จิ้นหยวนหัวเราะเบาๆ “คนดี อย่าโกรธเลยนะ เดี๋ยวคืนนี้ผมกลับไปชดเชยให้คุณนะ”
ใบหน้าเธอร้อนผ่าว เอ่ยตอบอย่างเก้อเขิน “คนบ้า”
เขาเอ่ยปลอบอีก “คุณรอผมนะ เดี๋ยวผมตามไป”
สองหนุ่มสาวคุยกันอีกชั่วครู่จึงวางสายลง
ตอนนี้ไม่ต้องรีบแล้ว เธอจึงค่อยๆ เก็บของที่เหลือ จากนั้นเดินลงไปทานอาหารเช้าที่ชั้นล่าง สักพักจึงมีรถมารับเธอไปสนามบินโดยเฉพาะ
วันนี้อาอวี่มาทำหน้าที่เป็นคนขับรถให้เธอ เขาหายหน้าหายตาไปนาน จู่ๆ วันนี้ก็โผล่มาขับรถให้เธอจึงดีใจไม่น้อย เธอยิ้มทักทายเขา “อาอวี่ ไม่เจอกันนานเลยนะ”
สีหน้าของอาอวี่แปลกๆ แต่เธอเห็นแล้วไม่ได้คิดอะไรมาก ยังคงยิ้มให้เขาเหมือนเดิม “จิ้นหยวนโยกนายไปทำอย่างอื่นเหรอ?”
เขารีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติแล้วเอ่ยยิ้มๆ “ครับ ผมเพิ่งกลับจากไปทำธุระที่ต่างประเทศครับ”
“อ้อ อย่างนี้นี่เอง แล้วอาฮุยล่ะ?” เธอถามยิ้มๆ วันนี้เธออารมณ์ดีมากจึงพูดมากกว่าปกติ
อาอวี่ส่ายศีรษะเล็กน้อย “เจ้านายให้เขาไปทำธุระ น่าจะอีกหลายวันถึงจะกลับมาครับ”
วันนี้เขาตอบคำตามแบบถามคำตอบคำ ซึ่งแตกต่างจากชายหนุ่มที่เคยชอบเจรจาพาทีราวกับเป็นคนละคนกัน
เธอคุยกับเขาอีกเล็กน้อยแล้วเงียบไป บรรยากาศในรถเงียบเป็นเป่าสาก เขาแอบชำเลืองมองเธอจากกระจกมองหลัง และรู้สึกโล่งอกโล่งใจมากเมื่อเห็นว่าเธอไม่มีทีท่าว่าจะคุยกับเขาอีก
เขาเป็นคนสงบปากสงบคำมากกว่าอาฮุย และไม่มีทางพูดในสิ่งที่ไม่สมควรพูด เจ้านายถึงได้ส่งเขามารับคุณเฉียวแทน ตอนนี้ทุกอย่างเป็นไปตามที่พวกเขาคิด ดูเหมือนคุณเฉียวจะไม่ได้สงสัยอะไร ตอนแรกเขาระมัดระวังตัวมาก ตอนนี้ค่อยรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาบ้าง
กระนั้น เขายังคงแอบกังวลใจไม่น้อย ถ้าเกิดเธอรู้ว่าพวกเขาช่วยกันปกปิดเธอ ถึงตอนนั้นเธอจะมีปฏิกิริยาอย่างไรกันนะ?
เขาแอบคิดอยู่เงียบๆ คนเดียว ยังคงไม่กล้าพูดอะไรเหมือนเดิม เขาใช้เวลาขับรถประมาณหนึ่งชั่วโมงจึงไปถึงสนามบิน
เธอทอดสายตามองดูเครื่องบินที่กำลังขึ้นลงผ่านกระจกหน้าต่างรถยนต์ เธอนิ่วหน้าเล็กน้อยยามได้ยินเสียงดังสนั่นหวั่นไหวของเครื่องบิน เธอยังไม่รีบร้อนลงจากรถจึงเอ่ยถามอาอวี่ “นายรู้หรือเปล่าว่าจิ้นหยวนจะมาถึงกี่โมง?”
