ตอนที่ 496 แม่ของหล่อนและคุณนายมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน
นั่นเป็นเรื่องเมื่อตอนที่เจียงจื่อเสียนอายุได้ห้าหกขวบ ตอนนั้นฉินเพ่ยหรงเองก็กำลังสาว ทำอะไรไม่ค่อยคิด พอได้ยินเสียงเพื่อนสนิทในวันวานมาร้องไห้ระบายให้ฟัง มันก็รู้สึกโมโหจนสั่งให้คนไปเอาผิดกับไอ้สารเลวแซ่เจียงนั่น
แน่นอนว่าการที่จะตั้งตัวเป็นศัตรูกับตระกูลจิ้นนั้นมันไม่ใช่เรื่องที่น่าเสี่ยง สุดท้ายแล้ว คนคนนั้นก็ต้องเข้าตะรางไป แต่แม่ลูกทั้งสองคนก็ต้องกลายเป็นหญิงสาวที่ไร้ชายคอยพึ่งพิง ต้องก้าวผ่านทุกวันไปอย่างยากลำบาก
เป็นเพราะว่าความสัมพันธ์ที่มีกับข้าราชการคนนั้นมันไม่ได้ถูกต้องตามหลักธรรมนองคลองธรรม ภรรยาของไอ้หมอนั่นเองมีพ่อแม่คอยหนุนหลัง ทำให้หลังจากนั้นทรัพย์สินทั้งหมดก็ถูกแย่งไป เหลือไว้ให้เพียงเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ชีวิตของทั้งสองคนก็มีแต่ความยากลำบาก ถึงแม้ว่าจะมีฉินเพ่ยหรงคอยช่วยเหลือแต่มันก็ยังไม่ได้มีอะไรดีขึ้นนัก จนถึงตอนนี้บ่อยครั้งที่ฉินเพ่ยหรงเองก็ยังรู้สึกละอายใจ มักจะคิดเสมอว่าเป็นเพราะตอนนั้นตนเองวู่วามเกินไป ทำให้ทุกคนต่างก็ถอยไม่ได้แบบนี้ ถ้าหากว่าเปลี่ยนวิธีละก็ ไม่แน่ว่ามันอาจจะดีกว่านี้ก็ได้
ดังนั้นตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา หล่อนก็รู้สึกผิดและละอายใจต่อฝานหลานหลานและเจียงจื่อเสียนมาโดยตลอด แถมยังคิดว่าอยากจะให้เจียงจื่อเสียนได้แต่งงานกับจิ้นหยวนซะ แต่กลับกลายเป็นว่าเขาไม่ได้สนใจเธอเลยสักนิด
คิดถึงตรงนี้แล้วฉินเพ่ยหรงก็สูดหายใจเข้าลึกๆ ยิ่งได้เห็นเธอน้ำตาไหลนองหน้าแบบนี้ในใจมันก็ยิ่งรู้สึกแย่เข้าไปใหญ่
พอเบนสายตาไปเจอกับท่าทางของเฉียวซือมู่ ในใจหล่อนมันก็ยิ่งมีแต่ความรังเกียจ
ถ้ารู้ว่าอาหยวนจะปักใจแต่กับผู้หญิงคนนี้ละก็ ไม่ว่าตอนนั้นหล่อนจะพูดอะไรก็จะขัดขวางให้หมด
แต่ตอนนี้มันสายไปแล้ว
แต่หล่อนก็ไม่อยากจะคิดหรอก คนที่รู้สึกผิดต่อเจียงจื่อเสียนก็คือหล่อนเอง ไม่ใช่เฉียวซือมู่ แล้วทำไมเธอจะต้องมารับผิดชอบเพราะเห็นแก่ความรู้สึกของหล่อนกันล่ะ? สำหรับเธอแล้ว คำขอโทษแบบนี้มันไม่แปลกไปหน่อยเหรอ แน่นอนว่าคนนิสัยอย่างเธอคงไม่มีทางยอมรับแน่ๆ
อย่างไรเสียเธอก็ไม่ได้ทำอะไรผิด อย่างมากก็แค่น้ำเสียงที่ใช้พูดมันดูโหดร้ายไปเสียหน่อย
แต่ฉินเพ่ยหรงกลับไม่ได้คิดถึงตรงจุดนี้ หล่อนรู้สึกแค่ความโกรธแค้นที่มีอยู่ในใจ หล่อนพยุงเจียงจื่อเสียนแล้วลุกขึ้น ผินหน้ามองแล้วพูด “ดูท่าว่าพวกเราคงไม่เป็นที่ต้อนรับสำหรับเธอเท่าไร อย่างนั้นพวกเรากลับเลยแล้วกัน”
พูดจบก็หมุนตัวพาเจียงจื่อหยวนเดินออกไป ไม่แม้แต่จะกวาดสายตามามองที่เฉียวซือมู่เลยแม้แต่น้อย
เธอลุกขึ้นยืนกะว่าจะเดินไปส่งพวกหล่อน แต่พอฉินเพ่ยหรงเห็นแบบนั้นแล้ว ก็เอ่ยคำถากถางขึ้นมาทันที “เธอนั่งไปนั่นแหละดีแล้ว ยังไงซะตอนนี้เธอก็เป็นคนที่มีค่ามาก เกิดไปกระทบกระแทกไปชนอะไรเข้าแล้วจะทำยังไงล่ะ?”
