จิ้นเฮ่าทำเสียงฮึดฮัดไม่พอใจ เขาไม่รู้สึกเลยสักนิดว่าตัวเองกำลังบังคับจิตใจลูกชาย แต่ลูกชายตัวดีต่างหากที่ไม่เข้าใจความหวังดีของเขา เขาเห็นหร่วนเซียงเซียงดีทุกอย่าง มีแต่จิ้นหยวนนั่นแหละที่มีตาหามีแววไม่
เฉียวซือมู่รอจิ้นหยวนอยู่ที่บ้านตั้งครึ่งค่อนวันก็ยังไม่เห็นเขากลับมาเสียที เธอรู้สึกเบื่อมากจึงตัดสินใจออกไปทำงาน
เธออดคิดไม่ได้ว่าตัวเองโชคดีมากที่ได้เกิดมาใช้ชีวิตในสังคมยุคใหม่ ถ้าเธอต้องมานั่งรอโทรศัพท์ของเขาอยู่แต่ในบ้านทั้งวันโดยที่ทำอะไรไม่ได้เลย มันคงเป็นชีวิตที่น่ารันทดมาก
จิ้นหยวนกลับถึงบ้านตอนกลางคืน แม้เขาจะปั้นหน้าให้ดูเหมือนปกติ แต่เธอดูออกว่าใต้ใบหน้าสงบนั้นซ่อนความผิดปกติเอาไว้ เธอพยายามซักไซ้ไล่ถามเขาแล้วแต่เขายืนกรานว่าไม่มีอะไร เธอขุ่นเคืองจนเลิกเซ้าซี้เขาอีก
หลายวันผ่านไป ในที่สุดจิ้นเฮ่าก็ออกจากโรงพยาบาลแล้วกลับไปพักรักษาตัวต่อที่บ้าน เธอได้ข่าวแล้วคิดว่าจิ้นหยวนจะดีใจเสียอีก แต่เขายังคงเก็บงำความรู้สึกบางอย่างเอาไว้ในใจเหมือนเดิม เขาจะยิ้มเฉพาะเวลาที่มีเธออยู่ด้วยเท่านั้น
เธอรู้สึกทั้งแปลกใจทั้งคาใจมาก แต่เธอก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขากันแน่ ช่วงเวลาที่ผ่านมา เขาเล่าเรื่องรูปถ่ายที่ทำให้กลายเป็นข่าวครึกโครมให้เธอฟัง เขาบอกว่ามันเป็นความผิดพลาดและรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของบริกรสาวในร้านอาหารฝรั่งเศสร้านนั้น และเด็กสาวคนนั้นก็ได้รับบทเรียนที่สาสมเรียบร้อยแล้ว เขาจึงไม่ถือโทษเอาความอีก
เธอยังคงไปทำงานทุกวันตามปกติ ชีวิตผ่านไปอย่างราบรื่น แต่จิ้นหยวนกลับบ้านดึกขึ้นทุกวันๆ และมีหลายครั้งที่เขากลับบ้านหลังฟ้าสาง เธอได้แต่เฝ้ารอเขาอยู่เงียบๆ และสั่งให้แม่ครัวตุ๋นน้ำซุปบำรุงร่างกายให้เขาดื่มทุกวัน
วันนี้อยู่ดีๆ เขาก็เอ่ยถึงโปรแกรมท่องเที่ยวที่ถูกพับโครงการไปแล้วขึ้นมาอีกครั้ง
เธอมองจิ้นหยวนที่นานๆ จะกลับบ้านเร็วสักครั้งตาโต “คุณบอกว่าอาทิตย์หน้าเราจะออกไปเที่ยวกันเหรอคะ?”
เขายุ่งมากไม่ใช่เหรอ? แล้วจะเอาเวลาที่ไหนไปเที่ยว?