อาอวี่ส่ายศีรษะ “เราไม่ก้าวก่ายเรื่องของเจ้านายครับ”
เธอครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดเบอร์โทรศัพท์ของจิ้นหยวนอย่างคุ้นเคย
แต่คราวนี้กลับไม่มีคนรับสาย
นี่มันเกิดอะไรขึ้น? เธอเกือบจะคิดว่าตัวเองจำเบอร์โทรศัพท์ของเขาผิดเสียแล้ว เพราะเธอลองโทรศัพท์หาเขาอีกครั้ง และยังคงไม่มีคนรับสายเหมือนเดิม เธอใจหายวาบ ทันใดนั้น เสียงตื่นเต้นของอาอวี่ดังขึ้น “เจ้านายมาแล้ว”
จริงเหรอ? หัวใจเธอเต้นแรง รีบชายตาขึ้นมองดูทันที ใต้แสงอาทิตย์เจิดจ้า ร่างสูงใหญ่ของชายคนหนึ่งเดินใกล้เข้ามา แต่เธอเห็นเขาแล้วหัวใจห่อเ**่ยวลงทันที
ไม่ใช่เขา นั่นไม่ใช่เขา เธอจำรูปร่างของเขาได้ดี แม้รูปร่างของชายคนนั้นจะเหมือนจิ้นหยวนมาก แต่รูปร่างของเขาล่ำสันกว่าจิ้นหยวนเล็กน้อย ท่าทางการเดินก็ไม่เหมือนกัน เธอมองแวบเดียวก็รู้แล้วว่าเขาไม่ใช่จิ้นหยวน
ไม่รู้ว่าอาอวี่เห็นเป็นจิ้นหยวนได้อย่างไร เธอส่งสายตามองอาอวี่แวบหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “นั่นไม่ใช่เขา”
อาอวี่ชะงักนิ่งอึ้งไปเล็กน้อย เธอถอนสายตาจากเขาแล้วเริ่มกดโทรศัพท์หาจิ้นหยวนอีกครั้ง
ทันใดนั้น ชายคนนั้นเดินเข้ามาหยุดยืนอยู่ข้างรถ เขาก้มกายลงเคาะกระจกหน้าต่างรถยนต์ เธอชายตาขึ้นมองพลันสบเข้ากับดวงตาคุ้นเคยคู่หนึ่ง “นายเองเหรอ?”
นั่นมันหนึ่งในพี่น้องของจิ้นหยวนที่ชื่อสวี่จิ้งนี่นา เธอเคยเจอเขาครั้งหนึ่ง เขาเป็นพี่น้องคนที่เท่าไหร่นะ? ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นน้องห้า
เธอมองเขาด้วยความสงนสนเท่ห์ เขาทำมือเป็นสัญญาณให้เธอเปิดกระจกรถ เธอเปิดกระจกรถด้วยความงุนงง สีผิวของสวี่จิ้งคล้ำกว่าคนทั่วไปเล็กน้อย ให้ความรู้สึกสุขุมเยือกเย็นและพึ่งพิงได้ เขาเอ่ยเสียงสุขุม “คุณเฉียว ท่านประธานส่งผมมารับคุณครับ”
“เขา… เขาเป็นอะไรหรือเปล่า?” เธอกวาดสายตามองไปทั่ว “ทำไมเขาถึงยังไม่มาล่ะ?”
สวี่จิ้งถือว่าเป็นคนที่สุขุมที่สุดในบรรดาพี่น้องทั้งหมด รูปร่างสูงใหญ่ของเขาให้ความรู้สึกปลอดภัยเป็นพิเศษ “พี่ใหญ่ติดธุระด่วนก็เลยให้ผมล่วงหน้ามาบอกคุณว่าให้คุณออกเดินทางก่อน เขาจัดการธุระเสร็จเรียบร้อยแล้วจะรีบตามคุณไปครับ”
“เกิดปัญหาอะไรขึ้นกับเขาเหรอ?” สิ่งแรกที่ปรากฏขึ้นในสมองของเธอคือเขาต้องเจอปัญหาอย่างแน่นอน เธอจึงรีบเอ่ยถามด้วยความร้อนใจ จากนั้นหันไปสั่งอาอวี่ “นายไปกลับรถเดี๋ยวนี้ เราจะกลับบ้านกัน”
เกิดเรื่องขึ้นกับเขาแบบนี้เธอจะนั่งนิ่งดูดายไม่ได้เด็ดขาด ถึงเธอจะช่วยอะไรไม่ได้แต่เธอก็อยากจะอยู่เป็นกำลังใจข้างกายเขา
สวี่จิ้งรีบเอ่ยห้ามทันควัน “อย่าดีกว่าครับ พี่ใหญ่บอกแล้วว่าเป็นแค่เรื่องเล็ก ใช้เวลาจัดการไม่นานหรอกครับ พี่ใหญ่ให้ผมไปเป็นเพื่อนคุณก่อน เดี๋ยวเขาจะตามมาสมทบทีหลังครับ”
“จริงเหรอ?” เธอเริ่มระแวง “แล้วทำไมเขาถึงไม่บอกฉันเองล่ะ?”
