“ก็ได้” ในที่สุดเธอก็รับปากเขาจนได้ ไม่ใช่เพราะแฟชั่นโชว์ที่เขาพูดถึง หากแต่เป็นเพราะน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความรักของเขาที่แฝงความร้อนรนเล็กๆ นั่นต่างหาก ถ้าไม่ใช่เพราะเธอคุ้นเคยกับเขามากก็คงจะฟังไม่ออก
ดูเหมือนว่าเขาจะติดธุระด่วนที่บอกเธอไม่ได้จริงๆ ขืนเธอยังดื้อดึงอยู่อีกคงไม่ดีแน่ หลังจากใคร่ครวญแล้วเธอจึงยอมตอบตกลง
จิ้นหยวนเอ่ยยิ้มๆ “มู่มู่เก่งมาก คุณอยู่กับเขานะ อย่าไปไหนคนเดียว รอผมจัดการธุระเสร็จแล้วจะรีบตามไปหาคุณทันที เข้าใจไหม?”
“อืม คุณต้องรีบมานะคะ” เธอรู้สึกได้ว่าน้ำเสียงของเขาฟังดูโล่งอก จึงแสร้งทำเป็นไม่ถือสาเขาอีก
“แน่นอน ผมอยากจะไปอยู่ข้างๆ คุณตอนนี้เลยด้วยซ้ำ”
“แล้วเจอกันค่ะ” เธอกัดริมฝีปากแน่น ในใจไม่อยากอยู่ห่างเขาเลย
สวี่จิ้งได้ยินว่าเธอยอมไปกับเขาแล้วค่อยรู้สึกโล่งอกขึ้นมาหน่อย เขาแอบคิดว่าพี่ใหญ่รู้จักเธอดีที่สุด และเดาออกว่าเขากับอาอวี่เกลี้ยกล่อมเธอไม่สำเร็จแน่
เธอเก็บโทรศัพท์มือถือใส่กระเป๋า สูดหายใจเข้าปอดลึกๆ แล้วหันไปบอกสวี่จิ้ง “ไปกันเถอะ”
สวี่จิ้งเปิดประตูรถให้เธอ เธอลงจากรถแล้วยืนตัวตรง หันไปส่งยิ้มตามมารยาทให้เขา “ถ้าอย่างนั้นก็รบกวนด้วยนะคะ”
เขาเป็นคนพูดน้อย ได้ยินคำพูดของเธอแล้วเพียงพยักหน้าเล็กน้อย “วางใจเถอะครับ ผมจะดูแลคุณเป็นอย่างดี”
เฉียวซือมู่คิดไม่ถึงเลยว่าโปรแกรมท่องท่องของเธอกับจิ้นหยวนจะมีอุปสรรคเยอะมากขนาดนี้ ครั้งแรกเจอมรสุมข่าวจนเธอถูกด่าว่าเป็นเมียน้อยจนต้องพับโครงการไป อย่าว่าแต่ออกไปท่องเที่ยวเลย ช่วงนั้นเธอไม่กล้าแม้แต่จะก้าวเท้าออกจากบ้านด้วยซ้ำ พอคลื่นลมสงบลง ตอนนี้จิ้นหยวนดันมาติดธุระด่วนอีก จากแผนท่องเที่ยวคู่รักกลายเป็นต้องท่องเที่ยวคนเดียวแทน
ไม่ใช่สิ จะบอกว่าท่องเที่ยวคนเดียวก็ไม่ถูก เพราะตอนนี้ข้างกายเธอยังมีสวี่จิ้งเพิ่มขึ้นมาอีกคน เธอนั่งอยู่บนเบาะที่นั่งในห้องผู้โดยสารชั้นเฟิร์สคลาส ดูเผินๆ เหมือนเธอกำลังนั่งดูภาพยนตร์ที่กำลังฉายอยู่บนหน้าจอตรงหน้า แต่ความจริงในใจกลับกำลังคิดสะระตะ เธอแอบมองสวี่จิ้งพลางในใจก็แอบคิดว่าเกิดอะไรขึ้นกับจิ้นหยวนพลาง เกิดปัญหายุ่งยากอะไรที่ทำให้เขาถึงขั้นยอมทำลายแผนท่องเที่ยวแล้วลงมือจัดการด้วยตัวเอง?
สวี่จิ้งรู้สึกได้ถึงสายตาของเธอที่กำลังแอบมองเขาอยู่ เขาหันไปมองเธอแล้วเอ่ยถาม “อยากดื่มน้ำเหรอครับ?”
