ตอนที่ 424 โตขนาดนี้แล้วทำไมไม่รู้จักเดินให้มันระวังๆ หน่อย
จะกลัวอะไร จิ้นหยวนไม่ยอมให้ตนอยู่กับพวกเขาหรอก!
เวินเยวี่ยฉิงมองดูท่าทางไม่อินังขังขอบของแธอแล้วรู้สึกเจ็บปวดมาก เธอเอ่ยกับเฉียวซือมู่ด้วยสีหน้าท่าทางจริงจัง “ลูกต้องพยายามให้มากกว่านี้ ต้องรู้เอาไว้ว่าคนในประเทศเราเป็นพวกหัวโบราณ เกิดเป็นลูกผู้หญิงแล้วไม่มีลูก ไปถึงไหนก็มีแต่คนดูถูก ดูอย่างแม่สิ ตอนนั้นแม่มีลูกแค่คนเดียวยังถูกพวกญาติๆ เยาะเย้ยถากถาง ด่าแม้กระทั่งคำว่าไร้ทายาทสืบสกุลต่อหน้าแม่ ถ้าไม่ใช่เพราะตอนนั้นพ่อของลูกยังเป็นที่พึ่งพิงได้ ไม่รู้ว่าป่านนี้แม่จะเป็นยังไงบ้าง”
เฉียวซือมู่ถูกเวินเยวี่ยฉิงใช้นิ้วจิ้มไปมาจนจิ้มถูกแผลบนหน้าผาก จนเธอร้องซี๊ดออกมาเบาๆ แล้วรีบกุมหน้าผากเอาไว้
เวินเยวี่ยฉิงเห็นลูกสาวเจ็บแล้วรู้สึกเสียใจทันที “โธ่ เมื่อกี้แม่จิ้มแรงไปใช่ไหม? ไหนแม่ดูซิ”
เฉียวซือมู่ใช้มือกุมหน้าผากเอาไว้ มองหน้าเวินเยวี่ยฉิงน้ำตาคลอเบ้า “เจ็บนิดหน่อยค่ะ”
เวินเยวี่ยฉิงไม่ได้ไว้เล็บยาว เวลาใช้นิ้วจิ้มเธอจึงไม่รู้สึกอะไรสักนิด แต่ที่เจ็บเป็นเพราะจิ้มถูกแผลที่ชนกำแพงต่างหาก ขืนพูดออกไปตอนนี้เธอคงกลายเป็นยัยโง่ทันที
เวินเยวี่ยฉิงมองลูกสาวด้วยความสงสาร พอเห็นรอยแผลใหญ่บนหน้าผากลูกสาวแล้วก็ต้องตกใจจนต้องรีบไปหายามาทาให้ หลังจากทายาเสร็จสรรพเรียบร้อยแล้วถึงรู้สึกตัวว่ามีบางอย่างผิดปกติ “เอ๊ะ แม่ไม่ได้มือหนักขนาดนั้นนี่? ทำไมถึงมีรอยช้ำใหญ่ขนาดนี้ได้ล่ะ?”
เฉียวซือมู่ตอบอย่างยอมรับ “ไม่ทันระวังหัวก็เลยเดินชนกำแพงน่ะค่ะ”
เวินเยวี่ยฉิงมองเธอเคืองๆ “โตขนาดนี้แล้วทำไมไม่รู้จักเดินให้มันระวังๆ หน่อย”
ในที่สุดเธอก็สามารถเบี่ยงประเด็นจนทำให้เวินเยวี่ยฉิงเลิกบ่นกระปอดกระแปดอีก
เวินเยวี่ยฉิงเพิ่งนึกขึ้นได้ว่ายังมีคนอีกคนรออยู่ที่ชั้นล่าง
เธอเดินจูงมือเฉียวซือมู่ลงไปด้านล่าง เวินเยวี่ยฉิงไม่ลืมหันมาบอก “เย็นนี้อยู่กินข้าวที่นี่นะ”
เฉียวซือมู่รีบตอบตกลงทันที เธอทำจมูกฟุดฟิด ดูเหมือนว่าบนตัวเธอไม่มีกลิ่นแอลกอฮอล์แล้ว จึงรู้สึกใจเย็นลงมาก
เวินเยวี่ยฉิงลงไปชั้นล่าง เตรียมทำอาหารเย็นให้ลูกสาวสุดที่รักเต็มที่ ขณะที่กำลังจะเดินไปยังห้องครัว กลับได้กลิ่นหอมฉุยลอยออกมาพอดี
เฉียวซือมู่เลิกคิ้วขึ้น รีบเดินเข้าไปในห้องครัว เห็นหลัวเฮ่ากำลังง่วนอยู่กับการทำอาหาร ทั้งผัด ทั้งหั่นผัก บนเตายังมีหม้อซุปที่กำลังเดือดปุดๆ ไม่รู้ว่าเป็นซุปอะไร แต่กลิ่นหอมเย้ายวนใจมาก
หลัวเฮ่าเห็นสองสาวเดินเข้ามาในครัวจึงเอ่ยยิ้มๆ “พวกคุณลงมากันแล้วเหรอ อีกเดี๋ยวก็กินข้าวได้แล้ว มู่มู่ลองชิมฝีมือผมดูนะ”
ยังไม่ทันได้ชิมรสชาติอาหาร แค่ได้เห็นท่าทางคล่องแคล่วของเขา เฉียวซือมู่ก็แอบตีคะแนนให้เขาในใจแล้ว และยังเป็นคะแนนที่สูงมากด้วย อย่างน้อยคุณแม่ของเธอก็ไม่ต้องเป็นคนเข้าครัวทำอาหารเองตลอดเวลา
