องฟ้านอกห้องมืดสนิทแล้ว
เธอเดาว่าตนคงสลบไปนานพอสมควร ทว่าเมื่อได้รับคำตอบจากเขาแล้ว เธอถึงกับตกใจสะดุ้งโหยง
“สามวัน?” เธอเบิกตาโพลง จ้องเขาอย่างไม่อยากจะเชื่อ จากนั้นยกมือขึ้นลูบศีรษะตนไปมา “คุณพูดจริงเหรอคะ?”
จิ้นหยวนพยักหน้าน้อยๆ สายตาที่มองไปยังเธอระคนความเสียใจที่ยากจะเอ่ย “ผมขอโทษ เป็นเพราะผมคนเดียว คุณถึงเป็นแบบนี้…”
เธอส่ายศีรษะอย่างอ่อนแรง “ไม่เกี่ยวกับคุณซะหน่อย เป็นเพราะฉันโชคร้ายเองต่างหาก…”
เธอถอนหายใจเบาๆ หวนคิดถึงเสี้ยววินาทีที่ทั้งตกใจทั้งเจ็บปวดแล้วไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี
เธอเอ่ยเสียงเศร้า “บางที ชั่วชีวิตนี้คุณแม่อาจจะไม่มีวันชอบฉันก็ได้นะคะ…”
จิ้นหยวนจับมือเธอแน่น “ไม่ว่ายังไงก็ตาม ต่อจากนี้ผมจะไม่ยอมให้พวกคุณอยู่ด้วยกันอีก คุณสบายใจเถอะนะ”
เธอหัวเราะเบาๆ หากแต่ไม่ได้พูดอะไร เธอยังมีคำพูดอีกมากมายที่เก็บไว้ในใจ แต่ตอนนี้ร่างกายเธออ่อนแอมาก แค่ขยับกายเพียงเล็กน้อยพลันรู้สึกปวดเศียรตาลายและเจ็บคอมาก
ตอนที่ 397 เราจะมีลูกด้วยกันสองคน
เขาเห็นท่าทางไม่สบายของเธอแล้วรีบรินน้ำใส่แก้ว ค่อยๆ ป้อนน้ำให้เธอดื่ม เห็นสีหน้าซีดขาวของเธอแล้ว พลันรู้สึกหวาดกลัวในใจ
ตั้งแต่วันที่เขารู้ว่าร่างกายเธอมีปัญหา เขาตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะไม่ยอมให้เธอรู้ความจริงเรื่องนี้เด็ดขาด เพราะฉะนั้น ต่อให้เขารู้สึกสงสารเธอจับใจมากเพียงไร เขาก็ไม่กล้าแสดงออกทางสีหน้าให้เธอจับได้ เขามองดูเธอค่อยๆ ดื่มน้ำจนหมด “คุณเพิ่งฟื้นก็เลยเหนื่อยมากใช่ไหม? คุณพักก่อนนะ เดี๋ยวผมให้เขาส่งของกินมาให้”
เอ่ยพลางวางตัวเธอให้เอนลงนอน จากนั้นหมุนตัวเดินออกจากห้อง
เธอหลับตาลงอย่างเหนื่อยล้า รู้สึกว่าตรงไหนผิดปกติสักอย่าง เธอหลับไปตั้งสามวัน ตามหลักแล้วควรจะกระปรี้กระเปร่าเพราะได้นอนหลับเต็มที่ถึงจะถูกสิ แต่ทำไมเธอถึงยังรู้สึกเหนื่อยมากขนาดนี้ เหมือนเพิ่งไปวิ่งมาราธอนจนร่างกายปวดเมื่อยไปหมด
แต่พอหลับตาลงกลับนอนไม่หลับเสียอย่างนั้น เมื่อหลับตาลง ประสาทสัมผัสทางหูจึงดีกว่าปกติ เธอได้ยินเสียงจิ้นหยวนกำลังคุยโทรศัพท์เสียงเบาอยู่นอกห้อง บอกให้ที่บ้านปรุงอาหารบำรุงรสอ่อนแล้วส่งมาที่โรงพยาบาล
เธอยิ้มบางๆ ความเจ็บปวดที่ฉินเพ่ยหรงสร้างให้เธอ เพียงคำพูดเป็นห่วงเป็นใยของเขาเพียงไม่กี่ประโยคก็สามารถขจัดความเจ็บปวดเหล่านั้นไปจนสิ้น
บางครั้ง คำพูดจากคนที่เรารักเพียงแค่ประโยคเดียว สามารถสร้างกำลังใจได้มากมายมหาศาล เหมือนกับเธอในตอนนี้