เอ่ยเสร็จแล้วเรียกพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน เธอรีบส่ายศีรษะปฏิเสธ “เปล่า ฉันแค่กำลังคิดว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา ทำไมถึงต้องรีบร้อนส่งฉันไปมิลานด้วย”
สวี่จิ้งได้ยินแล้วถึงกับตัวแข็งทื่อ เธอเห็นท่าทางของเขาแล้วยิ่งมั่นใจว่าตัวเองเดาไม่ผิด จิ้นหยวนให้เธอเดินทางออกนอกประเทศคนเดียว แสดงว่าต้องมีเหตุผลที่ทำให้เธออยู่ที่นั่นไม่ได้
หลังจากหายตกใจแล้วสวี่จิ้งใช้เวลาตั้งนานกว่าจะควานหากล่องเสียงของตัวเองเจอ “ทำไมคุณถึงคิดแบบนั้นล่ะครับ ที่พี่ใหญ่มาไม่ได้ก็เพราะติดธุระจริงๆ เขาต้องจัดการธุระนั้นด้วยตัวเองถึงมาไม่ได้”
เธอจ้องเขาตาเขม็ง “นายพูดจริงใช่ไหม?”
เขาพยายามปั้นหน้าจริงจังและแสดงความไม่พอใจออกมาเล็กน้อยอย่างพอเหมาะพอเจาะ “คุณไม่ควรระแวงความรักที่พี่ใหญ่มีให้คุณ เท่าที่ผมรู้ คุณเป็นคนที่สำคัญมากที่สุดในใจเขา ถ้าเขารู้ว่าคุณคิดกับเขาแบบนี้ เขาคงเสียใจมาก”
เธอฟังแล้วแอบคิดในใจ หรือว่าเมื่อกี้เธอจะคิดมากเกินไป? จิ้นหยวนอาจจะติดธุระจริงๆ ก็ได้
เธอเห็นสีหน้าไม่ค่อยพอใจของเขาแล้วไม่กล้าซักไซ้อะไรอีก ถึงเธอจะเคยเจอเขามาก่อน แต่ชายหนุ่มตรงหน้าก็แทบจะไม่แตกต่างจากคนแปลกหน้าสำหรับเธอ โบราณท่านว่า คบกันแค่ผิวเผินอย่าพูดกันลึกซึ้ง
บินไปมิลานต้องใช้เวลานานหลายชั่วโมง และพวกเธอน่าจะถึงที่นั่นประมาณห้าโมงเย็น ถึงที่นั่นแล้วก็ได้เวลาอาหารเย็นพอดี จากนั้นค่อยไปดูแฟชั่นโชว์ นี่เป็นแพลนที่เธอกับเขาเคยวางแผนเอาไว้ด้วยกัน ไม่นึกเลยว่าตอนนี้เธอต้องมาติดแหง็กอยู่กับสวี่จิ้งที่แทบจะเป็นเหมือนคนแปลกหน้าแทน
เธอคิดแล้วก็ได้แต่ทอดถอนใจ เธอปรับพนักเก้าอี้ลง หยิบผ้าปิดตาออกมาจากกระเป๋าแล้วเริ่มนอน
สวี่จิ้งเห็นแล้วขยับตัวให้ห่างจากเธออย่างเงียบๆ เพื่อป้องกันไม่ให้รบกวนการนอนของเธอ ผ่านเวลาไปสักพัก ดูเหมือนว่าเธอจะหลับไปแล้ว เขาครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วหยิบผ้าห่มขึ้นมาห่มให้เธออย่างเบามือ
เขาเพิ่งจะละมือจากผ้าห่มก็ได้ยินเสียงเธอเอ่ย “ขอบใจ” เบาๆ แม้เสียงจะเบามากแต่เขาก็ได้ยินมันอย่างชัดเจน จู่ๆ ใบหน้าของเขาก็ร้อนขึ้น เขาสูดหายใจลึกๆ แล้วเอ่ยออกไป “ไม่เป็นไรครับ”
นี่เธอยังไม่หลับอีกหรือ? รู้อย่างนี้เขาไม่ห่มให้ผ้าเธอหรอก
มุมปากของเฉียวซือมู่ยกขึ้นนิดๆ เธอเห็นว่าหูของเขาขึ้นสีแดงอย่างชัดเจนผ่านช่องว่างระหว่างผ้าปิดตา ดูเหมือนเขาจะเป็นคนขี้อายมาก
เธอยิ้มน้อยๆ แล้วขยับผ้าปิดตาให้เข้าที่ จากนั้นค่อยๆ ผล็อยหลับไป
