เฉียวซือมู่ชะงักฝีเท้า อีริครู้ว่าเธออยากจะพูดว่าอะไร จึงชิงพูดขึ้นก่อน “อย่าเพิ่งปฏิเสธเลยนะครับ ที่นี่อยู่เขตชานเมือง ถ้าคุณไม่กลับกับผม ก็ต้องรออีกนานกว่าจะมีรถผ่านมา”
เธอเม้มริมฝีปากนิดๆ แต่ไม่ได้พูดอะไร
เขารู้สึกโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง มองดูแผ่นหลังดื้อรั้นของเธอแล้วยิ่งวางใจไม่ลง
ตอนนี้เฉียวซือมู่กำลังหวาดระแวงและต่อต้านเขา ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ยอมเข้าใกล้เขาเด็ดขาด เธอยังขอแลกที่นั่งกับลีน่าเพื่อจะได้นั่งข้างคนขับแทน
คนขับรถและลีน่ารู้สึกประหลาดใจกับการกระทำของเธอเป็นอย่างมาก สายตาของทั้งสอง โดยเฉพาะลีน่า มองหน้าอีริคและเฉียวซือมู่สลับไปมา ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างสองคนนี้กันแน่
ลีน่าไม่ได้ตามทั้งสองเข้าไปทำการสัมภาษณ์ด้วย เธอรอพวกเขาอยู่ด้านนอก จึงไม่รู้ว่าเมื่อครู่เกิดอะไรขึ้นบ้าง รู้เพียงหลังจากเจ้านายไปตามเธอ และสองหนุ่มสาวเดินออกมาจากด้านในแล้ว บรรยากาศก็แปลกพิกล
นี่มันเกิดอะไรขึ้น?
สีหน้าเฉียวซือมู่แย่มาก เธอรู้สึกมาตลอดว่าเจ้านายดูแปลกๆ แต่ไม่รู้ว่าแปลกตรงไหน ในที่สุดวันนี้เธอก็ได้คำตอบ และคำตอบนั้นทำให้เธอรู้สึกแย่มาก
พูดกันตามตรง เธอรู้สึกพอใจกับงานที่ทำในปัจจุบันเป็นอย่างมาก ในออฟฟิศไม่มีการชิงดีชิงเด่น ไม่มีเพื่อนร่วมงานที่ไม่น่าคบ และตอนนี้ยังมีเจ้านายที่ดูเหมือนจะชื่นชมเธอมากเสียด้วยเพิ่มเข้ามาอีกคน
แต่คิดไม่ถึงเลยว่าการกระทำของเขาเมื่อครู่นี้จะทำให้ความวาดหวังเรื่องงานในอนาคตของเธอแตกสลายไม่มีชิ้นดี ทั้งหมดทั้งมวลเป็นเพราะเขาถูกใจตัวเธอ ไม่ใช่เพราะความพยายามของเธอ
เธอรู้สึกเหมือนถูกดูถูกเหยียดหยามและรู้สึกผิดหวังในเวลาเดียวกัน ที่แท้ผู้ชายก็เหมือนกันหมด หน้ามืดตามัวเพราะตัณหาราคะ
ท่าทางเธอคงต้องลาออกจากงานเสียแล้ว
เธอตัดสินใจแล้วว่าจะขอลาออกกับเขาวันพรุ่งนี้
รถถูกขับเข้าเมือง เธอมองดูถนนหนทางที่แสนคุ้นเคยแล้วเอ่ยเสียงเบา “ช่วยจอดตรงนี้ด้วยค่ะ ฉันจะกลับบ้านเอง”
คนขับรถเหลือบมองเธอแวบหนึ่งแล้วจอดรถเทียบข้างทาง เขาชำเลืองมองเจ้านายด้วยสายตาไม่เข้าใจอีกแวบหนึ่ง
ใครๆ ก็ดูออกว่าเจ้านายสนใจผู้หญิงคนนี้ แต่บรรยากาศระหว่างทั้งสองคนกลับแปลกมาก แม้แต่ตอนที่เธอลงจากรถ เจ้านายก็ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ
มันทำให้เขาจับต้นชนปลายไม่ถูก ได้แต่หันไปมองลีน่า เห็นสายตาเธอเต็มไปด้วยความงุนงงไม่ต่างกัน สองคนมองสบตากันแล้วส่งสายตามองไปยังเจ้านายเป็นตาเดียว
อีริคนั่งนิ่งเงียบ สีหน้าแย่มาก เมื่อเห็นสายตาของลูกน้องที่มองมายังตน จึงเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “ไม่ขับรถหรือไง?”
