ฉีหย่วนเหิงได้ข้อมูลจากเธอแล้วเอ่ยขึ้น “สุขภาพของคุณป้าแย่ขนาดนั้น จิ้นหยวนคงไม่ทำอะไรให้ท่านต้องลำบากใจหรอก วางใจเถอะ เดี๋ยวผมให้คนไปดูให้เดี๋ยวนี้เลย”
เขาไม่ยอมเสียเวลา เอ่ยจบพลันลุกขึ้นยืนแล้วโทรศัพท์ทางไกลกลับประเทศต่อหน้าเธอทันที เขาสั่งให้คนของตัวเองไปดูคุณแม่ของเธอทันที
เขาวางโทรศัพท์ลงแล้วมองเธอนิ่ง “ในเมื่อผมตัดสินใจพาคุณหนีมาแล้ว ผมก็ต้องส่งคุณไปอยู่ในที่ที่ปลอดภัย ส่วนเรื่องของคุณป้า ผมจะพยายามจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย คุณต้องเชื่อผมนะ เข้าใจไหม?”
เธอมองแววตาหนักแน่นมั่นคงของเขาแล้วค่อยๆ พยักหน้าตอบรับ
หลังจากฉีหย่วนเหิงกลับออกไปแล้ว เธอก็หมกมุ่นอยู่กับความรู้สึกรังเกียจตัวเอง เฉียวซือมู่ เธอทำเกินไปแล้วนะ เพื่อตัวเองแล้วเธอถึงกับลืมคุณแม่เลยเหรอ เธอมันลูกอกตัญญู ถ้าเกิดจิ้นหยวนทำให้ท่านลำบากใจขึ้นมา เธอจะทำยังไง?
หลายวันผ่านไป ฉีหย่วนเหิงรีบออกจากบ้านแต่เช้าและกลับบ้านดึกดื่นทุกวัน ส่วนเฉียวซือมู่นั้นไม่กล้าย่างกรายออกจากบ้านแม้แต่ก้าวเดียว เพราะฉีหย่วนเหิงบอกกับเธอว่าข้างนอกมีคนมากมายกำลังค้นหาตัวเธออยู่ ถ้าเธอออกไปข้างนอก มีหวังถูกจับตัวได้แน่นอน
ใจหนึ่งก็กลัวว่าจะถูกคนของจิ้นหยวนจับตัวได้ อีกใจหนึ่งก็เป็นห่วงว่าจิ้นหยวนอาจจะทำอะไรคุณแม่เพราะความโมโห สถานการณ์ที่ต้องคอยห่วงหน้าพะวงหลังเช่นนี้ ต่อให้มอลลี่พยายามทำอาหารนานาชาติไม่ซ้ำเดิมให้เธอทานทุกวัน แต่ร่างกายเธอกลับผ่ายผอมลงอย่างรวดเร็วจนทำให้มอลลี่เป็นห่วงมาก
ฉีหย่วนเหิงเห็นทุกอย่างอยู่ในสายตา วันหนึ่ง เขาลากตัวเธอที่กำลังเหม่อลอยออกไปนอกห้อง “มู่มู่ คุณจะทำตัวอย่างนี้ต่อไปไม่ได้แล้วนะ”
เขาเอ่ยอย่างดุดันแล้วจูงมือเธอเอาไว้ “ไป เดี๋ยวผมพาคุณออกไปคลายเครียดเอง”
เธอส่ายศีรษะแล้วชักมือกลับ “ไม่ต้องหรอกค่ะ ถ้าเกิดมีใครมาพบเข้าจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ ฉันกลับห้องดีกว่า”
นอกจากมีเหตุจำเป็นแล้ว ช่วงนี้เธอแทบจะไม่ออกจากบ้านเลย เธอแทบไม่ได้เห็นแสงแดด ใบหน้าซูบผอมขาวซีด คางมนกลายเป็นคางแหลม ใครเห็นเป็นต้องรู้สึกสงสาร
เธอเอ่ยจบเตรียมจะหมุนตัวเดินกลับห้องนอนของตัวเอง แต่กลับถูกเขาห้ามเอาไว้เสียก่อน “เดี๋ยวก่อน คุณตามผมมานี่” เขาจับมือเธอแน่น น้ำเสียงเด็ดขาดอย่างห้ามปฏิเสธ “ขืนยังเป็นอย่างนี้ต่อไปคุณต้องล้มป่วยแน่ๆ ผมยอมให้เป็นแบบนั้นไม่ได้หรอก” เขาเอ่ยพลางออกแรงจูงเธอเดินออกไปข้างนอก
ช่วงที่ผ่านมาเขาปฏิบัติตนเป็นสุภาพบุรุษมาก เธอจึงรู้สึกประหลาดใจไม่น้อยที่ครั้งนี้เขามีท่าทีแข็งกร้าวขนาดนี้ หลังจากเรียกสติคืนกลับมาได้แล้วเธอจึงคิดจะดิ้นหนีจากการควบคุมของเขา แต่ไม่ว่าเธอจะใช้แรงดิ้นรนอย่างไร มือใหญ่ของเขายังคงจับมือเล็กๆ ของเธอเอาไว้แน่น ไม่มีทีท่าจะผ่อนแรงลงเลยแม้แต่นิดเดียว
ในที่สุดทั้งสองก็มายืนอาบแสงสีทองอร่ามใต้ดวงตะวัน เขาหันไปมองเธอ “คุณจำได้หรือเปล่าว่าตัวเองไม่ได้เห็นดวงอาทิตย์มานานมากแค่ไหนแล้ว?”
