ตอนที่ 486 คิดว่าอย่างไรล่ะ
เฉียวซือมู่กินบะหมี่อย่างใจลอย อดคิดถึงจิ้นหยวนไม่ได้
ไม่รู้ว่าตอนนี้เขาคุยกับแม่สามีได้เรื่องว่าอย่างไรบ้าง? จะราบรื่นหรือไม่?
เธอกินพลางคิดพลางจนบะหมี่หมดชามแล้วนั่งรออีกสักพัก จนแล้วจนรอดก็ยังไม่เห็นเขากลับมาเสียที
เธอจึงตัดสินใจลงไปดูสถานการณ์ข้างล่างเสียหน่อย
เธอเก็บชามเปล่าใส่ถาด หากพวกเขาเห็นเธอ เธอจะได้มีข้ออ้างบอกว่าเอาชามเปล่าไปเก็บ
เมื่อลงไปถึงชั้นล่าง ทุกอย่างกลับไม่ได้ดำเนินไปดั่งเช่นที่เธอจินตนาการเอาไว้ จิ้นหยวนสีหน้าสงบ ส่วนฉินเพ่ยหรงกำลังมองลูกชายยิ้มๆ ท่าทางสองคนกำลังคุยกันอย่างมีความสุข
เธอรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย จากนั้นค่อยรู้สึกสบายใจขึ้น แม้เธอจะไม่ค่อยชอบแม่สามีของตนคนนี้สักเท่าไหร่ เพราะแม่สามีมักจะบังคับจิตใจเธอจนเธอรู้สึกอึดอัดอยู่บ่อยๆ แต่เธอก็ไม่ต้องการกลายเป็นตัวต้นเหตุที่ทำลายความสัมพันธ์ระหว่างจิ้นหยวนกับแม่สามีให้แย่ลง อย่างไรเสีย พวกเขาก็เป็นแม่ลูกกัน
เธอถอนใจโล่งอกเบาๆ เธอไม่ต้องการรบกวนพวกเขา จึงค่อยๆ หมุนตัวเดินไปยังห้องครัวอย่างเงียบเชียบ จากนั้นส่งถาดใส่ชามเปล่าให้สาวใช้
เธอเดินออกจากห้องครัว เห็นจิ้นหยวนยังคงนั่งคุยอยู่กับฉินเพ่ยหรงเหมือนเดิม เธอรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย แอบคิดว่าทั้งสองอาจจะคุยกันไม่ราบรื่นเสียแล้ว
เธอเองก็ไม่รู้ว่าเหตุใดจึงรู้สึกเช่นนั้น แต่เธอรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ
เธอคิดๆ แล้วตัดสินใจเดินขึ้นบันไดอีกฝั่งเพื่อตรงไปยังห้องหนังสือแทน
ตอนนี้เธอคิดได้แล้วว่าร่างกายตนในยามนี้ไม่เหมาะที่จะออกไปทำงานนอกบ้าน จึงหาอะไรทำสร้างความบันเทิงให้ตนเองอยู่ที่บ้านดีกว่า เช่น การแสดงความคิดเห็นต่อเรื่องที่กำลังเป็นที่สนใจตามหน้าเว็บไซต์ต่างๆ ก็ไม่เลวเหมือนกัน
แต่คืนนี้เธอไม่ค่อยมีอารมณ์สักเท่าไหร่ เธอเปิดคอมพิวเตอร์ ตอบข้อความบางส่วนแล้วเข้าสู่สภาวะเหม่อลอยอีกครั้ง
ไม่รู้ว่าพวกเขาคุยอะไรกันบ้าง เหตุใดจนป่านนี้แล้วจึงยังไม่ได้ข้อสรุปเสียที?
