ตอนที่ 172 กลับไปทำงาน
เช้าวันรุ่งขึ้น ทั้งสองกลับไปใช้ชีวิตสงบสุขเหมือนก่อนที่จะเกิดเรื่อง เฉียวซือมู่กลับไปทำงานที่บริษัทเหมือนเดิม
แต่พอเธอก้าวเข้าไปในออฟฟิศปุ๊บก็รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างผิดปกติปั๊บ
เพื่อนร่วมงานของเธอทั้งประหลาดใจทั้งดีใจที่เห็นเธอกลับมา ต่างกรูกันเข้าไปถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกับเธอไม่ขาดสาย เธอกวาดสายตามองไปทั่วแล้วพบว่ามีใครคนหนึ่งหายไป
เฝิงเจ๋อนั่นเอง…
เธอนึกถึงเรื่องที่จิ้นหยวนไปตรวจสอบมาแล้วถึงกับถอนหายใจหนักๆ เธอคิดในใจ ไม่ว่าหรงเซียวจะตัดใจจากเฝิงเจ๋อได้หรือยัง อีกเดี๋ยวเธอก็ต้องบอกความจริงให้หรงเซียวรู้
เพื่อนร่วมงานต่างพากันรายล้อมตัวเธอเพื่อถามโน่นนั่นนี่ เรื่องที่เกิดขึ้นกับเธอก่อนหน้านั้นไม่ได้ถูกแพร่งพรายให้คนนอกรู้ ทุกคนรู้เพียงแค่ว่าเธอไม่สบาย แถมงานเลี้ยงประจำปีเธอยังดื่มจนเมาอีก และเพราะเธอมีแฟนที่เพียบพร้อมขนาดนั้นจึงทำให้ไม่มีใครระแวงสงสัยในตัวเธอ
เพียงแต่ความกระตือรือร้นของทุกคนกลับแฝงความผิดปกติเอาไว้บนใบหน้าจนทำให้เธอรู้สึกสงสัย ในที่สุดหรงเซียวก็เป็นคนลากตัวเธอออกไปแล้วเอ่ยขึ้น “พี่ยังไม่รู้เหรอคะ?”
“ไม่รู้อะไร?” เธอจับต้นปลายไม่ถูก
หรงเซียวมองเธอด้วยความประหลาดใจ “ก็เรื่องที่ บ. ก. ต้วนลาออกนะสิคะ”
“ไม่ใช่มั้ง? ทำไมพี่ไม่รู้เรื่องเลยล่ะ?” เฉียวซือมู่หน้าถอดสี
หรงเซียวรู้สึกแปลกใจมาก เรื่องใหญ่ขนาดนี้เฉียวซือมู่ที่เป็นถึงหุ้นส่วนใหญ่ไม่น่าจะไม่รู้นี่นา นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
เฉียวซือมู่รู้สาเหตุทันที เธอหน้าเข้มขึ้น “พี่รู้แล้ว เธอไปทำงานเถอะ” เธอฝืนยิ้มให้หรงเซียว
หรงเซียวเป็นคนว่านอนสอนง่ายมาตลอด พอได้ยินคำพูดของเธอแล้วถึงจะไม่เข้าใจแต่ก็ยอมกลับไปทำงานที่โต๊ะของตัวเองโดยดี เฉียวซือมู่เดินเข้าไปในห้องทำงานที่ไม่ได้ใช้งานมานานของตัวเอง สิ่งแรกที่เธอทำไม่ใช่เปิดคอมพิวเตอร์หากแต่โทรศัพท์หาจิ้นหยวนแทน
เสียงของจิ้นหยวนดังลอดมาตามสาย “ที่รัก คุณกำลังทำอะไรอยู่?”
เธอกดเสียงต่ำแล้วเอ่ยอย่างมีน้ำโห “ต้วนฉี่รุ่ยลาออกกะทันหันเป็นฝีมือคุณอีกหรือเปล่า?”
จิ้นหยวนคาดการณ์เอาไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่าเธอจะต้องถามแบบนี้จึงตอบกลับ “คุณรู้ได้ยังไงว่าเป็นฝีมือผม?”
“นอกจากคุณแล้วยังมีใครที่สามารถทำให้คนเขาลาออกโดยไม่บอกไม่กล่าวสักคำได้อีก?” ยิ่งรู้จักเขาเธอก็ยิ่งรู้สึกตกใจกับวิธีการของเขามากขึ้น เธอเคยได้บทเรียนจากเรื่องของเฝิงเจ๋อแล้ว คราวนี้พอได้ยินข่าวนี้เธอก็นึกถึงเขาขึ้นมาทันที
“ขอบคุณสำหรับคำชม”
ดูเหมือนจิ้นหยวนอารมณ์ดีไม่น้อย เสียงทุ้มต่ำและเซ็กซี่ของเขาดังลอยมาเข้าหูเธอจนทำให้เธอหน้าแดงซ่าน “คุณไม่ต้องมาเฉไฉเลยนะ บอกมาเดี๋ยวนี้เลยว่าทำไมคุณถึงทำแบบนี้?”