เรื่องนี้ทำให้เส้นกั้นบางๆ ระหว่างเธอและเขามลายหายไป ตอนแรกทั้งสองยังพูดคุยกันตามมารยาทและด้วยความเกรงใจที่ให้ความรู้สึกห่างเหินกันมาก แต่ตอนนี้ทั้งสองเริ่มเป็นกันเองมากขึ้น การพูดการจาดูไม่ขัดเขินเหมือนตอนแรกอีกแล้ว
เธอนอนหลับไปพักใหญ่ ตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็ตอนที่พนักงานต้อนรับมาเสิร์ฟอาหารเที่ยง เธอไม่ค่อยอยากอาหารสักเท่าไหร่ กินไปได้ไม่กินคำก็หมดอารมณ์กินต่อ สวี่จิ้งกลับไม่เหมือนเธอ เขารับประทานอาหารอย่างเอร็ดอร่อยและกินอาหารทั้งหมดจนเกลี้ยง
เธอรู้สึกดีกับเขาขึ้นมาอีกนิด เขาสามารถกินข้าวต่อหน้าเธอได้อย่างเอร็ดอร่อยโดยไม่คิดเสแสร้ง แสดงว่าเขาเป็นคนที่จิตใจสะอาดใช้ได้ น่าจะไม่มีความคิดชั่วร้ายอะไร
เวลาค่อยๆ เคลื่อนผ่านไปทีละนิดๆ เธอกำลังคิดว่าควรจะหลับอีกสักงีบดีหรือไม่ ทันใดนั้น สวี่จิ้งก็เอ่ยขึ้น “ใกล้ถึงแล้วครับ”
“จริงเหรอ?” เธอรู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันที รีบขยับตัวเข้าไปใกล้หน้าต่างแล้วมองลงไปด้านล่าง นอกจากก้อนเมฆสีขาวๆ แล้วเธอก็ไม่เห็นอะไรอีก เธอมองเขาด้วยความระแวง เขากลับตอบเธอด้วยสีหน้าเรียบเฉย “อีกประมาณครึ่งชั่วโมงก็ถึงแล้วครับ”
เขาเพิ่งจะเอ่ยจบก็ได้ยินเสียงประกาศหวานๆ ของพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินดังลอยมาจากลำโพงเล็กๆ เหนือศีรษะ “ท่านผู้โดยสารโปรดทราบ ขณะนี้เรากำลังนำท่านเข้าสู่ท่าอากาศยานมิลาน กรุณานั่งประจำที่และรัดเข็มขัดอยู่กับที่นั่ง…”
ใกล้ถึงแล้วจริงด้วย เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วรัดเข็มขัดตามประกาศ
สวี่จิ้งเก็บของอย่างเงียบๆ ดูเหมือนเขาจะเป็นคนพูดน้อย ตลอดการเดินทางเขาพูดกับเธอเพียงไม่กี่คำจนเธอรู้สึกว่าเขาเป็นคนที่น่าเบื่อมาก
เพียงไม่นานเครื่องบินก็สั่นจนรู้สึกได้ เธอรีบขยับเข้าไปใกล้หน้าต่างแล้วมองลงไปด้านล่างอีกครั้ง เธอค่อยๆ เห็นดวงไฟมากมาย และมันสว่างมากขึ้นเรื่อยๆ ใกล้ถึงมิลานแล้ว
ในที่สุดเครื่องก็ลงจอด เวลาตามท้องถิ่นที่มิลานคือห้าโมงครึ่งตอนเย็น เฉียวซือมู่และสวี่จิ้งเดินออกมาเป็นคนสุดท้าย เธอไม่ได้เร่งร้อน เพราะไม่มีจิ้นหยวนอยู่ด้วยจะทำอะไรก็ไม่สนุกสักอย่าง
ถ้าไม่ใช่เพราะเธอไม่อยากทำแผนท่องเที่ยวพังเธอคงไม่ไปดูแฟชั่นโชว์แล้ว เธออยากจะกลับไปนอนรอจิ้นหยวนที่โรงแรมมากกว่า ไม่แน่นะ บางทีตื่นขึ้นมาเธออาจจะเห็นเขามาถึงแล้วก็ได้
เธอมองสวี่จิ้งที่กำลังเดินหิ้วกระเป๋าเดินทางอยู่เงียบๆ แล้วคิดว่าสวี่จิ้งคงไม่ยอมให้เธอทำอย่างนั้นแน่ ถ้าเช่นนั้น ลองเจรจากับเขาดูก่อนดีกว่า