เธอหวนนึกถึงเรื่องที่เขาไม่รับโทรศัพท์แล้วยิ่งรู้สึกว่าต้องมีปัญหาอะไรสักอย่างแน่ๆ เธอไม่ยอมฟังสวี่จิ้งอีก แต่หันไปสั่งอาอวี่แทน “นายไปกลับรถเดี๋ยวนี้ ฉันไม่ไปมิลานแล้ว”
สวี่จิ้งเห็นท่าทางเด็ดเดี่ยวของเธอแล้วเริ่มร้อนใจขึ้นมาบ้าง พี่ใหญ่สั่งเอาไว้แล้วว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม จะต้องส่งเธอไปมิลานให้ได้ ใครจะไปคิดว่าเธอจะไม่ยอมลงจากรถ แล้วตอนนี้ควรจะทำอย่างไรดี?
เฉียวซือมู่เห็นอาอวี่ยังนั่งนิ่งไม่ขยับเขยื้อนจึงเปิดประตูรถออกด้วยความร้อนรนใจ “ถ้านายไม่กลับฉันจะนั่งแท็กซี่กลับเอง”
อาอวี่ก็ร้อนใจไม่น้อย ไม่มีใครคาดคิดเลยว่าเธอจะเป็นห่วงจิ้นหยวนมากเสียจนไม่ยอมไปมิลาน
เสียงโทรศัพท์ของเธอดังขัดจังหวะขึ้นพอดี หัวใจเธอเต้นแรงยามได้ยินเสียงโทรศัพท์ที่ตั้งเอาไว้เป็นพิเศษ เธอกดรับสายแล้วได้ยินเสียงคุ้นเคยของจิ้นหยวนดังลอดออกมา “ที่รัก ขอโทษนะ พอดีเมื่อกี้ผมไม่ได้เอาโทรศัพท์มือถือติดตัวไปด้วย ก็เลยไม่ได้รับสายคุณ”
“นั่นไม่สำคัญหรอกค่ะ” เธอได้ยินเสียงของเขาแล้วรู้สึกโล่งอกมาก แต่เธอยังมีคำถามมากมายอยู่ในใจ “พวกเขาบอกว่าคุณไปไม่ได้แล้ว ให้ฉันไปมิลานคนเดียว เกิดอะไรขึ้นกับคุณคะ?”
จิ้นหยวนเอ่ยอย่างสุขุม “พวกเขาพูดตามที่ผมสั่ง ตอนนี้ผมติดธุระด่วนจนปลีกตัวไปไม่ได้ คุณเดินทางไปก่อนได้ไหม? เดี๋ยวผมจะรีบตามคุณไป อย่างช้าอาจจะเป็นพรุ่งนี้หรือไม่ก็มะรืนนี้”
“ไม่เอา ฉันจะอยู่กับคุณ” เธอปฏิเสธทันควัน
“ไม่ต้องหรอก คุณอยากไปดูแฟชั่นโชว์คอลเลคชั่นล่าสุดไม่ใช่เหรอ? คืนนี้คุณไปถึงที่นั่นก็ได้ดูโชว์พอดี ผมจองที่นั่งที่ดีที่สุดเอาไว้ให้คุณด้วยนะ คนดี เชื่อผมนะ เดี๋ยวผมตามคุณไปทีหลัง”
“แต่ว่า…” เธออยากดูแฟชั่นโชว์มากก็จริง แต่เธออยากอยู่กับเขามากกว่า
เขาสัมผัสได้ถึงความดื้อดึงในน้ำเสียงของเธอจึงพยายามพูดเกลี้ยกล่อมอีก “ธุระของผมแป๊บเดียวเดี๋ยวก็เสร็จแล้ว ผมแค่ตามหลังคุณไปนิดเดียวเอง คุณไม่ต้องเป็นห่วงหรอก เข้าใจไหม? คนดี ผมรักคุณ”
เธอได้ยินคำพูดหวานหยดย้อยของเขาแล้วหน้าแดงซ่านทันที เธอเอ่ยอย่างเขินอายเสียงเบา “ไม่อายคนอื่นเขาหรือไง ตอนนี้มีคนอื่นอยู่ด้วยนะ”
เขารีบฉวยโอกาสทันที “เดี๋ยวผมให้น้องห้าไปเป็นเพื่อนคุณ เขาคุ้นเคยกับที่นั่นมาก คุณต้องอยู่ใกล้เขาเอาไว้ อย่าให้คลาดกันล่ะ เข้าใจไหม?”