เธอมองเอกสารหนาเป็นปึกในมือตัวเองแล้วลอบถอนหายใจในอก จากนั้นก้มหน้าก้มตาทำงานต่อ
หญิงสาวที่ชื่อเจนนี่ที่นั่งอยู่โต๊ะข้างๆ เธอยื่นหน้าออกมามองเธอด้วยความเห็นใจ “เฉียว ผู้หญิงคนนั้นทำให้เธอลำบากใจอีกแล้วใช่ไหม?”
เจนนี่เป็นชาวอิตาลี ภาษาอังกฤษของเธอจึงติดสำเนียงอิตาเลียนอย่างชัดเจน เฉียวซือมู่ต้องใช้เวลาปรับตัวอยู่นานกว่าจะฟังภาษาอังกฤษของเธอรู้เรื่อง บางทีอาจจะเป็นเพราะเหตุผลนี้ก็ได้ เอลลี่ถึงไม่ค่อยทำให้เจนนี่ต้องลำบากใจสักเท่าไหร่ หากแต่พุ่งเป้ามาที่เฉียวซือมู่คนเดียวแทน
และนี่ทำให้เพื่อนร่วมงานหลายๆ คนเห็นอกเห็นใจเธอ รวมทั้งเจนนี่ด้วย
เฉียวซือมู่ยิ้มๆ “ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันเร่งมือทำ น่าจะเสร็จทันสองทุ่ม”
เจนนี่ทำหน้าไม่พอใจ “เอลลี่ก็ทำเกินไป เธอควรจะไปบอกให้เจ้านายรู้นะ”
ที่เจนนี่มีปฏิกิริยารุนแรงขนาดนี้นั้นเป็นเพราะที่นี่คือยุโรป ที่นี่เลิกงานเร็วมาก ต่อให้ต้องทำงานล่วงเวลาก็ไม่เกินหกโมงเย็น ถ้าเกินหกโมงเย็น ต่อให้นายจ้างยินดีจ่ายค่าแรงให้สิบเท่า แต่ก็ไม่มีลูกจ้างคนไหนยินดีทำงานให้ และแน่นอนว่านายจ้างเองก็ไม่บังคับเหมือนกัน เพราะสหภาพแรงงานในต่างประเทศนั้นแข็งแกร่งและมีพลังมาก
พอเฉียวซือมู่บอกว่าสองทุ่ม พวกเขาจึงรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ เจนนี่จึงรู้สึกโมโหขนาดนี้
แต่เฉียวซือมู่กลับไม่รู้สึกแบบนั้น เธอทำงานในประเทศตั้งนาน เอะอะก็ต้องทำงานล่วงเวลาถึงสี่ทุ่มห้าทุ่ม และบางครั้งถึงขั้นต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้น เรื่องแค่นี้จึงทำอะไรเธอไม่ได้
แต่เธอหงุดหงิดเรื่องอื่นมากกว่า ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเธอถึงรู้สึกว่าหัวหน้าเอลลี่เพ่งเล็งเธอเป็นพิเศษ แต่เธอไม่เคยล่วงเกินอะไรเธอนี่นา
เมื่อเห็นว่าเจนนี่กำลังโกรธแทนเธอ เธอจึงได้แต่ยิ้มน้อยๆ “ไม่เป็นไร ฉันเตรียมอาหารเย็นมาด้วย ไม่กลัวหิวหรอก”
เธอพยายามลงมือทำอาหารเองทุกวันเพื่อเป็นการประหยัดเงิน เรื่องเตรียมปิ่นโตอาหารมาทำงานจึงกลายเป็นกิจวัตรประจำวันไปแล้ว
เจนนี่ได้ยินแล้วตาเป็นประกายวาบ “อาหารจีนหรือเปล่า?”