ไม่แม้แต่จะรั้งเธอเอาไว้เลยหรือ!
คนขับรถหน้าถอดสี รีบสตาร์ทรถตามคำสั่งทันที เขามองไปยังนอกหน้าต่างรถ เห็นเฉียวซือมู่นั่งรถแท็กซี่จากไปแล้ว
เขาไม่กล้าคิดอะไรอีก ค่อยๆ ขับรถเคลื่อนตัวออกจากที่ตรงนั้น
เฉียวซือมู่นั่งแท็กซี่ไปที่บ้านของคุณแม่ เธอสลัดเรื่องเจ้านายทิ้ง แต่ยังคงรู้สึกหงุดหงิดนิดๆ เธอคิดว่าคุณแม่น่าจะอยู่ที่บ้าน และคุณแม่อยู่ที่บ้านจริงตามคาด แต่กลับมีคนอื่นอยู่ด้วย
คุณหมอวัยกลางคนสุดหล่อคนนั้นนั่นเอง
เธอเดินเข้าไปในบ้าน มองดูคุณแม่กับชายที่ชื่อหลัวเฮ่าคุยกันกะหนุงกะหนิงด้วยสายตาเย็นเยียบ ได้แต่ส่ายศีรษะให้กับท่าทางหัวร่อต่อกระซิกของทั้งสอง เธอยืนอยู่ตรงนั้นสักครู่แต่พวกเขากลับไม่รู้ตัวเสียที แถมกิริยาท่าทางยังใกล้ชิดกันมากขึ้นๆ จนเธอต้องแสร้งไอเพื่อขัดจังหวะ
“แค่กๆๆ…”
ตอนที่ 423 ทำไมจนป่านนี้ยังไม่มีลูกเสียที
ทั้งสองสะดุ้งเฮือก รีบเงยหน้าขึ้นมองจึงเห็นว่าเป็นเฉียวซือมู่ ทันใดนั้น เวินเยวี่ยฉิงหน้าแดงก่ำทันที
เวินเยวี่ยฉิงรีบลุกขึ้นจากโซฟาด้วยความกระวนกระวายใจ ได้แต่ลูบผมแก้เก้อ “มู่มู่มาได้ยังไงน่ะ ทำไมไม่โทรมาบอกก่อน?”
เฉียวซือมู่มองใบหน้าเปล่งปลั่ง สายตาหวานเยิ้มของเวินเยวี่ยฉิงแล้วได้แต่เอ่ยอย่างเหนื่อยหน่าย “ถ้าหนูโทรมาบอกก่อน ก็ไม่ได้เห็นอะไรดีๆ แบบนี้นะสิคะ”
สีหน้าเวินเยวี่ยฉิงดูลำบากใจมากยิ่งขึ้น เธอชำเลืองมองชายอีกคนที่มีสีหน้าย่ำแย่ไม่ต่างกันแวบหนึ่ง จากนั้นดึงตัวเฉียวซือมู่ไปอีกทาง “เราเข้าไปคุยกันในห้องดีกว่า”
เฉียวซือมู่เดินตามเวินเยวี่ยฉิงเข้าไปในห้องอย่างว่าง่าย
ความจริงเธอยังรู้สึกเวียนศีรษะอยู่บ้าง หลังจากเข้าไปในห้องแล้วจึงนั่งลงทันที เธอเหลียวซ้ายแลขวา จากนั้นหยิบขวดน้ำขึ้นมาเปิดฝาออกแล้วดื่มน้ำเข้าไปอึกหนึ่งแล้วหันไปเอ่ยกับเวินเยวี่ยฉิง “เขาจัดการเรื่องในครอบครัวเรียบร้อยแล้วเหรอคะ?”
เวินเยวี่ยฉิงนั่งลงเช่นเดียวกัน “จัดการเรียบร้อยแล้ว เขาบอกว่าแบ่งทรัพย์สินให้ภรรยาเก่าไปไม่น้อย เพื่อให้เธอปิดปากและยอมกลับบ้านแต่โดยดี”
“ถือว่าเด็ดขาดใช้ได้” เฉียวซือมู่ครางเสียงฮึ ความจริงตอนนี้เธอรู้สึกแปลกมาก เธอไม่ต้องการเห็นคุณแม่เป็นหม้ายตลอดชีวิตหลังเลิกกับคุณพ่อ หากคุณแม่พบคนที่ดีเธอก็ยินดีมาก
แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเธอจะยอมมองดูคุณแม่ถลำลึกเช่นนี้ เพราะชีวิตครอบครัวของผู้ชายคนนั้นยังยุ่งอีรุงตุงนังอยู่เลย
ตอนนี้ฟังดูแล้วเขาก็เป็นคนที่ใช้ได้เหมือนกัน
เวินเยวี่ยฉิงมองสำรวจสีหน้าลูกสาว เอ่ยถามอย่างระมัดระวัง “มู่มู่ ลูก… ลูกไม่ใช่ชอบที่แม่คบกับเขาใช่ไหม?”