จิ้นหยวนโทรศัพท์เสร็จแล้วเดินกลับเข้ามาในห้อง เห็นเธอนอนหลับตาท่าทางเหนื่อยอ่อนอยู่บนเตียงแล้วรู้สึกเจ็บแปลบในใจขึ้นมาทันที เขาเดินเข้าไปในห้องช้าๆ พร้อมความรู้สึกเสียใจมาก เขาไม่ควรรับปากคุณแม่กลับไปอยู่ที่บ้าน จนทำให้เธอต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้
จู่ๆ เธอก็ลืมตาพรึ่บ และสบเข้ากับดวงตาเสียใจระคนเจ็บปวดของเขาพอดี เธอหัวเราะเบาๆ จับมือเขาแน่น “ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ ฉันแค่เหนื่อยนิดหน่อย คงเป็นเพราะเสียเลือดมากเกินไป พักผ่อนอีกไม่กี่วันก็หายดีแล้วล่ะค่ะ”
เขาส่ายศีรษะเบาๆ “ผมกำลังคิด ถ้าผมไม่รับปากว่าจะกลับไปอยู่ที่บ้านแล้วล่ะก็ คุณคงไม่…”
เธอกระชับมือแน่นขึ้น “ไม่ใช่อย่างนั้นนะคะ ยังไงคุณก็เป็นลูกชายของคุณแม่คุณอยู่วันยังค่ำ ท่านมีคุณเป็นลูกชายแค่คนเดียวเท่านั้น เป็นธรรมดาที่ท่านจะคาดหวังในตัวคุณเอาไว้สูง คุณลองคิดดูสิคะ ต่อไปถ้าเรามีลูกด้วยกัน ลูกของเราดีพร้อมทุกอย่าง และยังเป็นลูกที่คุณภาคภูมิใจมาก แต่พอโตขึ้น ลูกเราดึงดันที่จะแต่งงานกับผู้หญิงที่ไม่มีอะไรดีเลยให้ได้ คุณคิดว่าตัวเองจะยอมรับได้หรือคะ? คุณแม่คุณก็คงคิดแบบนี้เหมือนกัน”
จิ้นหยวนฝืนยิ้มบางๆ “ใช่ ต่อไปเราจะมีลูกด้วยกัน”
“เราก็ต้องมีลูกด้วยกันอยู่แล้ว ฉันจะมีลูกสองคน ลูกชายเหมือนคุณ ส่วนลูกสาวเหมือนฉัน ถึงตอนนั้นเราจะออกไปเที่ยวด้วยกัน ลูกสาวหน้าตาสวยน่ารัก ลูกชายก็หล่อจนคนอื่นต้องอิจฉา” เธอวาดภาพในอนาคตอย่างสวยงาม
“ได้ เราจะมีลูกสองคน เป็นครอบครัวแสนอบอุ่น” เขายิ้มบางๆ น้ำตารื้นขอบตาดวงตาคู่คมลึก
เธอยิ้มอย่างมีความสุข ราวกับว่าภาพครอบครัวแสนสุขอยู่ตรงหน้าเพียงเอื้อมเท่านั้น
เขามองเธอนิ่งด้วยความเจ็บปวด ให้สัญญากับตนเองในใจ ไม่ว่าอย่างไรเขาต้องรักษาเธอให้หาย เพื่อแลกกับรอยยิ้มงดงามของเธอในยามนี้
ร่างกายเธอค่อยๆ แข็งแรงขึ้นตามลำดับ แม้จะช้า แต่ก็เห็นผลดี จิ้นหยวนเสียเงินก้อนใหญ่จ้างแพทย์แผนโบราณผู้เชี่ยวชาญด้านสูตินรีเวชเฉพาะทางมาจับชีพจรให้เธออีกด้วย หลังจากตรวจอาการแล้ว แพทย์แผนโบราณคนนั้นก็ลากจิ้นหยวนออกไปคุยกันนอกห้อง
เธอมองดูทุกอย่างด้วยความแปลกใจ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
จิ้นหยวนเดินกลับเข้ามาในห้องหลังจากแพทย์แผนโบราณคนนั้นลากลับไปแล้ว สีหน้าเขาดูดีมาก เขายิ้มกว้างพลางโอบกอดเธอแน่น “รอให้คุณหายดีแล้วเรามีลูกด้วยกันนะ”