ไม่เลว
หลังจากได้ชิมฝีมือของเขาแล้ว เธอยิ่งต้องประหลาดใจมากยิ่งขึ้น เพราะฝีมือการทำอาหารของหลัวเฮ่าดีมาก รสชาติไม่ต่างจากอาหารในโรงแรมหรูเลย
บรรยากาศบนโต๊ะอาหารครึกครื้นมาก หลัวเฮ่าเล่าเรื่องของเขาให้พวกเธอฟัง เขาถูกพ่อแม่จับคลุมถุงชนกับภรรยาเก่า หลังจากเขาสอบเข้ามหาวิทยาลัยและได้ทำงานเป็นนายแพทย์ ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับภรรยาเก่าก็เย็นชากันมากยิ่งขึ้น จนกระทั่งภรรยาเก่าแอบมีชู้เขาก็ยังไม่รู้เรื่อง
สำหรับผู้ชายแล้ว เรื่องแบบนี้ถือเป็นเรื่องที่น่าอับอายขายหน้ามาก แต่หลัวเฮ่ากลับเล่าเรื่องนี้ด้วยน้ำเสียงราบเรียบบนโต๊ะอาหาร ทำให้เฉียวซือมู่รู้สึกว่าเขาปลงกับเรื่องในอดีตได้แล้วจริงๆ
เธอรู้สึกดีกับเขาอีกไม่น้อยเลย
ดูเหมือนหลัวเฮ่าจะรู้ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับท่านประธานจิ้น แต่เขาไม่ได้ถามอะไรเธอเลยแม้แต่คำเดียว หากแต่เห็นเธอเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัว จึงวางตัวได้อย่างเหมาะสมและไม่พูดมาก เธอคอยจับสังเกตเขาตลอดเวลา และในที่สุดเธอต้องยอมรับว่าคราวนี้คุณแม่ของเธอตาดีมาก เพราะหลัวเฮ่าคนนี้คู่ควรที่จะได้รับความเชื่อใจจากคุณแม่ของเธอจริงๆ
ตอนที่ 425 สนใจผมดีกว่า
คิดไปคิดมาแล้วก็รู้สึกขำตนเอง ชีวิตเธอยังยุ่งเหยิงอีรุงตุงนังจนสางไม่ออก แล้วเธอยังมีหน้าไปยุ่งเรื่องของคุณแม่อีก เธอนี่มันแกว่งเท้าหาเสี้ยนจริงๆ
เธอได้แต่ทอดถอนใจ จากนั้นช่วยคุณแม่เก็บโต๊ะและเก็บจานชามเข้าไปในครัว เธอปฏิเสธหลัวเฮ่าที่เสนอตัวช่วยล้างจาน และไล่คุณแม่ออกจากห้องครัว “หนูกินฟรีมาทั้งวันแล้ว ให้หนูได้ทำประโยชน์บ้างเถอะค่ะ คุณแม่ออกไปคุยเป็นเพื่อนเขาเถอะ”
เอ่ยจบแล้วสวมถุงมือตั้งหน้าตั้งตาล้างจาน
เธอล้างจานพลางครุ่นคิดเรื่องกลุ้มใจพลาง พรุ่งนี้ไปลาออกแล้วบอกความจริงกับจิ้นหยวนดีกว่า ไหนๆ เธอก็ลาออกแล้ว เขาคงไม่โกรธมากมายอะไร…
อืม เอาตามนี้แหละ
เธอครุ่นคิดไปมาจนหาทางออกได้แล้ว จึงพยักหน้ากับตนเองด้วยความพึงพอใจ
ทันใดนั้น คุณแม่ชะโงกหน้าเข้ามาทางประตู ชูมือขึ้นโบกไปมา “จิ้นหยวนโทรหาลูกแน่ะ”
“อ้อ ค่ะ มาแล้วค่ะ” เธอสลัดฟองน้ำยาล้างจานบนถุงมือออกก่อนจะถอดถุงมือออก แต่กลับเห็นคุณแม่กดรับสายแทนแล้ว “อ้อ หามู่มู่เหรอ มู่มู่อยู่ตรงนี้แน่ะ…”
หัวใจเธอกระตุกแรง กลัวว่าคุณแม่จะพูดออกไปว่าเธอเพิ่งมาถึงที่นี่ไม่นาน จึงรีบแย่งโทรศัพท์มือถือมาจากคุณแม่ “อาหยวน ฉันเอง เมื่อกี้ฉันกำลังล้างจานอยู่น่ะ…”
เวินเยวี่ยฉิงมองดูท่าทางของลูกสาวแล้วได้แต่ส่ายศีรษะเบาๆ จากนั้นเดินกลับไปยังห้องรับแขก หลัวเฮ่ากำลังนั่งอ่านนิตสาร เห็นเธอเดินกลับมาจึงเอ่ยยิ้มๆ “สามีเธอโทรมาเหรอ?”
