สวี่จิ้งสังเกตเห็นว่าเธอคอยแอบมองเขาอยู่ตลอดเวลา จึงเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ “คุณเป็นอะไรหรือเปล่า?”
เธอยิ้มเก้อๆ แล้วเอ่ยถาม “เราจะไปไหนกันต่อ?”
เขาตอบกลับสีหน้าราบเรียบ “ไปเช็กอินที่โรงแรมก่อน พี่ใหญ่จองห้องสวีทเอาไว้ให้เราแล้ว จากนั้นไปทานอาหารเย็น ทานข้าวเสร็จแล้วค่อยไปดูแฟชั่นโชว์”
เธอคิดๆ แล้วเอ่ยตอบ “โอเค”
แต่ในใจเธอแอบคิดเอาไว้แล้วว่าจะไม่ไปดูแฟชั่นโชว์แล้ว เธอจะรอจิ้นหยวนก่อน
สวี่จิ้งไม่รู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ เขายกกระเป๋าเดินทางเข้าไปเก็บในรถ จากนั้นทั้งสองก้าวขึ้นไปนั่งในรถที่มารอรับทั้งสองเป็นการเฉพาะ
เธอสังเกตเห็นว่าคนขับรถขานสวี่จิ้งว่าคุณสวี่อย่างนอบน้อม ดูท่าทางแล้วน่าจะเป็นลูกน้องของเขา เธอจึงเอ่ยถามขึ้นด้วยความประหลาดใจ “เขาเป็นลูกน้องของนายเหรอ?”
คนขับรถคนนี้น่าจะอายุประมาณสี่สิบกว่าแล้ว
สวี่จิ้งพยักหน้าเล็กน้อย “เขาเป็นผู้จัดการสาขามิลานของจิ้นซื่อกรุ๊ป ผมเคยทำงานที่นี่อยู่พักหนึ่ง เขาก็เลยจำผมได้”
เป็นผู้จัดการสาขาแต่มาทำหน้าที่คนขับรถเนี่ยนะ?
เธอรู้สึกประหลาดใจมาก สวี่จิ้งเอ่ยอธิบายราวอ่านความคิดเธอออก “เขาเคยประสบปัญหายุ่งยาก ผมเป็นคนช่วยเขาเอาไว้น่ะ”
ที่แท้เขาไม่ได้มาเพราะงานหลวง แต่เพราะอยากขอบคุณเขาเป็นการส่วนตัวนี่เอง เธอเข้าใจแล้ว
หลังจากเช็กอินที่โรงแรมเรียบร้อยแล้ว สวี่จิ้งเสนอตัวเข้าไปช่วยเธอจัดของแต่ถูกเธอปฏิเสธ เธอหิ้วกระเป๋าเดินทางของตัวเองเข้าไปในห้อง
ขึ้นชื่อว่าเป็นห้องสวีท การตกแต่งย่อมหรูหราอลังการเป็นธรรมดา เธอเดินสำรวจห้องพักอยู่ชั่วครู่ จากนั้นเทของออกจากกระเป๋าแล้วลงมือจัดของให้เรียบร้อย เพียงไม่นานก็มีคนมาเคาะประตูห้อง เธอเดินไปเปิดประตูแล้วเห็นสวี่จิ้งยืนอยู่หน้าประตู “ออกไปทานข้าวเย็นกัน”
ทำไมรีบร้อนจัง? เธอครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วเอ่ยขึ้น “ความจริงฉันไม่อยากจะไปดูแฟชั่นโชว์สักเท่าไหร่ ฉันเหนื่อยน่ะ กินข้าวเสร็จแล้วอยากจะพักผ่อนเลย”
สวี่จิ้งลำบากใจอย่างเห็นได้ชัด เธอเห็นท่าทางของเขาแล้วรู้สึกประหลาดใจมาก ก็แค่ไม่ไปดูแฟชั่นโชว์ อย่างมากก็แค่เสียค่าตั๋วฟรี ทำไมต้องทำหน้าลำบากใจขนาดนั้นด้วย?
