“อืม” เธอยังคงรู้สึกเศร้าเล็กน้อย แต่เธอเองก็รู้ว่าจิ้นหยวนหวังดีต่อเธอ เธอจึงฮึดทำเป็นร่าเริงแล้วหยอกล้อเขา “ฉันว่านะ คุณไล่ บ.ก. ออกไปแล้ว จ้านซีเยวี่ยกับเฝิงเจ๋อก็ไม่อยู่แล้ว ตอนนี้ฉันต้องจัดการทุกอย่างคนเดียว คุณควรจะมาช่วยฉันไม่ใช่เหรอคะ?”
“ได้ เดี๋ยวผมเสร็จงานแล้วไปช่วยคุณทันทีเลย”
ตอนแรกเธอแค่ล้อเขาเล่นเฉยๆ แต่ไม่คิดเลยว่าเขาจะตกปากรับคำจริง เธอตกใจพลางเอ่ย “คุณ… คุณพูดจริงเหรอคะ?”
มือหนึ่งของจิ้นหยวนกำลังถือโทรศัพท์มือถือเอาไว้ เขากำลังคุยโทรศัพท์กับเธอพลาง อีกมือหนึ่งกำลังจรดปากกาเซ็นชื่อลงบนเอกสารพลาง “แล้วคุณคิดว่าไงล่ะ?”
“ฉันแค่พูดเล่นเฉยๆ ตอนนี้ไม่ได้ยุ่งอะไร รอให้ฉันได้คนครบแล้วก็ไม่เป็นไรแล้วล่ะ” เธอจับน้ำเสียงของเขาได้ว่าเขากำลังผ่อนคลาย เธอจึงคิดว่าเขาน่าจะแค่พูดล้อเล่นกับเธอเฉยๆ เท่านั้น
จิ้นหยวนยกยิ้มมุมปาก “รอผมนะ” เอ่ยจบแล้ววางสายไป
เฉียวซือมู่มองโทรศัพท์มือถือในมือด้วยความตะลึงนิ่งอึ้ง ไม่จริงมั้ง นี่เขาจะมาจริงๆ เหรอ?
ที่นี่มีเรื่องให้ต้องคิดต้องทำอีกตั้งเยอะแยะมากมาย แล้วเขาจะช่วยอะไรเธอได้? หรือว่าเขาแก้งานเป็นกับเขาด้วย? หรือว่าจัดหัวข้อข่าวเป็น? เธอได้แต่ใช้นิ้วมือนวดคลึงหว่างคิ้วเบาๆ ด้วยความกลุ้มใจ
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เพียงไม่นานก็ถึงเวลาพักเที่ยง เธอยังคงขะมักเขม้นอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ตามลำพังโดยไม่รู้ตัวว่าได้เวลาพักเที่ยงแล้ว หรงเซียวเดินมาเคาะประตูห้องทำงานของเธอเบาๆ
เธอชะงักมือที่กำลังยุ่งเป็นระวิงเพื่อดูเวลาถึงได้รู้ว่าได้เวลาพักเที่ยงแล้ว เธอได้แต่ทอดถอนใจ เมื่อกี้ที่เธอบ่นกับจิ้นหยวนหาใช่เรื่องล้อเล่นทั้งหมด ตอนนี้ต้วนฉี่รุ่ยไม่อยู่แล้ว ถึงแม้เมื่อก่อนจ้านซีเยวี่ยจะคอยเป็นไม้เบื่อไม้เมากับเธอ แต่อย่างน้อยจ้านซีเยวี่ยก็ยังช่วยแบ่งเบางานบางส่วน แต่ตอนนี้งานทั้งหมดมาทับถมกันอยู่ที่เธอคนเดียว แล้วเธอยังจะมีเวลาว่างที่ไหนคอยดูเวลาอีก?
หลายชั่วโมงที่ผ่านมาเธอยังไม่ได้ดื่มน้ำเลยแม้แต่หยดเดียว เธอผ่อนกล้ามเนื้อร่างกายที่นั่งเครียดเกร็งมาทั้งเช้าให้ผ่อนคลายลงถึงได้รู้สึกว่าปวดเมื่อยไปทั้งตัว
หรงเซียวยื่นศีรษะโผล่เข้ามาในห้องพลางเอ่ยอย่างระมัดระวัง “พี่มู่มู่ไม่ไปทานข้าวเหรอคะ?”
ที่นี่ไม่มีโรงอาหาร ปกติแล้วพนักงานจะเป็นคนเตรียมปิ่นโตมาเอง แต่เฉียวซือมู่ไม่ได้เตรียมอะไรมาเลยจึงส่ายศีรษะเล็กน้อย “พี่ยังไม่อยากกิน”
หรงเซียวเห็นท่าทางหดหู่ของเฉียวซือมู่แล้วตัดสินใจเดินเข้าไปในห้องช้าๆ เธอยกปิ่นโตในมือขึ้น “วันนี้ฉันเตรียมอาหารมาเยอะแยะเลย พี่มาทานด้วยกันไหมคะ?”