ฟังๆ ดูแล้วก็ไม่มีอะไร แต่ถ้าลองฟังดูดีๆ ละก็ มันสร้างความรู้สึกไม่พอใจขึ้นมาได้ทันที
คนที่มีค่ามากอะไรกัน?
ได้ยินแบบนั้นก็ยิ่งรู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรมเลยสักนิด อีกนิดตามันก็จะพร่าไปด้วยน้ำตาอยู่แล้ว
เธอไม่รู้เลยจริงๆ ว่าทำไมไม่ว่าเธอจะทำอะไรแม่สามีก็ไม่เคยชอบเธอเลย ทั้งๆ ที่เธอก็ไม่ได้ทำอะไรผิด หรือแม้แต่ครั้งก่อนที่หล่อนทำให้เธอบาดเจ็บจนต้องเข้าโรงพยาบาล เธอก็ไม่เคยที่จะเกลียดหล่อน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องถือโทษกันเลย แต่ถึงแม้ว่าเธอจะทำแบบนั้น หล่อนกลับไม่มีท่าทีที่จะซาบซึ้งเลยแม้แต่น้อย แม้แต่สีหน้าดีๆ ให้กันก็ยังไม่มี
ก่อนหน้านี้เธอยังพอทำโง่เอาคำว่า ‘ยังทำได้ไม่ดีพอ’ ‘ยังพยายามไม่มากพอ’ มาปลอบใจตัวเองได้ แต่พอมาถึงตอนนี้แล้ว พอได้เห็นว่าแม่สามีใส่ใจเอ็นดูคนอื่นมากกว่า แต่กับตัวเธอกลับมีแต่ความรำคาญ มีแค่ความชิงชังแบบนี้แล้ว ในใจของเธอมันก็รู้สึกแย่ไปหมด
บนโลกนี้มักจะมีหลายเรื่องที่ถึงจะทุ่มทุนไปมากเท่าไหร่แต่ก็ไม่เคยที่จะได้รับสิ่งที่หวังกลับมา แต่ก่อนเธอก็เคยได้ยินมาบ้าง แต่ไม่เคยคิดเลย ว่าตัวเองจะมีวันนั้นเหมือนกัน
เธอนั่งนิ่งๆ อยู่บนเก้าอี้อยู่สักพักใหญ่ ท่าทางเศร้าหมองแบบนั้นทำเอาพ่อบ้านที่ไม่ค่อยพูดทนดูต่อไปไม่ไหว เวินเหยียนอันปลอบเธอ “ที่จริงนิสัยคุณนายก็เป็นแบบนั้นอยู่แล้ว คุณนายกับแม่ของคุณเจียงสนิทกันดี เพราะอย่างนั้นถึงได้ใส่ใจเจ้าหล่อนขนาดนั้น จริงๆ แล้วในใจของคุณนายก็ยังดีกับคุณอยู่นะครับ”
ตอนที่ 497 น่าโมโหจริงๆ
เฉียวซือมู่ได้ยินแบบนั้นแล้วก็หัวเราะออกมาเบาๆ “นายคิดว่าพูดแบบนี้แล้วฉันจะเชื่ออย่างนั้นเหรอ?”