เธอพยักหน้า “ใช่”
ประกายตื่นเต้นของเจนนี่หายไป “แต่น่าเสียดายจังที่ฉันไม่ได้กินด้วย เลิกงานแล้วฉันต้องกลับบ้านเลย”
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวเลิกงานแล้วฉันแบ่งให้กินก็ได้ วันนี้ฉันทำเปาะเปี๊ยะทอดมาด้วยนะ” เธอยิ้มตาหยี
“จริงเหรอ? ดีจังเลย” เห็นได้ชัดว่าเจนนี่เป็นนักกินตัวยง ได้ยินแบบนี้แล้วจึงรู้สึกดีใจจนกระโดดโลดเต้น ทันใดนั้น เธอรู้สึกเกรงใจที่ตัวเองกินอาหารของเธอฟรีๆ เธอครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วเอ่ยขึ้น “ถ้างั้นเดี๋ยวฉันช่วยเธอทำต้นฉบับด้วยคนนะ แบบนี้เธอจะได้ทำงานเสร็จไวๆ ไง”
“แล้วงานของเธอล่ะ?” เฉียวซือมู่เอ่ยถาม
“ไม่เป็นไร งานของฉันใกล้เสร็จแล้ว” เจนนี่ยื่นมือออกไปหยิบเอกสารมาจากเฉียวซือมู่ครึ่งหนึ่งอย่างกระตือรือร้น เธอเปิดไปบ่นไป “โอ้ พระเจ้า! นี่มันสมัยไหนแล้ว ทำไมถึงยังใช้กระดาษอยู่อีก เอลลี่ยังใช้ชีวิตอยู่ในศตวรรษที่ยี่สิบหรือยังไง?”
เอลลี่เป็นคนหัวโบราณ ดูได้จากการพูดการจาและการกระทำต่างๆ ของเธอ และสิ่งที่ถือเป็นเอกลักษณ์ที่สุดคงเป็นเรื่องที่เธอชอบทำอะไรแบบเก่าๆ อย่างเช่นเธอสามารถสแกนข้อมูลพวกนี้เก็บไว้ในคอมพิวเตอร์ แต่เธอไม่ทำ เธอชอบถ่ายเอกสารเป็นปึกๆ แบบนี้มากกว่า
วิธีการของเธอไม่สะดวกเหมือนการใช้คอมพิวเตอร์ ดังนั้น เพื่อนร่วมงานส่วนใหญ่จึงมักจะบ่นเรื่องนี้อยู่บ่อยๆ และดูเหมือนว่าเจ้านายเองก็รู้เรื่องนี้ด้วยเหมือนกัน และเธอยังเคยถูกเจ้านายตักเตือนด้วยว่าทำแบบนี้เป็นการสิ้นเปลืองทรัพยากรกระดาษเป็นอย่างมาก
แต่ดูเหมือนมันจะไม่ได้ผลสักเท่าไหร่ เฉียวซือมู่แอบคิดในใจ
เธอรู้สึกดีใจไม่น้อยที่เจนนี่ยื่นมือออกมาช่วยเธอด้วยความเต็มใจ ไม่เสียแรงที่เธอยอมแบ่งอาหารให้เธอกิน แต่ก็น่าแปลก ทั้งๆ ที่เจนนี่เป็นคนยุโรปแท้ๆ แต่กลับชอบอาหารจีนมากเป็นพิเศษ และยังสนใจอาหารจีนทุกประเภทอีกด้วย
แบบนี้ก็ไม่เลวเหมือนกัน เปาะเปี๊ยะทอดเพียงไม่กี่ชิ้นก็สามารถแลกความช่วยเหลือจากเจนนี่ได้แล้ว ท่าทางวันนี้เธอคงได้กลับบ้านเร็วขึ้น
เธอยิ้มพอใจแล้วก้มหน้าก้มตาทำงานต่อ
การช่วยกันทำงานช่วยทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานเพิ่มสูงขึ้นไม่น้อย เมื่อถึงเวลาเลิกงาน เธอจึงเหลืองานอีกเพียงแค่หนึ่งในสี่เท่านั้น เจนนี่มองเธอด้วยความเป็นห่วงเล็กน้อย “เฉียว ฉันต้องกลับแล้ว เธอทำคนเดียวไหวหรือเปล่า?”