เฉียวซือมู่เอ่ยปฏิเสธยิ้มๆ “ไม่เป็นไร พี่ยังไม่อยากกินน่ะ เธอกินเถอะ”
เธอรู้ดีว่าที่หรงเซียวบอกว่าเตรียมอาหารมาเยอะแยะล้วนเป็นคำพูดรักษาน้ำใจทั้งนั้น
หรงเซียวลังเลเล็กน้อย “พี่ต้องรักษาสุขภาพนะคะ ถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็อย่าเพิ่งมาทำงานเลยค่ะ” เธอมองดูท่าทางเหนื่อยล้าของเฉียวซือมู่แล้วหวนนึกถึงเหตุการณ์อกสั่นขวัญแขวนที่เพิ่งประสบมาพลางเอ่ยเตือนเธอด้วยความเป็นห่วง
เฉียวซือมู่เอ่ยตอบยิ้มๆ “พี่ไม่เป็นไรแล้ว แค่ทำงานยุ่งทั้งเช้าก็เลยรู้สึกเหนื่อยนิดหน่อยน่ะ”
หรงเซียวสังเกตสีหน้าเธออย่างละเอียดแล้วค่อยวางใจลง “ถ้า… ถ้าอย่างนั้นฉันออกไปก่อนนะคะ” เอ่ยจบแล้วค่อยๆ เดินออกจากห้อง
เธอมองดูท่าทางของหรงเซียวแล้วรู้สึกว่าหรงเซียวน่าจะมีเรื่องอยากจะคุยกับเธอ เธอจึงเรียกหรงเซียวเอาไว้ “เดี๋ยวก่อน”
หรงเซียวหันหน้ากลับไปมองเธอ “มีอะไรอีกหรือเปล่าคะพี่มู่มู่?”
เฉียวซือมู่มุ่นหัวคิ้วพลางเอ่ยถาม “เธออยากถามเรื่องของเฝิงเจ๋อใช่ไหม?”
หรงเซียวก้มหน้าลงเล็กน้อยด้วยความลำบากใจ “ฉัน… ฉันทนไม่ได้… ถึงเขาจะไม่ชอบฉัน แต่ว่าฉัน…” เธอเอ่ยพลางน้ำตาคลอเบ้า
เฉียวซือมู่ทอดถอนใจ รู้สึกว่าหรงเซียวโชคร้ายมากที่มาเจอคนอย่างเฝิงเจ๋อ “เขาไม่เป็นไร ตอนที่เราเจอเขา เขากำลังถูกไล่ฆ่าพอดี เราช่วยเขาเอาไว้ได้ทัน แต่เขากลับหายตัวไปจากโรงพยาบาลโดยไม่บอกไม่กล่าวสักคำ”
หรงเซียวเบิกตาโต “หายตัวไป?”
เฉียวซือมู่พยักหน้าเล็กน้อย “ใช่ หลังจากทำแผลเสร็จแล้วเขาก็ฉวยโอกาสหนีไปตอนที่คนของเรากำลังเผลอน่ะ” เธอสังเกตเห็นสีหน้าของหรงเซียวแล้วรีบอธิบายเพิ่มเติม “เขาไม่ได้เป็นอะไรมาก แค่พักผ่อนสักระยะก็หายแล้ว เธอไม่ต้องเป็นห่วงเขาหรอก”
หรงเซียวสีหน้าผิดหวัง “ไปแล้ว ไปแล้วก็ดีเหมือนกัน”
แววตาของเฉียวซือมู่ไหววูบ เธอเอ่ยปลอบเสียงอ่อนโยน “ต่อไปเธอก็ต้องหัดปล่อยวางเรื่องของเขาได้แล้วนะ โลกนี้ผู้ชายไม่ไร้เท่าใบพุทรา อย่างคนที่ชื่อเฉินจวินก็ไม่เลวเหมือนกันนะ…”
หรงเซียวรีบเอ่ยขัดทันที “ฉัน… ฉันหมดธุระแล้ว ฉันไปก่อนนะคะ บ๊ายบายค่ะพี่มู่มู่”
เอ่ยจบก็รีบวิ่งจู๊ดหนีออกจากห้องทันที
เฉียวซือมู่เห็นท่าทางของหรงเซียวแล้วหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ ทันใดนั้นเธอรู้สึกสลดใจขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ เธอยังมีคำพูดอีกหนึ่งประโยคที่ไม่ได้บอกหรงเซียว นั่นคือ แม้คนของจิ้นหยวนจะช่วยเฝิงเจ๋อเอาไว้ได้ แต่เอ็นมือของเขาถูกตัดขาด แม้ทีมแพทย์จะผ่าตัดซ่อมแซมให้เรียบร้อยแล้ว แต่มันต้องกระทบต่อการใช้ชีวิตต่อจากนี้ของเขาอย่างแน่นอน