จิ้นหยวนไม่พูดเล่นอีก “คุณคิดว่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับคุณเขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเลยงั้นเหรอ?”
“คุณหมายความว่ายังไง?” หัวใจเธอกระตุกวูบ
“ก็หมายความตามที่พูดนั่นแหละ คุณคิดว่าใครเป็นคนอนุญาตให้เฝิงเจ๋อกลับมาร่วมงานเลี้ยง แล้วใครเป็นคนจัดเตรียมค็อกเทลผสมยาแก้วนั้น? คุณคิดว่าเป็นฝีมือของจ้านซีเยวี่ยคนเดียวอย่างนั้นเหรอ? จ้านซีเยวี่ยมีปัญญามากพอที่จะยื่นมือเข้ามาแทรกแซงกิจการภายในของบริษัทที่ตัวเองลาออกไปแล้วอย่างนั้นเหรอ?”
“คุณหมายความว่า… ต้วนฉี่รุ่ยก็…” เธอหายใจกระชั้นถี่ ถึงปากเธอจะเอ่ยถามด้วยความไม่แน่ใจ แต่ในใจเธอกลับเชื่อสิ่งที่เขาพูดไปแล้ว
คืนนั้นเธอไม่เห็นแม้แต่เงาของต้วนฉี่รุ่ยซึ่งมันไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย ในฐานะที่เขาเป็นถึงผู้บริหารระดับสูง มันใช้ได้เหรอที่เขาไม่ปรากฎตัวในงานเลย อีกอย่าง เรื่องที่เขาอนุญาตให้เฝิงเจ๋อกลับมาร่วมงานเลี้ยงประจำปีก็เหมือนจะไม่ใช่เรื่องที่เขาน่าจะทำจริงๆ ด้วย
ถ้าเช่นนั้นก็หมายความว่าเขาร่วมมือกับจ้านซีเยวี่ยจริงนะสิ ทำแบบนี้แล้วเขาจะได้อะไร?
“ได้อะไรอย่างนั้นเหรอ? ก็คงหนีไม่พ้นเรื่องเงินกับอำนาจล่ะมั้ง หรือบางทีจ้านซีเยวี่ยอาจจะกุมความลับบางอย่างของเขาเอาไว้ ไม่อย่างนั้นเขาจะกล้าเสี่ยงอันตรายลงมือทำร้ายคุณเหรอ?” เขาเอ่ยเสียงเนิบนาบ แต่คำพูดแต่ละคำกลับตอกย้ำลงกลางใจเธอ
เธอกัดริมฝีปากแน่น เธอรู้จักต้วนฉี่รุ่ยนานพอสมควรจึงพอจะรู้อุปนิสัยของเขา เขาเป็นคนวิสัยทัศน์แคบ ละโมบโลภมาก หูเบา สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นข้อด้อยของเขา เพราะฉะนั้นจึงมีความเป็นไปได้สูงที่เขาจะทำผิดเพราะข้อด้อยเหล่านี้
เธอแค่คิดว่าต้วนฉี่รุ่ยเลอะเทอะไปบ้าง แต่ไม่คิดเลยว่าเขาจะเลอะเทอะหนักขนาดนี้ เขาน่าจะรู้ตัวดีว่าตัวเองมีความสำคัญต่อกองบรรณาธิการนี้อย่างไร เธอเองก็มีคนคอยหนุนหลังอยู่จึงไม่เคยคิดว่าเขาจะโง่เง่าจนถึงขั้นกล้าคิดร้ายกับเธอ แต่ความจริงก็ตบหน้าเธออย่างไม่ปรานี อีกนิดเดียวเท่านั้น ถ้าไม่ใช่เพราะเฝิงเจ๋อกลับตัวกลับใจในวินาทีสุดท้ายแล้วล่ะก็ ป่านนี้เธอคงถูก…
เมื่อคิดถึงตรงนี้แล้วความโกรธเกลียดในใจก็ปะทุขึ้นมาทันที ต้วนฉี่รุ่ยไม่รู้เลยหรือว่าผู้หญิงที่ต้องเผชิญเรื่องเลวร้ายแบบนั้นจะหวาดกลัวมากขนาดไหน? นี่เขาไม่เห็นแก่มิตรภาพอันยาวนานระหว่างเพื่อนร่วมงานบ้างเลยเหรอ?
