ตอนที่ 468 เขาได้รับบาดเจ็บตั้งแต่เมื่อไหร่?
เฉียวซือมู่ยิ้มบางๆ “ขอบคุณค่ะคุณป้า” ไม่ว่าฉินเพ่ยหรงมาที่นี่เพราะเหตุผลอะไรก็ตาม แต่เธออุตส่าห์มีน้ำใจซื้อของมาฝากตั้งเยอะแยะ เธอก็ต้องขอบคุณตามมารยาท
ฉินเพ่ยหรงได้ยินแล้วหน้าเปลี่ยนสีทันที “ทำไมยังเรียกป้าอยูอีก? ต้องเรียกแม่สิ!”
“ค่ะ คุณแม่” เธอเรียกตามอย่างว่าง่าย
ฉินเพ่ยหรงพยักหน้าอย่างพอใจ กวักมือเรียกให้สาวใช้มาเก็บของ จากนั้นกำชับว่าเย็นนี้ต้องทำของบำรุงพวกนี้ให้เฉียวซือมู่รับประทาน
เฉียวซือมู่ยิ้มรับทุกอย่าง ไร้แววไม่พอใจใดๆ
ฉินเพ่ยหรงมองดูท่าทางโอนอ่อนผ่อนตามของเฉียวซือมู่แล้วพยักหน้าด้วยความพอใจ กำชับอะไรต่อมิอะไรอีกยืดยาว สุดท้ายยังบอกอีกว่าให้เธอกลับไปอยู่ที่บ้านด้วยกัน จะได้ดูแลเธอได้อย่างสะดวก
เฉียวซือมู่ตกใจสะดุ้งโหยง รีบปฏิเสธทันควัน
คราวก่อนเกิดเรื่องมากมายขนาดนั้น ใครจะกล้ากลับไปอีก?
แม้ตอนนี้เธอจะมีลูกเป็นยันต์คุ้มครอง แต่เธอก็ไม่กล้าเสี่ยงหรอก
ฉินเพ่ยหรงเห็นสีหน้าเธอแล้วรู้ทันทีว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ สีหน้าฉินเพ่ยหรงจึงดูไม่ดีนัก
ฉินเพ่ยหรงรู้ตัวดีว่าเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้นเป็นเพราะเธอไม่ดีเอง แต่นั่นเป็นเพราะเธอขาดสติชั่ววูบต่างหาก ตอนนี้เฉียวซือมู่กำลังอุ้มท้องทายาทตระกูลจิ้น แล้วยังจะกลัวประวัติศาสตร์ซ้ำรอยอีกหรือ?
นั่นเป็นไปไม่ได้เด็ดขาด
หรือเธอคนนี้ยังผูกใจเจ็บอยู่อีก?
เธอรู้สึกไม่พอใจขึ้นมาทันที น้ำเสียงเย็นชาขึ้น “ฉันดูท่าทางแล้วเธอคงไม่อยากจะกลับไปละสิ ก็ใช่น่ะนะ คนหนุ่มสาวน่ะชอบอิสระ ฉันเองก็ไม่อยากจะบังคับเธอหรอก แต่เธอต้องจำเอาไว้ ตอนนี้เธอไม่ได้ตัวคนเดียวอีกแล้ว ทำอะไรก็ต้องระวังให้มาก เกิดเป็นอะไรขึ้นมาแล้วจะน้ำตาเช็ดหัวเข่า เข้าใจหรือเปล่า?”
เนื่องจากเธอกำลังไม่พอใจ จึงทำให้น้ำเสียงที่พูดออกมาฟังดูเย็นชาขึ้นมาก เฉียวซือมู่ได้ยินแล้วแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง ทำเพียงพยักหน้าหงึกๆ แล้วปั้นยิ้ม “เข้าใจแล้วค่ะคุณแม่ หนูจะระวังตัวให้ดี คุณแม่สบายใจได้ เขาเป็นลูกของหนูกับอาหยวน หนูต้องให้ความสำคัญกับลูกมากที่สุดอยู่แล้วล่ะค่ะ”
ฉินเพ่ยหรงพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ ทันใดนั้น เธอนึกอะไรขึ้นมาได้จึงเอ่ยถาม “พูดถึงอาหยวน แขนเขาเป็นอะไรไป?”
“แขนเป็นอะไรเหรอคะ?” เฉียวซือมู่ทำหน้างุนงง
ฉินเพ่ยหรงเลิกคิ้วขึ้นอย่างไม่พอใจ เสียงแหลมขึ้นหลายเดซิเบล “เธออยู่กับเขาแต่ไม่รู้ว่าเขาบาดเจ็บที่แขนอย่างนั้นเหรอ? เธอนี่มัน…”
เธอเกือบจะหลุดปากต่อว่าเฉียวซือมู่ แต่คิดถึงลูกในท้องของอีกฝ่ายแล้วก็ต้องฝืนใจเก็บอาการเอาไว้
หมอที่โรงพยาบาลเป็นคนรายงานเรื่องที่จิ้นหยวนได้รับบาดเจ็บที่แขนให้เธอรู้ แม้จะเป็นแผลเล็กๆ แต่คนเป็นภรรยาอย่างเธอทำไมถึงไม่รู้เรื่อง? นี่เธอไม่ดูแลเอาใจใส่ลูกชายตนขนาดนี้เลยเชียวหรือ?”