สวี่จิ้งสังเกตเห็นว่าสีหน้าเธอดูเหน็ดเหนื่อยจริง เขานิ่งเงียบชั่วครู่แล้วค่อยๆ เอ่ยขึ้นอีกครั้ง “ไม่ไปก็ไม่ไป ถ้าอย่างนั้นทานข้าวเสร็จแล้วเราก็กลับมาพักผ่อนเลยก็แล้วกัน”
เธอพยักหน้าพลางยิ้มดีใจ “ถ้าอย่างนั้นรอฉันแป๊บนะ เดี๋ยวฉันมา”
เธอปิดประตู คิดถึงสีหน้าลำบากใจเมื่อกี้ของเขาแล้วรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างผิดปกติ
แต่เธอเองก็ไม่รู้ว่าผิดปกติตรงไหน เธอคิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก ช่างมันเถอะ เธอรีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ จากนั้นเดินไปเปิดประตูแล้วส่งยิ้มให้เขา “ฉันพร้อมแล้ว เราไปกันเถอะ”
สวี่จิ้งพยักหน้าน้อยๆ เขามองเฉียวซือมู่ที่สวมเสื้อผ้าชุดใหม่ เธอสวมเสื้อไหมพรมสีชมพูเข้ากับกางเกงยีนที่ให้ความรู้สึกสบายตา เสื้อผ้าชุดนี้ทำให้เธอดูน่ารักขึ้นอีกเป็นกอง เขาเห็นแล้วยกยิ้มมุมปากนิดๆ
ขึ้นชื่อว่ามนุษย์ ทุกคนล้วนชอบสิ่งสวยงามด้วยกันทั้งนั้น ถึงเขาจะเป็นคนเย็นชา แต่เขาเองก็ชอบสิ่งสวยงามเหมือนคนปกติทั่วไป
เพียงแต่… เขาคิดถึงจิ้นหยวนที่อยู่กันคนละทวีปแล้วอดถอนหายใจแทนหญิงสาวที่กำลังยืนอยู่ข้างกายเขาคนนี้ไม่ได้ บางที การที่เธอไม่รู้อะไรเลยน่าจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว
เฉียวซือมู่ไม่รู้เลยว่าเขามีเรื่องเก็บซ่อนอยู่ในใจมากมายขนาดนี้ เธอตามเขาไปที่ชั้นสามของโรงแรม ชั้นนี้เป็นศูนย์รวมร้านอาหารในโรงแรม ถึงร้านอาหารที่นี่จะไม่สะดุดตามากนัก แต่อารหารของที่นี่เคยถูกตีพิมพ์ในนิตยสารอาหารมากมาย และมีคนดังมากมายมารับประทานอาหารที่นี่
เวลาสั้นๆ เพียงหนึ่งชั่วโมงระหว่างมื้ออาหารเธอก็เห็นดารานักแสดงที่เคยเห็นแต่ในจอโทรทัศน์ตั้งหลายคนแล้ว เธอมองพวกเขาด้วยความตื่นตาตื่นใจจนอยากจะมีตาเพิ่มอีกสักคู่ จะได้ดูให้เต็มตากว่านี้
“ช่วงนี้เป็นช่วงแฟชั่นวีคพอดี ทั้งอาทิตย์จะมีคนดังจากทั่วโลกมารวมตัวกันที่นี่ เพราะฉะนั้น ไม่แปลกที่คุณจะเห็นดาราดังที่นี่” สวี่จิ้งเอ่ยขึ้น
เธอประหลาดใจมากที่อยู่ดีๆ เขาก็เป็นคนเอ่ยขึ้นมาเองจนต้องหันไปมองเขาด้วยสายตาคาดไม่ถึง แต่สีหน้าของเขายังคงเรียบเฉยเหมือนเดิม ราวกับว่าเขาไม่ได้เป็นคนพูดคำพูดเมื่อครู่นี้
เธอมองสำรวจเขาชั่วครู่ ทันใดนั้น เธอนึกถึงเรื่องน่าขำขึ้นมาเรื่องหนึ่งจึงเอ่ยถามเขา “สวี่จิ้ง ฉันขอถามอะไรนายสักอย่างสิ”
เขาชำเลืองมองเธอแวบหนึ่ง “ครับ”
เธอคิดๆ “นายมีแฟนหรือเปล่า?”
