เธอพกพาอารมณ์โกรธเกลียดกลับห้องตัวเอง พอเห็นเครื่องประดับตกแต่งหรูหราสวยงามในห้อง ความโกรธก็ปะทุขึ้นมาอีกครั้ง
ถ้าเธออยากเสวยสุขเพราะสิ่งของพวกนี้ เธออยู่บ้านตัวเองไม่ดีกว่าเหรอ ทำไมต้องรนหาที่ให้ตัวเองถูกรังแกถึงที่นี่ด้วย?
ยิ่งคิดยิ่งโมโห ทันใดนั้น เธอยื่นมือออกไปกวาดเครื่องสำอางราคาแพงจนน่าตกใจที่วางเรียงรายอยู่บนโต๊ะเครื่องแป้งหรูหราตกลงพื้น จิ้นหยวนไม่เคยชายตามองเธอแม้แต่หางตา แล้วเธอจะแต่งตัวสวยไปเพื่ออะไร?
เธอชักรู้สึกเสียใจขึ้นมาเสียแล้ว ถ้าเธอรู้ว่าการเอาใจและเข้าทางจิ้นเฮ่าจะทำให้จิ้นหยวนไม่พอใจมากขนาดนี้ เธอคงไม่ทำแบบนั้นตั้งแต่แรก แต่เรื่องทุกอย่างเกิดขึ้นแล้วและไม่อาจหวนกลับไปแก้ไขอีก ต่อให้เธอรู้สึกเสียใจมากแค่ไหนก็เปล่าประโยชน์
เธอได้แต่ก้มหน้าลงร้องไห้กับโต๊ะเครื่องแป้งด้วยความเสียอกเสียใจ
ทันใดนั้น เสียงโทรศัพท์มือถือดังขัดจังหวะขึ้น เธอปาดน้ำตาทิ้ง หันไปมองหน้าจอโทรศัพท์มือถือ แล้วเห็นว่าคุณแม่เป็นคนโทรเข้ามา เธอกำลังรู้สึกน้อยใจและไม่มีที่ระบายอยู่พอดี จึงรีบกดรับสายทันที “คุณแม่… หนูเสียใจเหลือเกิน…”
คุณนายหร่วนตกอกตกใจยกใหญ่ รีบเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง หลังจากฟังเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดแล้วได้แต่โมโหที่ไม่ได้ดั่งใจ “แม่ควรพูดว่าอะไรดี แม่บอกตั้งแต่แรกแล้วใช่ไหมว่าให้มัดใจจิ้นหยวนให้อยู่หมัดเสียก่อน แต่ลูกก็ไม่ยอมเชื่อ แล้วตอนนี้เป็นยังไง เขาไม่เห็นลูกอยู่ในสายตาด้วยซ้ำ เขาคงแค่แต่งงานกับลูกเพื่อตบตาพ่อตัวเองเท่านั้น ตอนนี้เห็นผลหรือยังล่ะ?”
หร่วนเซียงเซียงร้องห่มร้องไห้ไม่หยุด “ฮือๆ แล้วตอนนี้หนูควรทำยังไงดีคะ? เขาไม่ชายตาแลหนูสักนิด แล้วแบบนี้มันจะไปมีความหมายอะไร แบบนี้หนูกลับไปอยู่ที่บ้านไม่ดีกว่าเหรอคะ”
คุณนายหร่วนตกใจ “ไม่ได้นะ! ลูกจะกลับมาไม่ได้เด็ดขาด”
หร่วนเซียงเซียงรู้สึกผิดหวังมาก “ทำไมล่ะคะ คุณแม่ไม่รักหนูแล้วเหรอ?”
คุณนายหร่วนเซียงเซียงปวดเศียรเวียนเกล้า “ทำไมถึงทำตัวเป็นเด็กๆ ไปได้ ลูกเคยได้ยินใครเขาหย่ากันหลังแต่งงานไม่ถึงครึ่งเดือนบ้างหรือเปล่า? ใครรู้เข้าคงถูกหัวเราะตาย ลูกต้องอยู่ที่นั่น อีกสักพักค่อยพาจิ้นหยวนกลับมาด้วยกัน”
“แต่เขา…” หร่วนเซียงเซียงรีบแย้ง
“นั่นเป็นเพราะลูกยังพยายามไม่มากพอต่างหาก ลูกทำดีกับเขา สักวันเขาต้องเห็นความดีของลูกอย่างแน่นอน” คุณนายหร่วนเกลี้ยกล่อม
“ไม่ได้ผลหรอกค่ะ ในใจเขามีแต่ผู้หญิงคนนั้นคนเดียวเท่านั้น ตอนนี้เฉียวซือมู่ไปจากเขาแล้ว แต่เขายังอุตส่าห์ไปรับตัวแม่ที่ป่วยจะเป็นจะตายของมันไปอยู่ที่บ้าน หนูคิดว่าหนูหมดหวังแล้วล่ะค่ะ” หร่วนเซียงเซียงถูกจิ้นหยวนข่มขู่และดูถูกเหยียดหยามจนหมดความมั่นใจ
คุณนายหร่วนที่ได้ยินคำพูดหมดอาลัยตายอยากของลูกสาวถึงกับอยากจะบีบคอเธอให้ตายคามือเสียให้รู้แล้วรู้รอด “นี่แกสู้ผู้หญิงที่ไม่อยู่แล้วไม่ได้เลยเชียวเหรอ นี่แกยังเป็นลูกสาวของฉันอยู่หรือเปล่า! ฉันจะบอกอะไรให้นะ แกต้องลุกขึ้นสู้เพื่อให้ได้ทุกอย่างมาเป็นของตัวเอง ตอนนี้ผู้หญิงคนนั้นไม่อยู่ มันเป็นโอกาสของแกแล้ว หรือแกจะรอให้มันกลับมาก่อน ดูซิว่าถึงตอนนั้นแกจะทำยังไง?”