เธอครุ่นคิดในใจ เธออุตส่าห์มองเฉียวซือมู่ดีขึ้นเพราะหลานในท้องแล้วแท้ๆ เชียว แต่ตอนนี้กลับรู้สึกโมโหขึ้นมาอีก
เฉียวซือมู่กลับทำหน้างงงัน “เขาบาดเจ็บเหรอคะ? ตั้งแต่เมื่อไหร่? หนูไม่เห็นรู้เรื่องเลยค่ะ”
ก่อนตายหร่วนเซียงเซียงใช้มีดสั้นแทงจิ้นหยวนจนเขาได้รับบาดเจ็บที่แขน เขาปิดบังเธอเพราะไม่ต้องการให้เธอเป็นห่วง จึงทำแผลลวกๆ ด้วยตัวเอง คิดไม่ถึงเลยว่าวันที่พาเฉียวซือมู่ไปตรวจครรภ์ที่โรงพยาบาลจะถูกหมอรู้เข้า และนำเรื่องนี้ไปรายงานให้ฉินเพ่ยหรงทราบ
ส่วนเฉียวซือมู่กลับไม่รู้อีโหน่อีเหน่อะไรเลย พอถูกฉินเพ่ยหรงซักไซ้ไล่เลียงจึงจับต้นชนปลายไม่ถูก
ฉินเพ่ยหรงสูดหายใจลึก เห็นลูกสะใภ้ตรงหน้าขัดหูขัดตาไปหมด สามีของตัวเองได้รับบาดเจ็บแท้ๆ แต่ตัวเองกลับไม่รู้เรื่องอะไรเลยเนี่ยนะ แล้วจะเป็นภรรยาที่ดีได้อย่างไร? อาหยวนชอบเธอตรงไหนกันแน่? แล้วดูท่าทางไม่อินังขังขอบนั่นสิ!
มันทำให้เธออารมณ์ขึ้นจริงๆ
ตอนที่ 469 เธอไม่ดูแลเอาใจใส่อาหยวน
เธอพยายามสะกดกลั้นความโกรธในใจ คอยเตือนตัวเองว่าห้ามระเบิดอารมณ์ออกมาเด็ดขาด จึงกลั้นใจเอ่ยออกมา “ฉันยังมีธุระที่อื่นอีก ขอตัวกลับก่อนก็แล้วกัน”
น้ำเสียงเย็นชาแตกต่างจากความกระตือรือร้นในยามแรกอย่างสิ้นเชิง
เฉียวซือมู่ยังคงงงงวยไม่หาย เห็นท่าทางเย็นชาของฉินเพ่ยหรงแล้วยิ่งงงหนักเข้าไปอีก ได้แต่ลุกขึ้นตามมารยาทแล้วส่งเธอกลับ
ฉินเพ่ยหรงคิดว่าตนทำดีกับเธอมากขนาดนี้แล้ว แต่เธอไม่แม้แต่จะพูดรั้งตนสักคำ ทำให้ยิ่งไม่พอใจหนักเข้าไปใหญ่
เธอกลับถึงบ้านพร้อมอารมณ์กรุ่นโกรธไม่หาย เธอนั่งลงบนโซฟาพลางเอ่ยกับจิ้นเฮ่าที่กำลังก้มหน้าก้มตาเล่นหมากล้อม “ฉันล่ะไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมอาหยวนถึงชอบผู้หญิงคนนั้นมากขนาดนั้น มันน่าโมโหจริงๆ”
จิ้นเฮ่าชายตาขึ้นมองเธอแวบหนึ่ง “คุณเป็นอะไรไปอีก?”
เธอเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “ตอนแรกก็ยังดีๆ อยู่หรอก แต่พอฉันถามว่าอาหยวนได้รับบาดเจ็บที่แขนได้ยังไง เธอกลับไม่รู้เรื่องอะไรเลย นี่มันปกติเหรอ? พวกเขาเป็นผัวเมียกันนะ อยู่ด้วยกันทุกวัน ผัวตัวเองบาดเจ็บยังไม่รู้เรื่องอีก ในฐานะภรรยา มันใช้ได้ที่ไหน?”