แต่ไหนแต่ไรฉินเพ่ยหรงก็ไม่เคยชอบเธออยู่แล้ว ที่ผ่านมาหล่อนมองว่าเธอเป็นแค่สุนัขจิ้งจอกที่มาขโมยลูกชายของตัวเองไปเท่านั้น ไอ้จิตใจดีมันก็อาจจะจริง แต่คนที่หล่อนจะใส่ใจมันไม่มีเธอรวมอยู่ด้วยหรอก
พ่อบ้านไม่ได้พูดตอบอะไร
เธอลองครุ่นคิดนิดหน่อย แล้วนึกถึงอีกประโยคที่พ่อบ้านพูดออกมา “นายบอกว่าคุณแม่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับแม่ของเจียงจื่อเสียนงั้นเหรอ ดีถึงขึ้นไหนกัน?”
ก่อนหน้านี้เธอเองก็เคยเห็นตอนที่แม่ของเจียงจื่อเสียนและฉินเพ่ยหรงเจอกัน แต่ก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจอะไร
แต่พอมาได้ยินแบบนี้แล้ว หรือว่าจะมีอะไรมากกว่านั้น?
พ่อบ้านลังเลเล็กน้อย จะพูดอะไรมากก็ไม่ได้ ตนเองเป็นแค่คนรับใช้ เรื่องที่เกี่ยวกับเจ้านายไม่สามารถที่จะเปิดเผยอะไรได้มาก จึงทำได้แค่พูดคลุมเครือออกไป “ดูเหมือนว่าพวกคุณเขาจะรู้จักกันสมัยวัยรุ่นน่ะครับ หลังจากแต่งงานแล้ว แม่ของคุณเจียงไปเจอกับคนไม่ดีเข้า ผู้ชายที่แต่งงานด้วยไม่ดีเท่าไร พอหลังจากที่เขาเข้าไปแล้ว เหมือนว่าจะไปมีเรื่องกับคนในนั้นจนต้องเสียชีวิตไป ตั้งแต่นั้นมานายหญิงก็คอยดูแลพวกเธอด้วยเห็นแก่ความสัมพันธ์ในวันวาน”
ถึงจะพูดออกไปแค่นั้น แต่ก็สามารถบอกเล่าออกมาได้อย่างเข้าใจและชัดเจน เฉียวซือมู่ที่ได้ฟังแล้วก็เริ่มเข้าใจ ที่แท้ความรู้สึกของเธอก็ไม่เคยผิดเลยจริงๆ ฉินเพ่ยหรงดีกับเจียงจื่อเสียนมากกว่าเธอเสียอีก แล้วใครใช้ให้แม่ของเธอไม่ได้สานสัมพันธ์กับฉินเพ่ยหรงล่ะ?
แต่ก็ไม่ต้องกังวลไป อย่างไรเสียมันก็ไม่ใช่สมัยก่อนแล้วที่จะต้องมาคอยรองรับอารมณ์ของแม่สามีทุกๆ วัน ถ้าเป็นแบบนี้ไม่แน่ว่าหล่อนอาจจะไม่มาที่นี่แล้วก็ได้ เธอจะได้สบายใจสักที
แต่เหมือนว่าเธอจะมองเรื่องนี้ง่ายเกินไปหน่อยแล้ว
ในตอนนั้นเอง ฉินเพ่ยหรงและเจียงจื่อเสียนกลับมาถึงที่คฤหาสน์ตระกูลจิ้นแล้ว
ตอนที่ฉินเพ่ยหรงนั่งลงสีหน้าก็ยังดูไม่สบอารมณ์สุดๆ “มันน่าโมโหจริงๆ อาหยวนแต่งเมียแบบนี้เข้ามานี่มันน่าโมโหจริงๆ เลย”
พูดจริงๆ ที่จริงในใจหล่อนเองก็รู้ว่าเฉียวซือมู่ไม่เคยทำเรื่องอะไรไม่ดีให้ทั้งนั้น อีกทั้งไม่เคยที่จะตอบโต้การกระทำยั่วยุต่างๆ ที่หล่อนทำใส่เธอด้วย แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร หล่อนถึงได้ไม่ชอบเธอ ทุกครั้งที่เห็นหน้าเธอทีไรก็จะหงุดหงิดขึ้นมาทุกที
สาเหตุพวกนี้หลายครั้งที่หล่อนพยายามใจเย็นและคิดถึงมันแต่ก็ต้องรู้สึกแปลกใจ แต่พอถึงสถานการณ์จริงทีไรหล่อนก็ยังหงุดหงิดเหมือนเดิม หรือนี่อาจจะเป็นเพราะพวกเราไม่มีทางเข้ากันได้ แม่สามีกับลูกสะใภ้ต้องเป็นคู่แค้นกันอย่างนั้นเหรอ?