จิ้นหยวนเอ่ยเสียงเบาอย่างทั้งรักทั้งเอ็นดู “เด็กโง่ ที่ผมยุ่งมากก็เพราะกำลังเคลียร์งานเพื่อไปเที่ยวกับคุณไง”
ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง เธอยิ้มดีใจพลางโถมกายเข้าสู่อ้อมแขนของเขา “ทำไมคุณไม่พูดให้เร็วกว่านี้ล่ะคะ ฉันก็นึกว่า… นึกว่า…”
เธอไม่มีหน้าเอ่ยคำพูดที่เหลือออกมา ช่วงที่เขากลับบ้านดึกดื่นทุกคืน เธอแอบระแวงว่าเขาเบื่อเธอแล้วใช่ไหม หรือว่าเขาไปมีผู้หญิงคนอื่นอยู่ข้างนอกและต่างๆ นานา
จิ้นหยวนเห็นเธอไม่พูดต่อก็พอเดาออกแล้วว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ เขาบีบจมูกเธอเบาๆ “ยัยโง่เอ๊ย”
“ห้ามว่าฉันโง่นะ” เธอทำแก้มพองลม ริมฝีปากอวบอิ่มยื่นออกมาราวดอกไม้อูม เขาเห็นแล้วทนไม่ไหวจนต้องฝังจุมพิตลงบนริมฝีปากยั่วเย้านั้น จนกระทั่งสองหนุ่มสาวหายใจหอบถึงแยกออกจากกัน
เธอรีบยั้งมือของเขาเอาไว้ “ห้ามทำอะไรฉันนะ”
จิ้นหยวนเลิกคิ้วขึ้นถาม “ทำไมล่ะ?”
“ฉันยังมีเรื่องจะถามคุณอีก เราจะออกเดินทางกันวันไหนคะ ฉันจะได้จัดเวลาถูก” เธอเอ่ยถามอย่างจริงจัง
ที่แท้ก็ถามเรื่องนี้เอง ดวงตาของเขาเป็นประกายแวบหนึ่ง “อีกสี่ห้าวัน คุณสบายใจได้ มีเวลาให้เราเตรียมตัวเหลือเฟือ…”
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา เธอก็เฝ้ารอวันที่เธอและเขาจะได้ออกไปท่องเที่ยวด้วยกันอย่างใจจดใจจ่อ รู้จักกับจิ้นหยวนมาตั้งนาน นี่เป็นครั้งแรกที่เธอจะได้ออกไปเที่ยวกับเขาสองคน เธอจึงตั้งหน้าตั้งตาคอยให้วันนั้นมาถึงเร็วๆ เธอรู้สึกชุ่มชื่นหัวใจทุกครั้งที่หวนนึกถึงคำพูดของเขาในวันนั้น แม้แต่หรงเซียวที่เป็นคนไม่คิดมากยังรู้สึกได้และคอยส่งสายตาอยากรู้อยากเห็นให้เธอเป็นระยะๆ
เธอแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ค่อยๆ กระจายงานออกไปให้ลูกน้องใต้บังคับบัญชาเพื่อเตรียมทุกอย่างให้พร้อมสำหรับการท่องเที่ยว อาจเป็นเพราะวันเดินทางกระชั้นเข้ามาเรื่อยๆ จิ้นหยวนจึงดูยุ่งมากกว่าเดิม เขากลับบ้านดึกดื่นค่อนคืนทุกวัน เขามักจะกลับมาหลังจากที่เธอเข้านอนแล้ว และเธอตื่นมากลางดึกอีกทีถึงรู้สึกได้ว่ามีคนนอนอยู่ข้างกาย จากนั้นเธอตื่นมาอีกทีในเช้าวันรุ่งขึ้นเขาก็ออกจากบ้านไปแล้ว
เธอสงสารเขาจับใจจึงตัดสินใจเริ่มต้นลงมือเข้าครัวตุ๋นน้ำซุปบำรุงร่างกายเตรียมเอาไว้ให้เขาทุกวัน แรกเริ่มจิ้นหยวนยังไม่รู้เรื่องนี้ แต่วันหนึ่งเขากลับบ้านเร็วกว่าปกติ เขาเห็นว่าดึกดื่นแล้วแต่เธอยังขลุกอยู่ในครัว สีหน้าของเขาเข้มขึ้น “ทำไมแม่ครัวถึงปล่อยให้คุณเข้าครัวทำอาหารเอง?”
เธอละล่ำละลักอธิบาย “ไม่ใช่อย่างนั้นนะคะ ฉันเห็นคุณทำงานหนักทุกวัน ก็เลยอยากจะลงมือทำอะไรให้คุณทานเองกับมือค่ะ”
สีหน้าของเขาผ่อนคลายลง แต่ยังคงจริงจังมากเหมือนเดิม เขาเดินเข้าไปดึงตัวเธอเข้ามากอดเอาไว้ “ไม่ต้องทำแล้ว นี่ก็ดึกมากแล้ว ไปพักผ่อนเถอะ”
เอ่ยจบก็พาเธอเดินออกจากห้องครัวโดยที่ไม่ปล่อยโอกาสให้เธอปฏิเสธ เธอพูดไม่ออกบอกไม่ถูก “โอเค ฉันไม่ทำแล้วก็ได้ แต่คุณก็ต้องให้ฉันปิดเตาก่อนสิคะ”
เขาคลายมือออก พอเห็นว่าเธอเดินกลับเข้าไปในครัวแล้วแววตาของเขาก็สลดลง รอจนกระทั่งเธอยกถ้วยน้ำซุปออกมาเขาถึงรีบเก็บซ่อนความรู้สึกให้มิดชิดเหมือนเดิมแล้วคลี่ยิ้มที่ดูผ่อนคลายให้เธอ
เธอยิ้มหน้าบานพลางยกถ้วยน้ำซุปยื่นให้เขา “นี่เป็นน้ำซุปที่ฉันตั้งใจทำมาก รีบดื่มเร็ว”
เขาได้กลิ่นแปลกๆ แล้วชักสังหรณ์ใจไม่ดี “น้ำซุปอะไรเหรอ?”