เฉียวซือมู่ชะงักอึ้ง “คุณแม่พูดอะไรกันคะ? หนูจะไปคิดแบบนั้นได้ยังไง”
“แต่เวลาลูกเจอเขา ทั้งสีหน้า ทั้งคำพูดของลูกไม่ดีเลย ลูกยังคิดถึงพ่ออยู่ใช่ไหม?” เวินเยวี่ยฉิงเอ่ยถามช้าๆ
เฉียวซือมู่รีบส่ายศีรษะเป็นพัลวัน “ไม่ใช่อย่างนั้นนะคะ หนูไม่ได้คิดถึงเขาสักหน่อย หนูขอให้เขาไม่ต้องมาให้เห็นหน้าอีกตลอดชีวิต ไม่ได้เป็นอย่างที่คุณแม่คิดสักหน่อย”
“ถ้างั้น…” เฉียวซือมู่ยิ่งโตยิ่งมีอำนาจบารมีมากขึ้น ยามอยู่ต่อหน้าเธอ ดูเหมือนเวินเยวี่ยฉิงที่เป็นแม่จะถูกอำนาจบารมีเธอข่มจนสิ้น
เฉียวซือมู่เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “หนูกลัวเขามาหลอกเงินคุณแม่ต่างหาก เขาแก่กว่าคุณแม่ตั้งเยอะ แถมยังมีเมียเก่าที่คอยตามรังควานตลอดเวลาอีก หนูก็กลัวคุณแม่เสียเปรียบเขานะสิคะ”
เวินเยวี่ยฉิงหัวเราะเบาๆ ตบหลังมือลูกสาวเบาๆ “สบายใจได้ แม่แก่ขนาดนี้แล้ว สายตาในการดูคนยังใช้ได้อยู่ เขาเป็นคนที่ไม่เลวเลยนะ เป็นคนซื่อๆ ไม่มีเล่ห์เหลี่ยมอะไร แม่อยู่กับเขาแล้วมีความสุขมาก ลูกไม่ต้องเป็นห่วงแม่มากขนาดนั้นก็ได้ เป็นห่วงตัวเองก่อนเถอะ”
“หนูมีอะไรให้ต้องเป็นห่วงด้วยคะ” ในที่สุดหัวข้อสนทนาก็วกเข้าเรื่องเธอจนได้ เธอบ่นอุบอิบ
“ตอนนี้ลูกก็แต่งงานกับจิ้นหยวนแล้ว แล้วเรื่องลูกล่ะ? ทำไมไม่มีข่าวดีสักที?” เวินเยวี่ยฉิงมองหน้าเธอพลางเอ่ยถาม
พูดถึงเรื่องนี้แล้วเฉียวซือมู่ยกมือขึ้นกุมหน้าท้องตนเอง “หนูก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ ตอนแรกเราคุมกำเนิด แต่ตอนหลังไม่ได้คุมแล้ว แต่ก็ยังไม่มีลูกสักที อาจจะเป็นเพราะยังไม่ถึงเวลามังคะ”
แม้เธอจะสงสัยอยู่บ้าง แต่เธอก็ไม่ได้ใส่ใจมากนัก ตอนนี้เธอยังอายุไม่ถึงยี่สิบห้าเลย จะรีบทำไม
แต่เวินเยวี่ยฉิงไม่ได้คิดเช่นนั้น เธอรีบถามคำถามอีกหลายคำถาม เมื่อเห็นท่าทางไม่อินังขังขอบของลูกสาว จึงได้แต่ใช้นิ้วจิ้มหน้าผากเธอเพราะไม่ได้ดั่งใจ “ลูกนี้นี่นะ ไม่รีบตอนนี้ ต่อไปจะรู้สึก ที่นี่ประเทศจีนนะ ขืนลูกยังไม่มีลูกอีก ต่อให้จิ้นหยวนไม่เร่ง พ่อแม่เขาก็ต้องเร่งอยู่ดี ดูซิ ถึงตอนนั้นลูกจะทำยังไง!”