“แต่ว่า… แต่ว่าจิ้นหยวนเอาแต่คิดถึงมันนี่คะ” หร่วนเซียงเซียงรู้อยู่เต็มอกว่าจิ้นหยวนยังคงเฝ้ารอให้เฉียวซือมู่กลับมาหาเขา
“ถ้าอย่างนั้นก็ทำให้มันกลับมาไม่ได้สิ” คุณนายหร่วนเอ่ยอย่างโหดเ**้ยม
หร่วนเซียงเซียงชะงักอึ้ง รู้สึกขนลุกขนชัน “คุณแม่หมายความว่ายังไงคะ?”
“ก็หมายความว่า ทำให้มันกลับมาไม่ได้อีกตลอดไปยังไงล่ะ” คุณนายหร่วนเอ่ยอย่างเ**้ยมเกรียม
“แต่ว่า ตอนนี้หนูไม่รู้ว่ามันอยู่ที่ไหน…” หร่วนเซียงเซียงเข้าใจความหมายของคุณนายหร่วนทันที เธอตื่นเต้นจนเหงื่อออกเต็มฝ่ามือ รู้สึกสบายอกสบายใจและสะใจเป็นอย่างมาก
“แม่ไปหาเอง” คุณนายหร่วนตกปากรับคำทันที “ถ้าหาเจอแล้วแม่จะทำให้มันไม่มีวันได้กลับมาปรากฏตัวต่อหน้าจิ้นหยวนอีก แต่ถ้าหาไม่เจอ…”
หร่วนเซียงเซียงเอ่ยเสียงเครียด “ถ้าหาไม่เจอ หนูคิดว่าจิ้นหยวนก็คงไม่มีทางตัดใจง่ายๆ หรอกค่ะ”
คุณนายหร่วนเอ่ยขึ้น “ถ้าอย่างนั้นแม่ก็จะปล่อยให้เขาหาเจอ วางใจเถอะ แม่จะเก็บกวาดให้สะอาดเรียบร้อย และเขาจะไม่มีวันรู้เด็ดขาด”
หร่วนเซียงเซียงอดถามไม่ได้ “แล้วคุณแม่จะทำยังไงคะ?”
“ลูกไม่ต้องรู้หรอก สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือลูกต้องมัดใจจิ้นหยวนให้อยู่หมัด เข้าใจหรือยัง?” คุณนายหร่วนกำชับ
“ค่ะ หนูเข้าใจแล้ว” หร่วนเซียงเซียงรู้ตั้งแต่เด็กแล้วว่าคุณแม่เป็นคนเจ้าแผนการ ฝีมือโหดเ**้ยม เธอเคยเห็นเองกับตาว่าท่านสามารถจัดการกับพวกผู้หญิงที่มายุ่งเกี่ยวกับคุณพ่อได้อย่างแนบเนียนไร้ที่ติ แต่เธอไม่คิดเลยว่าวันหนึ่งท่านจะลงมือเพราะเรื่องของเธอ “ถ้าอย่างนั้นคุณแม่ระวังตัวด้วยนะคะ”
เธอวางสายแล้วถึงรู้สึกอกสั่นขวัญแขวน ถ้าเกิดจิ้นหยวนรู้เรื่องนี้เข้าล่ะก็… เธอไม่กล้าคิดถึงผลที่จะตามมาเลย
ไม่ ต้องไม่เป็นแบบนั้นสิ คุณแม่เป็นคนฉลาดมาก จะต้องไม่ทิ้งร่องรอยเอาไว้แน่ เธอพยายามให้กำลังใจตัวเองอยู่เงียบๆ
คุณนายเฉียวกำลังนั่งพิงพนักโซฟา ข้างหน้าเธอคือกองเสื้อผ้าและของใช้ของเฉียวซือมู่ที่เหลือทิ้งไว้ เธอนั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่สักพักจึงถอนหายใจออกมาเบาๆ “พ่อบ้านเฉิน คุณคิดว่ามู่มู่ไปอยู่ที่ไหน ทำไมถึงหายตัวไปโดยไม่บอกไม่กล่าวสักคำ?”