“ค่ะ” เธอนั่งลงข้างเขาพลางถอนหายใจ “มีลูกสาวแล้วมีแต่ห่วง ตอนเล็กๆ ห่วงว่าลูกจะไม่ยอมโต พอโตแล้วก็เป็นห่วงว่าลูกจะอยู่สุขสบายดีหรือเปล่า เฮ้อ…”
หลัวเฮ่ายิ้มบางๆ พลางกุมมือเธอเอาไว้ “ตอนนี้เธอสุขสบายดี คุณควรจะปล่อยวางบ้างนะ ไม่อย่างนั้นจะเหนื่อยเกินไป ลูกก็เหมือนนก สักวันก็ต้องโตและโบยบินบนท้องฟ้าของตัวเอง เราก็ได้แต่คอยสนับสนุนพวกเขาอยู่ข้างหลัง เพราะเราทำแทนเขาไม่ได้”
“คุณพูดมีเหตุผล แต่ก็อดเป็นห่วงไม่ได้นี่คะ” เธอเอ่ยเสียงเบา
“เป็นห่วงน่ะเป็นเรื่องปกติ แต่พวกเขาก็ต้องใช้ชีวิตของตัวเอง เราเข้าไปยุ่งมากก็ไม่ดี เผลอๆ อาจจะทำให้พวกเขาไม่ชอบใจด้วยซ้ำ ให้ความสนใจกับคนที่ต้องการมันดีกว่า คุณสังเกตเห็นหรือเปล่าว่าตอนนี้ผมกำลังต้องการความสนใจจากคุณมาก?” เขาจับจ้องเธอนิ่งด้วยสายตาอ่อนโยนลึกซึ้ง
ใบหน้าเธอแดงซ่าน ผลักเขาเบาๆ อย่างเก้อเขิน “อายุปูนนี้แล้วยังจะพูดอะไรอย่างนี้อีก?”
หลัวเฮ่าจับมือเธอมากุมเอาไว้ “ไม่แก่สักหน่อย เวลาที่ผมอยู่กับคุณ ผมรู้สึกว่าตัวเองเด็กลงตั้งสิบปีแน่ะ”
“พูดบ้าๆ!” เธอมองค้อนเขาเบาๆ แต่ก็ไม่มีทีท่าจะดึงมือกลับ
ขณะที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกันกะหนุงกะหนิงอยู่นั้น เฉียวซือมู่ที่อยู่อีกฝั่งกำลังเหงื่อแตกพลั่ก เพราะดูเหมือนจิ้นหยวนจะอารมณ์ดีมาก พอได้ยินว่าเธอทานข้าวเย็นที่บ้านคุณแม่แล้ว ก็อาสาจะมารับเธอที่นี่ทันที เธอคิดถึงกลิ่นยาและกลิ่นแอลกอฮอล์บนตัวแล้วชักหวาดๆ
เธอรีบบ่ายเบี่ยงทันที “ไม่ต้องมารับฉันหรอกค่ะ เดี๋ยวฉันกลับเองได้”
เธอกะว่าวางสายแล้วจะรีบไปอาบน้ำเสียหน่อย
จิ้นหยวนกลับเอ่ยอย่างกระตือรือร้น “ผมจะพาคุณไปเที่ยว พอดีผมมีเพื่อนเพิ่งเปิดร้านใหม่ คุณไม่ได้ซื้อเสื้อผ้าใหม่นานแล้วไม่ใช่เหรอ? ผมพาคุณไปช้อปปิ้งดีกว่า”
ถ้าเป็นเมื่อก่อนเธอคงดีใจจนเนื้อเต้น แต่ตอนนี้เธอได้แต่ตอบรับอย่างฝืดฝืน “ก็ได้ค่ะ ฉันจะรอคุณ ไม่ต้องรีบนะคะ”
“ครับ”
เธอวางโทรศัพท์มือถือลง รีบวิ่งพุ่งเข้าไปในห้องนอนเพื่ออาบน้ำ ชำระล้างกลิ่นยาออกให้หมด จากนั้นปล่อยผมลงปรกหน้าเพื่อปกปิดรอยช้ำบนหน้าผาก