“นี่เป็นสูตรลับของเพื่อนจากทางใต้คนหนึ่งของฉัน ในนี้มีแต่ของดีๆ ทั้งนั้นเลยนะคะ คุณรีบดื่มสิ ไม่อย่างนั้นจะเสียของเปล่าๆ นะ” เธอยิ้มตาหยีพลางยื่นถ้วยน้ำซุปเข้าไปจ่ออยู่ตรงหน้าเขา
เขาได้กลิ่นแล้วรู้สึกแปลกพิลึก แต่ก็ไม่กล้าปฏิเสธคนมีน้ำใจตรงหน้าให้ต้องเสียใจ เขาค่อยๆ ยื่นมือออกไปรับถ้วยน้ำซุปมาดื่มจนหมด
เธอรับถ้วยเปล่ามาจากเขาด้วยความตื่นเต้นดีใจ “อร่อยไหมคะ?”
เขามุ่นหัวคิ้วเล็กน้อย พยายามไม่ไปนึกถึงรสชาติแปลกประหลาดของมันแล้วฝืนตอบว่า “ใช้ได้”
“ดีค่ะ ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้ฉัน…”
“ไม่ได้นะ!” เธอยังเอ่ยไม่ทันจบประโยคก็ถูกเขาเอ่ยแทรกขึ้นกลางอากาศ “ไม่ต้องทำแล้ว ผมสงสารคุณน่ะ”
เธอรีบซ่อนมือตัวเองไว้ข้างหลังแต่ก็ไม่อาจหนีพ้นสายตาของเขาไปได้ เขายื่นแขนออกไปจับมือเธอขึ้นแล้วแบมือเธอออกจนเผยให้เห็นตุ่มน้ำบนฝ่ามือ
สีหน้าของเขาขรึมลง “พรุ่งนี้ไม่ต้องทำแล้ว”
เธอมองหน้าเขาด้วยความรู้สึกผิด อยากจะแก้ตัวว่าเป็นเพราะเธอไม่ระวังตัวเอง แต่เห็นสีหน้าไม่พอใจของเขาแล้วเธอก็ต้องยอมแพ้แล้วพยักหน้าหงึกๆ ให้เขา “ก็ได้”
เขายิ้มพลางลูบผมยาวสลวยของเธอด้วยความพอใจ “ต้องอย่างนี้สิ ขอแค่คุณอยู่เคียงข้างผมก็พอ ต่อให้คุณไม่ทำอะไรเลยผมก็ยินดี เข้าใจไหม?”
“อืม” เธอตอบเสียงเบา
วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในที่สุดก็ถึงวันเดินทางเสียที เขาจองที่นั่งเที่ยวแปดโมงเช้าเอาไว้ เธอตื่นแต่เช้าแต่กลับเจอแต่ข้างเตียงที่ว่างเปล่า เธอชะงักอึ้งไปชั่วครู่ ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น เธอเห็นว่าจิ้นหยวนเป็นคนโทรมาจึงกดรับสายด้วยความไม่พอใจนัก “คุณหายไปไหนคะ?”
น้ำเสียงของจิ้นหยวนฟังดูรู้สึกผิดมาก “ที่รัก ผมติดธุระด่วนต้องกลับมาที่บริษัทก่อน ผมอาจจะกลับบ้านไม่ทัน คุณไปรอผมที่สนามบินก่อนได้ไหม?”
เธอถอนหายใจเฮือกใหญ่ มีแฟนบ้างานนี่โชคร้ายจริงๆ ดูสิ เวลาสำคัญขนาดนี้เขายังคิดถึงแต่เรื่องงาน เธอทำแก้มป่องอย่างงอนๆ “งานๆๆ ถ้างั้นคุณก็ไปเที่ยวกับงานเองเลย”