พ่อบ้านเฉินรินน้ำชาให้เธออยู่ข้างๆ เขายิ้มสง่างาม “บางทีเธออาจจะแค่ออกไปเที่ยวกับเพื่อนๆ จนลืมบอกก็ได้ครับ รอให้เธอกลับมาก่อน คุณค่อยตักเตือนเธอทีหลังก็ได้ครับ”
“มันก็ต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว ฉันคงต้องด่าเสียให้เข็ด โตจนป่านนี้แล้วยังทำให้ต้องคอยเป็นห่วงอยู่เรื่อย จริงๆ เลย เฮ้อ…” คำสุดท้ายเผยให้เห็นถึงความเป็นห่วงของเธอ
น่าสงสารหัวอกคนเป็นพ่อแม่ ตอนแรกเธอรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลจนร่างกายเกือบจะหายดีแล้วแท้ๆ แต่ปรากฎว่าข่าวการหายตัวไปของลูกสาวทำให้เธอเป็นกังวลมากเกินไปจนทำให้ร่างกายเริ่มแย่ลงอีก ดังนั้น ผู้คนรอบกายจึงไม่กล้าพูดเรื่องที่กระตุ้นอารมณ์ของเธออีก และต่างพากันเลี่ยงที่จะพูดถึงเรื่องของลูกสาวของเธอ
ถึงจะเป็นอย่างนั้นก็ตาม แต่แม่ลูกใจเชื่อมใจ คงเป็นไปไม่ได้ที่เธอจะไม่เป็นห่วงลูกสาว พ่อบ้านเฉินจึงได้แต่มองดูเธอคอยเป็นห่วงเป็นกังวลเรื่องลูกสาวโดยที่ทำอะไรไม่ได้เลย
เขาได้แต่ทอดถอนใจอยู่ในอก ยามแรกที่เขารับรู้ว่าคุณชายตัดสินใจจะแต่งงานกับหร่วนเซียงเซียงนั้นเขาก็ทำนายได้เลยว่าต้องแย่แน่ๆ แต่คำพูดของเขาไม่มีน้ำหนักมากพอที่คุณชายจะรับฟัง และในที่สุดเรื่องก็แดงขึ้นมาจนได้ และผลก็เป็นไปในทิศทางที่เขาเป็นกังวลจริงๆ
ในขณะที่เขาเองก็แอบถอนหายใจอยูในใจตามเธอ ทันใดนั้นเขาได้ยินเสียงรถขับเข้ามา จากนั้นเสียงก้าวเดินอย่างมั่นคงดังขึ้นตามหลัง
นั่นมันคุณชายนี่ ทำไมเขาถึงมาที่นี่ล่ะ? พ่อบ้านเฉินแปลกใจไม่น้อย เพราะตั้งแต่คุณเฉียวจากไปแล้ว คุณชายก็ไม่เคยกลับมาที่นี่อีก โดยเฉพาะในเวลากลางคืนเช่นนี้
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เขารีบเดินเข้าไปต้อนรับตามหน้าที่ดังเช่นปกติ จิ้นหยวนเดินก้าวเท้ายาวๆ เข้ามาในบ้าน บรรยากาศรอบกายเย็นยะเยือก เขามองเพียงแวบเดียวก็รู้ได้ในทันทีว่าตอนนี้จิ้นหยวนกำลังอารมณ์เสียมาก เขาไม่กล้าพูดมาก ได้แต่ก้มหน้าทักทายอย่างนอบน้อม “คุณชาย”
จิ้นหยวนมองพ่อบ้านเฉินแวบหนึ่ง จากนั้นหันไปเห็นคุณนายเฉียวที่กำลังนั่งเหม่อลอยอยู่บนโซฟา แววตาของเขาอ่อนแสงลงเล็กน้อย จากนั้นเดินไปหยุดยืนอยู่ข้างๆ คุณนายเฉียว
คุณนายเฉียวเห็นว่าจิ้นหยวนกลับมาแล้ว พลันดวงตาฉายประกายแห่งความหวังขึ้นมาทันที “อาหยวน เธอได้ข่าวมู่มู่บ้างหรือยัง?”
เธอเรียกเขาว่าอาหยวนตามคนอื่นๆ จิ้นหยวนส่ายศีรษะเล็กน้อย “ได้เบาะแสมาบ้างแล้วครับ อีกไม่นานคงได้ข่าวของเธอ คุณป้าวางใจเถอะครับ”
“ดี ดี…” คุณนายเฉียวยิ้มอย่างเหนื่อยอ่อน ใบหน้าเธอเต็มไปด้วยร่องรอยแห่งกาลเวลา ก่อนหน้านี้เธอใช้ชีวิตอย่างไร้ความกังวลเพราะครอบครัวและสามีรักและทะนุถนอมเธอเหมือนไข่ในหิน แต่คิดไม่ถึงเลยว่าชีวิตในวัยกลางคนของเธอกลับต้องมาเจอเรื่องกระทบกระเทือนจิตใจอย่างหนักเช่นนี้ นี่แหละนะที่ว่าสรรพสิ่งเป็นอนิจจัง