ตั้งแต่เล็กจนโต สิ่งที่คุณแม่ปลูกฝังเธอมาตลอดชีวิตคือห้ามเข้าไปแทรกกลางครอบครัวของคนอื่นเด็ดขาด หากเธอเป็นมือที่สามในครอบครัวของคนอื่นจริง อย่าว่าแต่คนอื่นเลย แม้แต่ตัวเธอเองก็ไม่อาจให้อภัยตัวเองได้
เพราะฉะนั้น หลังจากที่เธอรู้ว่าจิ้นหยวนแต่งงานแล้ว เธอจึงไม่คิดที่จะกลับไปอยู่เคียงข้างเขาอีก แต่ว่า ไม่ต้องใช้สมองคิดก็รู้ว่าจิ้นหยวนไม่มีทางปล่อยเธอไปแน่นอน
ผู้ชายมักมากเหมือนกันหมด เธอควรจะได้บทเรียนจากหยางฉี่ตั้งนานแล้ว แต่ทำไมเธอถึงไม่รู้จักจำเสียที?
นับว่าเธอยังโชคดีมากที่ฉีหย่วนเหิงปรากฏกายขึ้นในขณะที่เธอกำลังทุกข์ใจแสนสาหัสเช่นนี้ ชั่ววินาทีที่เขาเห็นสีหน้าของเธอ เขาได้แต่ทอดถอนใจแล้วว่า “คุณรู้เรื่องแล้วใช่ไหม?”
เธอถึงได้รู้ว่า ที่แท้คนทั้งโลกรู้เรื่องของจิ้นหยวนกันหมดแล้ว มีเธอเพียงคนเดียวที่ยังโง่ถูกคำพูดอ่อนหวานของจิ้นหยวนหลอกโดยที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่อะไรเลย
เธอมันโง่ที่สุด
หัวใจของเธอเหมือนถูกแช่อยู่ในน้ำเย็นเฉียบ ทั้งหนาวเหน็บทั้งเจ็บปวด แต่เธอก็ต้องแสร้งทำเป็นเข้มแข็ง แต่ในสายตาของฉีหย่วนเหิงกลับฉายแววสงสารเธอเหลือเกิน แต่เดิมเขายังรู้สึกสองจิตสองใจ แต่ตอนนี้เขาตัดสินใจได้แล้ว จิ้นหยวน ในเมื่อนายไม่รักไม่ถนอมเธอ ฉันก็จะเป็นคนปกป้องเธอเอง ฉันจะไม่มีวันทำให้เธอร้องไห้อีกเป็นอันขาด
เฉียวซือมู่ที่สภาพจิตใจกำลังย่ำแย่ถึงขีดสุดไม่มีอารมณ์สังเกตสภาพแวดล้อมโดยรอบเลยสักนิด จนกระทั่งเธอรู้สึกถึงความผิดปกติถึงได้รู้ตัวว่าตัวเองออกนอกเขตชุมชนแล้ว
เธอเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ “คุณจะพาฉันไปที่ไหนคะ?”
ฉีหย่วนเหิงจับพวงมาลัยรถอย่างมั่นคง มือขาวลออที่กำลังจับพวงมาลัยรถหนังแท้สีดำเข้ากันได้เป็นอย่างดี “พาคุณไปซ่อนที่ที่หนึ่งก่อน รอให้จิ้นหยวนกลับไปแล้วค่อยเปลี่ยนที่อยู่ใหม่”
“เขา… เขาจะมาเหรอคะ?” เธอรู้สึกกระวนกระวายใจมาก ใจหนึ่งแอบหวังให้เขาออกตามหาเธอ แต่อีกใจหนึ่งก็คิดว่าถ้าเกิดเขาหาตัวเธอเจอเธอก็คงไปจากเขาไม่ได้อีก มันทำให้เธอรู้สึกสับสนมาก