เธอเม้มริมฝีปากแน่น ไร้คำพูดใดๆ หลุดออกจากปากเพราะเข้าใจความหมายของเขาเป็นอย่างดี
ฉีหย่วนเหิงมองท่าทางดื้อรั้นของเธอ มองใบหน้าซูบผอมของเธอแล้วใจอ่อนยวบ เขาเอ่ยเสียงอ่อนลง “ผมไม่อยากจะบังคับคุณ แต่ช่วงที่ผ่านมาคุณทำตัวผิดปกติมากเกินไปแล้ว ขืนยังเป็นอย่างนี้ต่อ มีหวังร่างกายคุณแย่แน่”
เฉียวซือมู่ส่ายศีรษะหน้าเศร้า “ฉันไม่อยากออกจากบ้าน ปล่อยให้ฉันอยู่เงียบๆ ไม่ได้หรือไง?”
ล้มป่วยอะไรกัน เธอไม่เคยเอาเรื่องพวกนี้มาใส่ใจด้วยซ้ำ
ฉีหย่วนเหิงมองเธอนิ่ง “แต่ผมไม่อยากเห็นคุณเป็นแบบนี้”
หัวใจเธอกระตุกอย่างแรง เธอชายตามองเขาพลันเห็นแววตาร้อนแรงผิดปกติของเขา ความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดของเขาทำให้เธอรู้สึกกลัว เธอค่อยๆ ก้าวเท้าถอยหลังหนึ่งก้าว “ฉันรู้แล้วค่ะ คุณไม่ต้องเป็นห่วง” เธอหัวเราะเบาๆ “ฉันไม่ยอมปล่อยให้ตัวเองล้มป่วยหรอกค่ะ อย่างน้อยก็ต้องได้ข่าวคราวของคุณแม่ก่อน”
เขาจ้องเธอเขม็งจนเธอรู้สึกกระสับกระส่าย “คุณเป็นอะไรหรือเปล่าคะ?”
เขาเอ่ย “คุณพูดแบบนี้ มันทำให้ผมไม่กล้าบอกคุณแล้ว”
เธอตื่นเต้นขึ้นมาทันที ดวงตากลมโตจ้องเขาเขม็ง น้ำเสียงสั่นเครือ “คุณ คุณหมายความว่ายังไง?คุณได้ข่าวคุณแม่แล้วใช่ไหมคะ?”