จิ้นเฮ่าขมวดคิ้วเล็กน้อย “หมอก็บอกแล้วไม่ใช่หรือไงว่าแผลเขาหายดีแล้ว คุณเองก็เลิกโมโหได้แล้ว ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรสักหน่อย”
“เหลวไหล ถ้าอาการสาหัส ป่านนี้ฉันก็ไม่อยู่ที่บ้านแล้ว ที่ฉันโมโหไม่ใช่เพราะอาหยวนบาดเจ็บ แต่ฉันโมโหเพราะอาหยวนเจ็บตัวแต่คนเป็นเมียอย่างเธอกลับไม่รู้เรื่องอะไรด้วยเลย มันใช้ได้เหรอ? แสดงว่าเธอไม่ได้ดูแลเอาใจใส่ลูกชายเราเลย โถ่เอ๊ย…” เอ่ยพลางถลึงตาใส่สามีตน “เป็นเพราะคุณคนเดียวเลย เอาแต่พูดเรื่องดีๆ ของเธอ จนฉันทำอะไรไม่ลง ไม่อย่างนั้น ป่านนี้ฉันคงเฉดหัวเธอออกจากบ้าน แล้วหาผู้หญิงคนใหม่ที่ดีกว่าให้อาหยวนไปนานแล้ว เฮอะ!”
จิ้นเฮ่ายังคงเล่นหมากล้อมอย่างใจเย็น “คุณแน่ใจเหรอว่าไล่เธอไปแล้วลูกชายจะไม่แตกหักกับคุณน่ะ? อีกอย่าง คุณเองก็เลิกโมโหได้แล้ว อย่างน้อย เธอก็มีหลานให้คุณสมใจแล้วนี่ คุณไม่ดีใจหรือไง?”
“ฮึ ฉันไม่เชื่อหรอกว่าคุณเองก็ไม่อยากจะอุ้มหลาน” พูดถึงหลานที่พวกเธอเฝ้ารอคอยมานานหลายปีแล้วความกรุ่นโกรธก็บรรเทาลงไม่น้อย หลังจากได้บ่นระบายความอัดอั้นตันใจออกมาแล้ว ทำให้เธอใจเย็นลงไม่น้อย “ถือว่าเธอยังพอมีประโยชน์อยู่บ้าง ไม่งั้นฉันคงเฉดหัวเธอออกจากบ้านนานแล้ว”
“จะว่าไปก็แปลก ก่อนหน้านี้หมอบอกว่าเธอมีลูกยากไม่ใช่เหรอ? ทำไมถึงท้องเร็วอย่างนี้ล่ะ?”
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน หมอบอกแค่ว่าร่างกายเธอฟื้นตัวได้ดี อีกอย่าง เรื่องที่บอกว่ามีลูกยากมันก็แค่มีความเป็นไปได้เท่านั้น ไม่ได้หมายความว่ามีลูกไม่ได้สักหน่อย หมอบอกแบบนั้น ฉันเองก็ฟังไม่ค่อยรู้เรื่องหรอก” ฉินเพ่ยหรงโบกมือน้อยๆ อย่างรำคาญใจ ช่างปะไร แค่เธอมีหลานให้พวกเธออุ้มก็เป็นเรื่องที่ดีที่สุดแล้ว
จิ้นเฮ่าครางเสียงฮึ “พวกหมอไม่ได้เรื่องก็พูดได้ทุกอย่าง เดี๋ยวก็บอกอย่างนู้น เดี๋ยวก็พูดอย่างนี้ มิน่า ถึงรักษาผมไม่หายสักที”
ฉินเพ่ยหรงชะงักเล็กน้อย รีบกวาดตามองสำรวจสามีตนทันที “คุณไม่สบายอีกแล้วใช่ไหม?”
“เปล่า แค่บ่นไปอย่างนั้นเอง คุณไม่ต้องเป็นห่วงหรอก” เขาเอ่ยเสียงเรียบ
เธอถอนใจโล่งอก “ฉันก็คิดว่า… คราวก่อนอาหยวนบอกว่าจะหาหมอเก่งที่มีชื่อเสียงมารักษาคุณ ไม่รู้ว่าจะได้ผลหรือเปล่า”
“จะอยู่หรือตายอยู่ที่ชะตาฟ้าลิขิต คุณไม่ต้องกังวลมากเกินไป ตอนนี้ผมไม่อยากจะคิดอะไรทั้งนั้น แค่ได้เห็นหน้าหลานสักครั้งก็พอใจแล้ว”
“พูดบ้าอะไรน่ะ อยากจะอุ้มหลานก็ต้องมีชีวิตยาวๆ สิ” ฉินเพ่ยหรงมองสามีตนอย่างไม่ค่อยพอใจนัก
จิ้นเฮ่าเพียงแค่ยิ้มบางๆ เท่านั้น
เขาก็ต้องอยากมีชีวิตยืนยาวเป็นเรื่องธรรมดา แต่เรื่องความเป็นความตายไม่ใช่สิ่งที่สามารถกำหนดได้ด้วยตนเอง มิเช่นนั้น โลกนี้คงวุ่นวายน่าดู