วันนี้ก็เหมือนกัน หล่อนกลับมาบ้านด้วยความโมโห จิ้นเฮ่ามองหล่อนแวบหนึ่งก็ไม่ได้สนใจอีก เขาละไม่เข้าใจภรรยาตัวเองเลยจริงๆ ทั้งๆ ที่โมโหอีกฝ่ายขนาดนี้แต่ก็ยังจะไปที่นั่นอยู่ทุกวัน นี่มันหาเรื่องโมโหเองไม่ใช่เหรอ?
ฉินเพ่ยหรงไม่ทันได้สังเกตเห็นสีหน้าของสามี มาถึงก็นั่งลงแล้วตบมือลงบนโต๊ะตรงหน้า “น่าโมโหจริงๆ”
ถ้าปกติแล้วจิ้นเฮ่าจะไม่พูดอะไรหรอก พวกคนรับใช้เองก็ทำเป็นเหมือนไม่ได้ยินอะไร เป็นแบบนี้แล้วหล่อนคงโมโหอีกสักพักแต่พอเห็นว่าไม่มีคนสนใจก็จะหายโมโหไปเอง แต่วันนี้ไม่เหมือนกัน เพราะข้างหล่อนมีเจียงจื่อเสียนอยู่ด้วย
นั่นคือคนที่อิจฉาหลินซือมู่มากที่สุด พอได้เห็นสถานการณ์แบบนี้ตรงหน้าแล้ว มีเหตุผลอะไรที่จะไม่ใส่ไฟเข้าไปอีก?
หล่อนทำท่าเอาอกเอาใจนั่งลงข้างๆฉินเพ่ยหรง คอยใช้คำพูดเกรงอกเกรงใจตามมารยาทกับฉินเพ่ยหรง คอยใส่ไฟต่างๆ นานา ไม่นานก็ถามคำถามที่อยากรู้เกี่ยวกับเฉียวซือมู่ออกมา แทบเก็บความดีใจในใจไม่ได้เลย
ก่อนหน้านี้เป็นเพราะเรื่องงาน ที่จริงหล่อนเองก็ไม่ได้เจอกับฉินเพ่ยหรงบ่อยเท่าไร คิดแค่ว่าได้ทำงานในบริษัทของจิ้นหยวน ขอแค่ให้ศาลามันใกล้น้ำ[1]ก็พอแล้ว หล่อนไม่เชื่อหรอกว่าบนโลกใบนี้จะยังมีผู้ชายที่ไม่หาเศษหาเลยกับผู้หญิงคนอื่น
ใช่แล้ว ตอนที่หล่อนอยู่เมืองนอกหล่อนเองก็เป็นคนที่ใช้ชีวิตกล้าบ้าบิ่นไม่น้อย แต่แค่ว่าเรื่องอดีตดำมืดเหล่านั้นหล่อนจัดการปกปิดมันได้อย่างดีเยี่ยม ในประเทศนี้ รวมถึงแม่ของหล่อนเองก็ไม่มีทางรู้
[1] ศาลาใกล้น้ำ (ศาลาใกล้น้ำ ย่อมได้รับแสงจันทร์ก่อน) หมายถึงการที่เราไปอยู่ในสถานการณ์ที่เอื้ออำนวย เราจะได้รับผลประโยชน์ก่อนคนอื่น