เขาพยักหน้า “ใช่ คนของผมเพิ่งจะได้ข่าวท่านเมื่อเช้านี้” เขามองเธอด้วยแววตายุ่งยากใจเล็กน้อย “จิ้นหยวนรับตัวคุณป้ากลับไปแล้ว”
“นี่คุณพูดจริงเหรอคะ?” เธอคว้าจับมือเขาหมับ
เขาปรายตามองมือเธอแวบหนึ่ง แล้วมองหน้าเธอนิ่ง “เป็นเรื่องจริง…”
ทันใดนั้น ร่างกายเธอสั่นสะท้าน ริมฝีปากซีดเผือด “เขาทำแบบนี้หมายความว่ายังไง? หรือว่า…”
เธอสติแตก อกสั่นขวัญหาย ฉีหย่วนเหิงต้องรีบปลอบใจ “คุณอย่าเพิ่งใจร้อน คนของผมบอกว่าจิ้นหยวนไม่มีท่าทีจะทำให้ท่านลำบากใจ คุณสบายใจได้ จิ้นหยวนไม่ทำอะไรท่านหรอก”
หลังจากได้ยินคำปลอบใจของเขาแล้ว จิตใจเธอค่อยๆ สงบลง บางทีเขาอาจจะพูดถูก จิ้นหยวนไม่ใช่คนที่โกรธคนหนึ่งแล้วจะไปพาลหาเรื่องกับอีกคนหนึ่ง ที่เธอหนีออกมาครั้งนี้ก็เป็นการตัดสินใจกะทันหันโดยที่คุณแม่ของเธอไม่ได้รู้เรื่องอะไรด้วยเลย เพราะฉะนั้น จิ้นหยวนไม่มีเหตุผลที่จะทำให้ท่านลำบากใจ
“แล้วทำไมเขาต้องพาตัวคุณแม่ไปด้วย?” เธอจับมือเขาแน่นแล้วเอ่ยถามด้วยความไม่เข้าใจ
ความคิดหนึ่งผุดขึ้นในใจฉีหย่วนเหิง แต่เขาไม่กล้าเอ่ยออกไป ได้แต่เอ่ยปลอบเธอ “บางทีเขาอาจจะไม่อยากให้คุณป้าอยู่แต่ในโรงพยาบาลก็ได้ คุณวางใจเถอะ ผมจะให้คนของผมหาวิธีสืบข่าวให้ได้มากกว่านี้”
“ค่ะ ขอบคุณคุณมากนะคะ” เธอได้ยินคำยืนยันของเขาแล้วรู้สึกโล่งใจไม่น้อย ทันใดนั้น เธอเพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองจับมือเขาเอาไว้แน่น จึงรีบปล่อยมือออกด้วยความกระดากใจ “ขอโทษค่ะ เมื่อกี้ฉันใจร้อนเกินไปหน่อย”
ฉีหย่วนเหิงพยายามมองข้ามความผิดหวังเล็กๆ ในใจ เขาส่ายศีรษะน้อยๆ “ไม่เป็นไร ผมลงมือช้าเกินไป ถ้าลงมือเร็วกว่านี้ ไม่แน่ว่าบางทีผมอาจจะได้ตัวท่านก่อน และพวกคุณสองคนคงได้พบหน้ากันในไม่ช้า”
เธอส่ายศีรษะหน้าเศร้าๆ “อย่าพูดแบบนั้นสิคะ หลายวันมานี้คุณช่วยฉันมามากแล้ว” เธอลังเลเล็กน้อย จากนั้นตัดสินใจพูดความในใจที่เก็บเอาไว้หลายวันแล้วออกมา “ฉันคิดว่าถ้าได้ข่าวของคุณแม่แล้วฉันจะไปจากที่นี่ค่ะ”
ฉีหย่วนเหิงคิดไม่ถึงว่าเธอจะพูดแบบนี้ “ทำไมล่ะครับ? อยู่ที่นี่ไม่ดีตรงไหน?”
เธอยิ้มฝืดเฝื่อน “ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ พวกเขาดีกับฉันมาก ฉันเองก็มีความสุขที่ได้อยู่ที่นี่ แต่ว่า… ฉันไม่อยากทำให้พวกเขาต้องเดือดร้อนไปด้วย” เธอสูดหายใจลึกๆ พยายามมองเข้าไปในดวงตาของเขาด้วยความจริงจัง “แล้วก็ ต่อไปฉันอาจจะหางานทำ แต่ก็ต้องรอให้จิ้นหยวนยอมปล่อยมือจากเรื่องนี้ก่อน”
ฉีหย่วนเหิงเข้าใจความหมายของเธอ เขารู้สึกขมขื่นใจ ท่าทางเธอคงไม่อยากจะพึ่งพาเขาจนต้องขีดเส้นกั้นระหว่างเธอกับเขาให้ชัดเจน
เขายิ้มขมขื่น “คุณไม่เห็นต้องทำแบบนี้เลย รอให้จิ้นหยวนเลิกตามหาคุณแล้ว ผมจะพาคุณกลับไปเอง ถึงตอนนั้น ไม่ว่าคุณอยากจะหางานทำ หรือว่าไปเยี่ยมคุณแม่ของคุณ ผมก็จะช่วยคุณจัดการทุกอย่างเอง แบบนี้ดีกว่าไม่ใช่เหรอ?”
เธอลังเลชั่วครู่ “เอาไว้ค่อยว่ากันอีกทีดีกว่าค่ะ” เธอดูออกว่าฉีหย่วนเหิงร้อนใจมากขนาดไหน เธอชักรู้สึกเสียใจเสียแล้วสิที่ด่วนบอกความคิดของตัวเองให้เขารู้