จิ้นหยวนได้ยินเสียงหายใจกระชั้นถี่ของเธอแล้วรู้ทันทีว่าเธอคงกำลังโกรธมาก เขาชักจะเสียใจขึ้นมาแล้วสิที่บอกเรื่องนี้ให้เธอรู้เร็วเกินไป เขาเอ่ยเสียงอ่อนโยน “ผมให้เขาลาออกไปแต่โดยดีแล้ว ต่อไปจะไม่มาให้คุณเห็นหน้าอีก คุณสบายใจได้”
ความจริงแล้วเขาไม่ได้ปล่อยให้ต้วนฉี่รุ่ยลาออกง่ายๆ อย่างที่พูด แต่เขาไม่อยากให้เธอรู้วิธีโหดร้ายที่ตัวเองใช้ต่างหาก ตอนนี้เขาได้ยินเสียงเธอแล้วรู้ว่าเธอกำลังเสียใจ เขาจึงตัดสินใจอย่างแน่วแน่ว่าต้องคิดบัญชีต้วนฉี่รุ่ยให้ได้
เฉียวซือมู่รู้อยู่แล้วว่าจิตใจของคนเรานั้นน่ากลัวมากแค่ไหน แต่เธอคิดไม่ตกเลยว่าทำไมเรื่องทุกอย่างมันถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้ เธอกลุ้มใจไม่หาย สุดท้ายคุยกับจิ้นหยวนอีกชั่วครู่จึงวางสายไป
เธอมองไปทางห้องทำงานของต้วนฉี่รุ่ยแวบหนึ่งเพราะคิดว่าเขากำลังเก็บของอยู่ในห้อง ไม่รู้ว่าเธอเอาความกล้ามาจากไหน ทันใดนั้น เธอตัดสินใจลุกขึ้นแล้วเดินไปเคาะประตูห้องทำงานของต้วนฉี่รุ่ย จากนั้นเปิดประตูเข้าไปโดยไม่รอคำอนุญาตจากเขา
สีหน้าของต้วนฉี่รุ่ยเคร่งเครียด เขาไม่ได้กำลังเก็บของอย่างที่เธอคิดเอาไว้ แต่เขากำลังนั่งจมอยู่ในความคิดของตัวเองอยู่หลังโต๊ะทำงาน เขาตกใจที่เห็นเธอเดินเข้ามาในห้องโดยพลการ จากนั้นเอ่ยเสียงเข้ม “ทำไมไม่เคาะประตูก่อน?”
เฉียวซือมู่ปิดประตูห้องแล้วมองเขาตาเขม็งไม่พูดไม่จา ยามแรกเขายังกล้าจ้องเธอกลับอย่างอกผายไหล่ผึ่ง แต่ตอนหลังสายตาของเธอคมกริบจนเขาทนไม่ไหวต้องเป็นฝ่ายเบือนหน้าหนีไปทางอื่นแทน เขาเอ่ยเสียงอ่อนลง “คุณคิดจะทำอะไรน่ะ?”
เฉียวซือมู่สูดหายใจเข้าปอดลึกๆ เธอเข้าใจความหวังดีของจิ้นหยวนที่ไม่อยากให้คนที่คิดจะทำร้ายเธออยู่ใกล้ตัวเธอ เพราะฉะนั้นวิธีที่ดีที่สุดก็คือพยายามอยู่ให้ห่างจากเขาให้มากที่สุด
แต่เธออึดอัดใจมาก ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องมาถามให้รู้เรื่อง
เธอเดินหน้าช้าๆ วางสองมือลงยันโต๊ะเอาไว้ สายตาจับจ้องเขาตาไม่กะพริบ “เพราะอะไรคะ?”
เขาเบือนสายตาหนีด้วยความกระอักกระอ่วนใจ “อะไรเพราะอะไร? คุณถามอะไรผมไม่เห็นรู้เรื่องเลย”
แม้ก่อนหน้านี้เฉียวซือมู่จะยังไม่ค่อยแน่ใจนัก แต่พอมาเห็นท่าทางเหมือนวัวสันหลังหวะของเขาแล้วจึงแน่ใจในทันที เขาต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องที่เกิดขึ้นกับเธอในคืนนั้นอย่างแน่นอน
เธอสูดหายใจเข้าปอดลึกๆ พอเห็นว่าเขาก้มหน้าลงด้วยความละอายใจจึงเอ่ยขึ้น “ฉันคิดว่าฉันดีกับคุณมาก แล้วทำไมคุณถึงทำกับฉันแบบนี้?”