เฉียวซือมู่ก้มลงหยิบปิ่นโตออกมาจากชั้นวางของของตัวเองแล้วเลื่อนมันไปไว้ตรงหน้าเจนนี่ “ไม่เป็นไร อีกแป๊บเดียวก็เสร็จแล้ว เธอกินเถอะ อย่าลืมเหลือให้ฉันด้วยล่ะ”
เจนนี่เปิดกล่องปิ่นโตออก ในนั้นมีเปาะเปี๊ยะทอดแท่งสีเหลืองทองที่ส่งกลิ่นหอมยั่วน้ำลาย และยังมีข้าวผัดสีสันสวยงามอีกด้วย ดูหน้าตาน่ากินมาก เธอเอ่ยขึ้นอย่างอดใจไม่ไหว “เฉียว นี่เธอมีเวทมนตร์ใช่ไหมเนี่ย”
เฉียวซือมู่หลุดหัวเราะออกมาเบาๆ อาหารสองอย่างนี้ทำง่ายจะตาย โดยเฉพาะเปาะเปี๊ยะทอด แค่หยิบมันออกมาจากตู้เย็นแล้วทอดในกระทะร้อนๆ ก็เสร็จเรียบร้อยแล้ว ง่ายจะตาย แต่เจนนี่กลับเห็นเธอกลายเป็นนักเวทย์ลึกลับไปเสียแล้ว
เธอส่ายศีรษะน้อยๆ “ถ้าเธอชอบ มีช้อนอยู่ใต้ปิ่นโต เธอกินข้าวผัดได้นะ”
หลังจากเจนนี่ต่อสู้กับความเจ็บปวดที่ต้องเลือกแล้ว เธอส่ายศีรษะอย่างแน่วแน่ “ไม่ ไม่ดีกว่า ฉันกินแค่เปาะเปี๊ยะทอดก็พอ”
เฉียวซือมู่ยิ้มในใจ นี่เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเธอถึงแบ่งอาหารให้เจนนี่กินบ่อยๆ เพราะถึงเธอจะชอบกินมากแต่ก็รู้ขอบเขต ปกติเจนนี่ยังช่วยเธออยู่บ่อยๆ เพราะฉะนั้นเธอจึงรู้สึกดีกับเจนนี่ไม่น้อย
และการกระทำหลายๆ อย่างของเจนนี่ยังทำให้เธอคิดถึงหรงเซียวอีกด้วย คิดๆ แล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ
ตอนนี้เธอทิ้งทุกอย่างเอาไว้ข้างหลังหมดแล้ว ไม่รู้ว่าตอนนี้พวกเขาจะเป็นอย่างไรบ้าง
เธอครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วก้มหน้าก้มตาตั้งใจทำงานอย่างขะมักเขม้น จนกระทั่งเธอเงยหน้าขึ้นอีกครั้งตอนที่งานใกล้เสร็จแล้วถึงได้เห็นว่าโต๊ะทำงานข้างๆ ตัวเองนั้นว่างเปล่า ปิ่นโตถูกวางอย่างเรียบร้อยอยู่บนโต๊ะ เจนนี่กลับไปตอนที่เธอกำลังตั้งหน้าตั้งตาทำงานอย่างจริงจังนั่นเอง
ครอบครัวของเจนนี่ค่อนข้างเคร่งครัด เธอจึงต้องกลับไปรับประทานอาหารค่ำตรงเวลาทุกวัน มิเช่นนั้นเธอจะถูกตำหนิเอาไว้ นี่เป็นสิ่งที่เจนนี่เคยบอกกับเธอ และมันทำให้เธอรู้สึกประหลาดใจไม่น้อย ที่แท้ในยุโรปยังมีครอบครัวหัวเก่าแบบนี้อยู่ด้วย
เธอฟังแล้วไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะทุกคนต่างเติบโตมาจากครอบครัวที่แตกต่างกัน เธอไม่มีสิทธิ์วิพากษ์วิจารณ์ครอบครัวของใคร
ตอนนี้งานของเธอใกล้จะเสร็จเรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงแค่ทำข้อสรุปเท่านั้น และตอนนี้เพิ่งจะหกโมงครึ่งเอง เธอบิดขี้เกียจเล็กน้อยด้วยความรู้สึกดีใจ เริ่มวางแผนว่าหลังเลิกงานแล้วน่าจะแวะซื้อของที่ซูเปอร์มาร์เก็ตระหว่างทางกลับบ้าน เพราะเสบียงที่บ้านเหลือไม่เยอะแล้ว
ทันใดนั้น มีเสียงดังมาจากประตูออฟฟิศที่ปิดสนิทแล้ว เธอหันมองไปทางประตูด้วยความระแวง หัวใจเธอเต้นแรง มิลานเป็นเมืองใหญ่ที่มีผู้คนหลายชาติพันธุ์อาศัยอยู่ร่วมกัน เธอไม่มีทางเชื่อเด็ดขาดว่าที่นี่จะไม่มีอาชญากรเลย และเวลานี้เพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ น่าจะกลับบ้านกันหมดแล้ว คงไม่มีใครย้อนกลับมาอีกแน่
ถ้าเช่นนั้น คนที่มาที่นี่เป็นใครกัน? หรือว่าจะเป็นขโมย?
เธอหายใจแรง มือขวาล้วงเข้าไปจับกระป๋องสเปรย์พริกไทยในกระเป๋าเอาไว้แน่น