คิดไปคิดมาแล้วได้แต่ส่ายศีรษะกับตนเอง เธอรวบรวมสมาธิแล้วจดจ่อกับคอมพิวเตอร์ตรงหน้าอีกครั้ง
ตอนนี้เธอเป็นคนตกงานที่ใช้ชีวิตน่าเบื่อไปวันๆ โดยการดูซีรีส์ หรือไม่ก็คุยกับเพื่อนๆ ทางออนไลน์ และเล่นเกมบ้างเป็นครั้งคราว ครั้งหนึ่ง เธอแสดงความคิดเห็นต่อข่าวที่กำลังเป็นที่สนใจของสังคมในขณะนั้น ความสามารถในการเรียบเรียงบทความที่ได้จากการสั่งสมประสบการณ์จากการทำงานบรรณาธิการเกิดประโยชน์สูงสุด จนทำให้ความคิดเห็นของเธอได้รับความสนใจจากชาวสังคมออนไลน์เป็นอย่างมาก และความคิดเห็นของเธอยังถูกส่งต่ออีกตั้งหลายครั้ง
หลังจากรับรู้ข่าวนี้แล้ว เธอจึงตัดสินใจสมัครสมาชิกเวยป๋อ เธอแสดงความคิดเห็นต่อข่าวที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน เนื่องจากมุมมองที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว บวกกับฝีไม้ลายมือที่เฉียบคม ทำให้ค่อยๆ เริ่มมีคนติดตามเธอเพิ่มมากขึ้น
เรื่องที่เกิดขึ้นทำให้เธอรู้สึกเหมือนตนค้นพบโลกใหม่ เธอจึงพยายามทำมันให้ดีที่สุด
เพราะในชีวิตที่แสนน่าเบื่อเช่นนี้ มันเป็นสิ่งเดียวที่สามารถสร้างความตื่นเต้นและความสนใจให้กับเธอได้มากที่สุดแล้ว
ตอนนี้ได้เวลากลับเข้าเรื่องแล้ว
เธอคิดว่ารอต่อไปแบบนี้คงเสียเวลาเปล่า จึงตัดสินใจลงมือทำงานของตนเองดีกว่า เธอจึงเริ่มแสดงความคิดเห็นต่อข่าวบันเทิงข่าวหนึ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ
เธอเริ่มลงมือพิมพ์แสดงความคิดเห็น “… จากทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวมาข้างต้น ฉันคิดว่าคนทุกคนมีชีวิตและไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างกัน ทั้งยังมีภูมิหลังครอบครัวและนิสัยที่ไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้น ทุกคนจึงไม่จำเป็นต้องร้อนรนใจมากเกินไป แค่รอบทสรุปอยู่เงียบๆ บางทีมันอาจจะเป็นวิธีที่ไม่เลวเลยก็ได้…”
ขณะที่เธอกำลังพิมพ์ข้อความอย่างรวดเร็วอยู่นั้น จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงดังอยู่นอกประตูห้อง เธอชะงักมือ หยุดพิมพ์ข้อความที่เหลือ
เธอเงยหน้าขึ้นเห็นจิ้นหยวนเดินเข้ามาในห้องพอดี เขาเดินมาหยุดยืนข้างเธอแล้วมองดูหน้าจอคอมพิวเตอร์แวบหนึ่ง “คุณเขียนอะไรพวกนี้อีกแล้วเหรอ”
เธอพยักหน้าเบาๆ “แค่เขียนเล่นๆ น่ะค่ะ พวกคุณคุยกันได้เรื่องว่าไงบ้างคะ?”
เขาเลิกคิ้วมองเธอ “แล้วคุณคิดว่าไงล่ะ?”
ตอนที่ 487 ท่านเป็นแม่คุณ
“ฉันเห็นบรรยากาศการคุยกันระหว่างพวกคุณดีมาก บางทีผลที่ออกมาอาจจะไม่เหมือนกับที่ฉันคิดเอาไว้ก็ได้” เธอมองเขาตาโต
“ฉลาด” เขาลูบผมเธอเบาๆ ไม่เอาเรื่องที่เธอเพิ่งแสดงความคิดเห็นในโลกออนไลน์มาใส่ใจสักนิด
“รีบพูดมาเร็ว” เธอจ้องเขาตาโต “คุณนี่ลีลาเยอะจริง”
เขาส่ายศีรษะอย่างปลงๆ ให้กับท่าทางร้อนรนใจของเธอ “คุณอย่าใจร้อนขนาดนั้นสิ”
“พูดมาก จะพูดไม่พูด” เธอวางมือลงบนเอวเขาอย่างข่มขู่ สีหน้าเจ้าเล่ห์
จิ้นหยวนหน้าเกร็งทันที จับมือเธอเอาไว้ในฝ่ามือใหญ่ของตนแทน “ยัยตัวร้าย”