“ไม่มี” เธอสังเกตเห็นว่าเขาแปลกใจไม่น้อยที่เธอถามเขาแบบนี้
เธอหัวเราะเบาๆ “ฉันก็คิดว่าอย่างนั้นเหมือนกัน เพราะสาวๆ ที่อยากจะเข้าใกล้นายเห็นหน้าเย็นชาของนายแล้วคงตกใจจนหนีไปหมด”
เขาได้ยินแล้วหน้าตึงทันที
แต่เธอกลับหัวเราะแจ่มใสแล้วลุกขึ้น “ฉันอิ่มแล้ว เรากลับกันเถอะ”
ถึงที่นี่จะแปลกใหม่ อาหารรสชาติอร่อย แต่เหมือนขาดอะไรไปสักอย่าง มันทำให้เธอรู้สึกอ้างว้างจนไม่อยากจะอยู่ต่อ กลับไปนอนคิดถึงอาหยวนของเธอที่ห้องดีกว่า จะได้โทรศัพท์หาเขาด้วย
เธอไม่ได้สังเกตเลยว่าเสียงหัวเราะแจ่มใสของเธอดึงดูดสายตามากมายของลูกค้าที่กำลังนั่งคุยกันเบาๆ ให้หันมามองเธอเป็นตาเดียว เมื่อเห็นว่าเจ้าของเสียงหัวเราะสดใสนั้นเป็นหญิงสาวหน้าตาสะสวย ต่างก็เผยสีหน้าชื่นชมออกมาเป็นแถว
ขณะเดียวกัน มุมหนึ่งในร้านอาหาร ชายชาวเอเชียสองคนที่กำลังนั่งคุยธุระกันเสียงเบาเงยหน้าขึ้นมองไปยังเสียงหัวเราะนั้นเช่นเดียวกัน เมื่อเห็นว่าเป็นเสียวซือมู่ ชายหนุ่มคนแรกชะงักนิ่งอึ้งไปด้วยความคาดไม่ถึง
ชายคนที่สองที่นั่งอยู่ตรงข้ามตกใจจนต้องเรียกสติเขา “คุณครับ คุณเป็นอะไรหรือเปล่า?”
เขาดึงสติกลับมาแล้วเอ่ยถาม “ข่าวที่คุณบอกผมเป็นเรื่องจริงใช่ไหม?”
ชายคนที่สองเอ่ยตอบ “ข่าวนี้เชื่อถือได้แน่นอน ความจริงในวงสังคมไฮโซเขารู้ข่าวนี้กันหมดแล้ว แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไรถึงไม่มีข่าวตามหน้าสื่อ”
“ผมคิดว่าผมรู้แล้วว่าเพราะอะไร” เขาเอ่ยพลางมองไปยังทิศทางที่เฉียวซือมู่เพิ่งเดินจากไป
ชายคนที่สองไม่เข้าใจความหมายของเขา “คุณกำลังพูดถึงอะไร?”
เขาครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วรีบลุกขึ้น “ผมเพิ่งนึกขึ้นได้ว่ามีธุระด่วน ตอนนี้ผมคงคุยกับคุณต่อไม่ได้แล้ว เอาไว้ผมจะชดเชยให้คุณวันหลังก็แล้วกัน ถ้างั้นผมขอตัวก่อนนะครับ”
เขาหยิบเสื้อนอกแล้วรีบวิ่งตามออกไปอย่างรวดเร็ว
ชายคนที่สองนั่งงงเป็นไก่ตาแตก ไม่เคยเห็นเขาวิ่งเร็วขนาดนี้มาก่อน หรือว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น? มีคนกำลังตามล่าเขาอย่างนั้นเหรอ?
เฉียวซือมู่ยังไม่รู้ตัวว่ากลายเป็นเป้าหมายของใครบางคนเข้าแล้ว เธอตามสวี่จิ้งขึ้นไปชั้นบน เมื่อถึงหน้าห้องพักแล้วจึงส่งยิ้มให้เขา “ฉันเข้าไปพักผ่อนแล้วนะ ถ้านายอยากออกไปข้างนอกก็ตามสบายเลยนะ”
สวี่จิ้งส่ายศีรษะ “ไม่ดีกว่า ผมเองก็จะกลับไปพักผ่อนเหมือนกัน คุณรีบเข้านอนนะครับ” เขาลังเลเล็กน้อยแล้วเอ่ยขึ้นใหม่ “บางที พี่ใหญ่อาจจะมาถึงพรุ่งนี้ก็ได้ คุณไม่ต้องกังวลไปนะครับ”
เธอยิ้มที่เขาอุตส่าห์พูดปลอบใจเธอ เธอรู้แล้วว่าเขาเป็นคนหน้าเย็นชาแต่ใจดีมาก จึงเอ่ยขอบคุณเขาจากใจ “อืม ขอบใจมากนะ นายเองก็รีบกลับไปพักผ่อนเถอะ”
สวี่จิ้งตอบเพียง “อืม” แล้วหมุนตัวเดินเข้าไปในห้องที่อยู่ติดกับห้องของเธอ
เธอกลับเข้าห้องแล้วยืนพิงหลังกับประตูห้อง เธอต้องอาบน้ำก่อน จากนั้นค่อยโทรศัพท์หาจิ้นหยวน จะได้ถือโอกาสบ่นแล้วก็อ้อนเขาด้วย เขาจะต้องปลอบใจเธอแน่
เธอหน้าแดงซ่านยามนึกถึงเสียงพร่าต่ำของเขาที่ดังลอยวนอยู่ข้างหูเธอ