แววตาของฉีหย่วนเหิงเป็นประกายแวบหนึ่ง “เขาเป็นผู้ชาย ผมย่อมเข้าใจความคิดของเขา ผู้ชายทุกคนไม่รู้จักพอด้วยกันทั้งนั้น เขาเองก็เหมือนกัน จู่ๆ คุณไปจากเขาแบบนี้ สำหรับเขาแล้ว ต่อให้เขาไม่รักคุณแล้ว แต่ในฐานะผู้ชายคนหนึ่งมันถือเป็นการหยามหน้าเขามากเกินไป เพราะฉะนั้น เขาจะต้องคิดหาทางจับตัวคุณกลับไปแน่”
เธอรู้สึกเสียวสันหลังวาบยามนึกถึงนิสัยเผด็จการและเอาแต่ใจของจิ้นหยวน ถ้าเกิดเธอถูกเขาจับตัวกลับไปจริง ต่อไปเธอคงไม่มีโอกาสหนีอีก จึงเอ่ยขึ้นอย่างเด็ดเดี่ยว “ไม่ ให้ตายฉันก็จะไม่กลับไปกับเขา”
เขาพยักหน้า “คุณวางใจเถอะ อยู่ที่นี่ผมพอมีเส้นสายอยู่บ้าง ผมไม่ยอมให้เขาหาคุณเจอหรอก”
เธอรู้สึกใจชื้นขึ้นมาบ้าง เธอเอ่ยขอบคุณเขาเบาๆ ทันใดนั้นความเจ็บปวดแล่นขึ้นในใจเธออีกครั้ง
เขามองใบหน้าเจ็บปวดของเธอเงียบๆ เริ่มวางแผนบางอย่างในใจ
ที่ที่เขาจะพาเธอไปซ่อนตัวนั้นเป็นบ้านของเพื่อนสนิทที่สุดของเขา บ้านหลังนั้นอยู่ห่างไกลเขตชุมชนมาก รอบข้างเป็นที่ดินของเพื่อนคนนั้นทั้งหมด จึงเป็นที่ที่เหมาะมากสำหรับการซ่อนตัวของพวกเขา ต่อให้จิ้นหยวนเก่งมากแค่ไหนก็คงหาพวกเขาเจอไม่ได้ง่ายๆ
ในเวลาเดียวกัน จิ้นหยวนกำลังฟาดหัวฟาดหางด้วยความเกรี้ยวกราด เขากำโทรศัพท์มือถือแน่นจนเส้นเลือดปูดโปน ราวกับว่าเขาสามารถบดขยี้โทรศัพท์มือถือที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ให้แหลกละเอียดคามือได้ในพริบตา “นายว่าอะไรนะ? พูดอีกทีซิ!”
ใบหน้าของเขาเกรี้ยวกราดราวพายุลมฝนโหมกระหน่ำ ส่วนสีหน้าของสวี่จิ้งที่ตามหาเฉียวซือมู่ไม่พบก็ย่ำแย่ไม่แตกต่างกัน เขาพยายามไม่ใส่ใจน้ำเสียงโกรธจัดและน่ากลัวของจิ้นหยวน “ผมบอกว่า คุณเฉียวรู้เรื่องที่พี่ใหญ่แต่งงานกับคุณหนูหร่วนแล้ว เธอเสียใจมากและฉวยโอกาสหนีไปตอนที่ผมเผลอครับ”
ชั่ววินาทีนั้น จิ้นหยวนเพิ่งรู้ตัวว่าเขาไม่ได้กำลังโกรธ แต่เขากำลังหวาดกลัวต่างหาก ในที่สุดสิ่งที่เขาหวาดกลัวมากที่สุดก็เกิดขึ้นจนได้ เธอรู้แล้วว่าเขาแต่งงานกับหญิงอื่น เธอจึงเป็นฝ่ายหายตัวไปจากเขาเองโดยที่ไม่ต้องรอให้เขาเอ่ยปาก
แต่… ทำไมหัวใจของเขาถึงเจ็บปวดมากขนาดนี้ ทำไมเขาถึงรู้สึกหายใจไม่ออก? ทำไมเขาถึงอยากทำลายทุกสิ่งทุกอย่างตรงหน้าให้ย่อยยับ รวมทั้งตัวเขาด้วย?
เขาสูดหายใจเข้าปอดลึกๆ แล้วเอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง “แล้วเธอรู้เรื่องได้ยังไง? นายเป็นคนบอกเหรอ?”