ชายตรงหน้าคนนี้เป็นคนแข็งกร้าวจนคนนอกอ่านความรู้สึกเขาไม่ออก แต่ไม่ใช่สำหรับคนในครอบครัวและเฉียวซือมู่
เช่น เฉียวซือมู่รู้จุดอ่อนข้อหนึ่งของเขา นั่นก็คือ เขากลัวการถูกจั๊กจี้มาก โดยเฉพาะที่เอว ซึ่งถือเป็นส่วนต้องห้ามเลยทีเดียว
เขาถอนหายใจอยู่ในอก ภรรยาสุดที่รักของเขานี่ร้ายจริงๆ เขากอบกุมมือนุ่มนิ่มทั้งสองข้างของเธอเอาไว้ในฝ่ามือใหญ่ของตน ลังเลเล็กน้อยก่อนเอ่ยขึ้น “ความจริงผมกับคุณแม่คุยกันด้วยดี ท่านเป็นห่วงคุณ แต่วิธีที่ใช้อาจจะไม่ค่อยเหมาะสมสักเท่าไหร่ก็เท่านั้นเอง”
หัวใจเธอหนักอึ้งขึ้นมาทันทีที่ได้ยินเขาพูดเช่นนั้น เธอมองเขานิ่ง “คุณหมายความว่า…”
“ผมบอกคุณแม่แล้วว่าขอให้ท่านไม่ต้องยุ่งเรื่องของเราให้มากนัก ท่านไม่พอใจมาก แต่ก็ยอมรับปาก แต่คุณแม่ก็บอกว่า ถึงจะไม่ได้มาที่นี่ทุกวัน แต่ท่านก็อยากจะมาเห็นหน้าหลานบ้าง เพราะฉะนั้น ต่อไปท่านยังจะแวะมาบ้าง แต่จะไม่เข้ามายุ่งเรื่องของเราอีก” เขาเอ่ยเสียงเบา รู้สึกว่าข้อตกลงนี้ไม่เลวเหมือนกัน
บางอย่างเขาเองก็เห็นด้วยกับสิ่งที่คุณแม่พูด เช่น เขางานยุ่งมากจึงไม่ค่อยมีเวลาอยู่บ้านเป็นเพื่อนเธอ ตอนนี้สถานการณ์ข้างนอกยังไม่คงที่ เธอจึงออกไปข้างนอกบ่อยๆ ไม่ได้ เช่นนั้น คุณแม่ก็สามารถมาเยี่ยมเธอบ่อยๆ จะได้คอยจับตาดูพวกคนใช้ทำงานด้วย
แม้ภายนอกเฉียวซือมู่จะดูเป็นคนที่เข้าถึงยากไปหน่อย แต่ความจริงแล้วเธอเป็นคนใจอ่อนและจิตใจดีมาก เขาถึงได้ชอบเธอมาก ซึ่งนิสัยเช่นนี้ทำให้ตกเป็นเหยื่อของคนอื่นได้ง่ายๆ ดังนั้น หากคุณแม่แวะมาดูแลเธอบ่อยๆ และช่วยอบรมสั่งสอนคนใช้ในบ้านก็เป็นเรื่องที่ไม่เลวเหมือนกัน
อีกอย่าง ประสบการณ์ของคนที่อาบน้ำร้อนมาก่อนก็สำคัญมากเช่นเดียวกัน
เขาเห็นท่าทางไม่ค่อยพอใจนักของเธอแล้วตัดสินใจไม่พูดสิ่งที่คิดออกมาอย่างชาญฉลาด เขาเพียงแค่ลูบศีรษะเธอเบาๆ “คุณโกรธเหรอ?”
เธอส่ายศีรษะเบาๆ “เปล่าค่ะ ฉันไม่ได้โกรธ แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน เพราะยังไงท่านก็เป็นคุณแม่ของคุณ และเป็นแม่สามีของฉันด้วย”
ความจริงเธอไม่พอใจจริงๆ นั่นแหละ แต่เขาพูดถึงขนาดนี้แล้ว เธอเองก็เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้เสียด้วย จึงเลือกที่จะเงียบดีกว่า
จิ้นหยวนรั้งเธอเข้าไปกอดพลางตบหลังเธอเบาๆ “ความจริงเมื่อก่อนท่านเป็นคนที่นิสัยดีมากเลยนะ อาจเป็นเพราะตอนนี้อายุมากแล้ว ก็เลยหัวรั้นมากขึ้น คนแก่ก็อย่างนี้แหละ ปากร้ายใจดี คุณอยู่กับท่านนานๆ ไปก็จะเข้าใจเอง”
“อืม คุณสบายใจเถอะค่ะ ฉันจะเข้ากับท่านให้ได้” เธอซบหน้ากับอกเขาอย่างว่าง่าย สีหน้าเด็ดเดี่ยว จิ้นหยวนโล่งอกราวยกภูเขาออกจากอก แต่เธอกลับไม่มั่นใจเลยว่าสามารถทำได้อย่างที่พูดหรือไม่
นิสัยคนเรานั้นแก้ยาก ฉินเพ่ยหรงเป็นประเภทชอบควบคุมทุกอย่างจนเคยตัว แล้วจะยอมรามือง่ายๆ หรือ?
เธอคิดว่าเรื่องนี้คงไม่ง่ายนักหรอก
เห็นท่าทางมั่นอกมั่นใจของเขาแล้วเธอก็ได้แต่กลืนคำพูดพวกนั้นลงคอ
อย่างไรเสียเธอก็มียันต์คุ้มครองอยู่กับตัว ถ้ายุ่งยากนัก เธอก็หลบอยู่แต่ในห้องก็แล้วกัน