ตอนแรกเธอคิดจะช่วยรักษาเขาให้ดีที่สุด แต่ไม่นึกเลยว่าเขาจะแอบหนีออกไปและทิ้งข้อความเอาไว้ให้เธอแค่เพียงคำเดียว “ขอโทษ”
เธอรู้สึกแย่มาก ความรู้สึกที่มีต่อเฝิงเจ๋อสลับซับซ้อนมากจนยากอธิบาย ก่อนหน้านี้เขาเคยช่วยเธอเอาไว้หลายครั้ง เธอถึงได้เชื่อใจเขามาก แต่เธอไม่คิดเลยว่เขากลับใช้ความเชื่อใจที่เธอมีให้เขากลับมาทำร้ายเธอ แล้วจู่ๆ เขาดันมากลับลำกลางอากาศอีก เพราะฉะนั้น เวลาที่เธอนึกถึงเขาทีไร เธอจึงมีความรู้สึกที่เต็มไปด้วยความสลับซับซ้อนจนอธิบายไม่ถูก
ต่อให้เฝิงเจ๋อไม่ได้ลาออกและยังคงมาทำงานที่นี่เหมือนเดิม แต่เธอคงไม่มีทางเชื่อใจเขาเหมือนเดิมอีกแล้ว มิตรภาพที่ถูกทำลายจนเกิดรอยร้าวคงยากจะซ่อมแซมให้กลับไปเป็นเหมือนเก่า
“ขอให้เธอโชคดี…” เธอเอ่ยเสียงแผ่วเบา
“ขอให้ใครโชคดีเหรอ?” จู่ๆ เสียงเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นข้างกายเธอ เธอไม่ทันตั้งตัวจึงตกใจจนแทบตกจากเก้าอี้ “นั่นใครน่ะ?”
เธอหันหน้ากลับไปมองถึงเห็นว่าจิ้นหยวนกำลังยืนอยู่ข้างกายเธอ เธอถอนหายใจโล่งอก “นี่คุณเป็นแมวหรือไง? ทำไมเข้ามาไม่ให้สุ้มให้เสียง?”
จิ้นหยวนหงายมือยักไหล่ “เป็นเพราะคุณใจลอยเองต่างหาก ผมตัวโตขนาดนี้ เดินเข้ามาในห้องคุณยังไม่รู้สึกตัวเลย”
เธอได้แต่มองเขาอย่างจนคำพูด “แต่ก็ไม่ควรส่งเสียงจนทำให้ฉันตกใจแบบนี้ ถ้าเกิดฉันตกใจจนเป็นอะไรขึ้นมาคุณจะทำยังไง?”
“ง่ายนิดเดียว” เขาหัวเราะเบาๆ แล้วรวบเอวเธอเข้ามากอดเอาไว้ “ผมก็จะดูแลคุณไปตลอดชีวิตไงล่ะ”
“ไม่เอาหรอก ผู้หญิงก็ต้องทำงานเหมือนกันนะ” เธอรีบแย้งทันทีโดยไม่ทันสังเกตเห็นแววตาที่ฉายความไม่พอใจขึ้นมาแวบหนึ่งของจิ้นหยวน
เขารีบปรับอารมณ์ความรู้สึกให้กลับมาดูผ่อนคลายเหมือนเดิม เขาวางคางลงบนศีรษะของเธอพลางเอ่ย “เมื่อกี้คุณกำลังคิดอะไรอยู่ถึงได้ใจลอยจนไม่เห็นผมเดินเข้ามาน่ะ”
“กำลังคิดถึงเฝิงเจ๋อค่ะ…” เธอตอบกลับอย่างอัตโนมัติ แต่พอรู้ตัวว่าพูดผิดไปก็รีบอธิบายเป็นพัลวัน “ฉันแค่คิดถึงเรื่องเก่าๆ ของเขาน่ะค่ะ”
“ที่แท้คุณก็คิดถึงเขานี่เอง ผมก็นึกว่าคุณกำลังคิดถึงผมเสียอีก” น้ำเสียงของเขาราบเรียบ แต่เธอกลับรู้สึกแปลกพิกล “คิดถึงสิคะ ฉันคิดถึงคุณทั้งเช้าเลยนะ”
“จริงเหรอ?” เขามองหน้าเธออย่างไม่เชื่อ
เธอพยักหน้าหนักแน่นแล้วเอ่ยอย่างจริงจัง “จริงสิคะ ฉันพูดจริงนะ”
ดูเหมือนเขาจะยอมเชื่อเธอแล้วจึงคลี่ยิ้มบางๆ ให้เธอ เธอรู้สึกโล่งอก เธอกำลังจะอ้าปากพูดอะไรสักอย่างแต่กลับถูกเขาใช้มือใหญ่แตะๆ แก้มเธอเบาๆ แล้วว่า “คนหลอกลวง”