“เปล่าครับ ไม่ใช่ผม ผมไม่เคยทำอะไรให้เธอรู้เลย” เขาเอ่ยอย่างใจเย็น พยายามไม่ทำให้จิ้นหยวนสติแตก “มีคนส่งอีเมลให้เธอ ผมไม่รู้ว่าใครเป็นคนส่ง คนคนนั้นส่งรูปแต่งงานของพวกพี่ให้เธอทางอีเมลโดยตรง ตอนนั้นผมยืนอยู่ห่างจากเธอ ก็เลยห้ามเอาไว้ไม่ทันครับ”
ตอนนี้สถานการณ์ย่ำแย่ถึงที่สุดแล้ว จิ้นหยวนกลับรู้สึกใจเย็นลง “ดี ดีมาก ดูเหมือนจะมีเกลือเป็นหนอนซะแล้ว”
เขายิ้มเย็น เขาจัดการเรื่องนี้อย่างละเอียดรอบคอบและรอบด้านจนแนบเนียนไร้ที่ติ แต่การใหญ่กลับล้มเหลวไม่เป็นท่าในวินาทีสุดท้าย ข้างกายเขาจะต้องมีคนคิดไม่ซื่อเป็นแน่
สวี่จิ้งกลับไม่คิดเช่นนั้น เขาลังเลชั่วครู่แล้วเอ่ยขึ้น “บางทีอาจจะเป็นฝีมือคนนอกก็ได้ อย่างเช่น…”
สวี่จิ้งไม่กล้าเอ่ยประโยคที่เหลือออกมาตรงๆ แต่จิ้นหยวนฟังแล้วเข้าใจทันที เขาปฏิเสธโดยไม่ลังเลเลยสักนิด “ไม่ เธอไม่รู้ว่าเฉียวซือมู่อยู่ต่างประเทศ และไม่รู้ข้อมูลติดต่อของเธอด้วย”
“แต่คนของเราจะไปร่วมมือกับเธอเพื่ออะไรกันล่ะครับ? ผมคิดว่าไม่น่าจะเป็นไปได้นะครับ” สวี่จิ้งยังคงไม่อยากจะเชื่อ
เวลานี้จิ้นหยวนใจเย็นลงมากแล้ว “นายไม่ต้องยุ่งเรื่องนี้ ไปตามหาตัวเธอให้เจอ แล้วของของเธอที่อยู่ในห้องพักล่ะ?”
คราวนี้สวี่จิ้งเป็นฝ่ายสูดหายใจเข้าปอดลึกๆ แทน “ของใช้ส่วนตัวของเธอยังอยู่ครบครับ แต่ว่า…” เขากลืนน้ำลายลงคอด้วยความประหม่า “แต่ว่าเอกสารสำคัญอย่างพวกพาสปอร์ตของเธอหายไปครับ”
เขาเอ่ยจบประโยคพลันได้ยินเสียงดังกังวานดังลอดออกมา ราวกับว่าของอะไรสักอย่างถูกกระแทกจนแตกละเอียด หัวใจของเขาเต้นแรงแต่เขากลับไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยถามออกไป เพียงไม่นาน เสียงหัวเราะเย็นยะเยือกของจิ้นหยวนก็ดังลอดมาตามสาย “ดีมาก ดีมาก นายทำงานที่ฉันมอบหมายให้ได้ไม่เลวจริงๆ”
สวี่จิ้งรู้สึกเสียใจไม่น้อย เขาอ้าปากเอ่ยอย่างยากลำบาก “ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเธอถึงทำอะไรรวดเร็วขนาดนั้น ตอนที่เธอหายตัวไปผมสั่งให้คนออกตามหาเธอทันที ผมเองก็รีบกลับมาที่โรงแรมภายในครึ่งชั่วโมง แต่ก็พบว่าของของเธอหายไปแล้ว”
ตอนนั้นเห็นได้ชัดว่าเฉียวซือมู่ตัดสินใจหนีไปอย่างกะทันหัน เป็นไปไม่ได้ที่เธอจะกลับมาเอาของพวกนั้นได้รวดเร็วขนาดนี้ ราวกับว่าเธอเตรียมตัวพร้อมตั้งแต่แรกแล้วมากกว่า แต่ก็เห็นๆ กันอยู่ว่าการหายตัวไปของเธอนั้นเป็นการตัดสินใจแบบปัจจุบันทันด่วน
จิ้นหยวนคิดออกทันที “มีคนช่วยเธอ “ เขาเอ่ยเสียงเครียด “จะต้องมีใครสักคนคอยช่วยเธออยู่แน่ๆ”
สวี่จิ้งนึกถึงใครบางคนขึ้นมาทันที เขาสูดหายใจแรง
จิ้นหยวนได้ยินแล้วเอ่ยถามทันที “มันเป็นใคร? นายเคยเห็นใช่ไหม?”
สวี่จิ้งเอ่ยขึ้นช้าๆ “ผมคิดว่าผมรู้แล้วว่าคนคนนั้นเป็นใครครับ”
จิ้นหยวนได้ยินชื่อนั้นแล้วถึงกับขว้างแจกันราคาแพงกระแทกพื้นจนแตกละเอียด และมันเป็นแจกันที่เข้าคู่กับแจกันที่เพิ่งแตกละเอียดก่อนหน้านี้
“ฉี… หย่วน… เหิง!” เขากัดฟันกรอดยามเค้นเสียงเอ่ยชื่อนั้นออกมาทีละคำ