เธอไม่อยากนั่งรถไปกับเขา ใครจะไปรู้ว่าผู้ชายท่าทางแปลกๆ คนนี้จะไม่กลายร่างเป็นมนุษย์หมาป่าระหว่างทาง
เธอรีบอธิบายทันทีที่เห็นสีหน้าไม่ค่อยพอใจของเขา “คือว่าอย่างนี้ค่ะ พอดีฉันนัดเพื่อนเอาไว้แล้ว เดี๋ยวเพื่อนฉันจะมารับฉันที่นี่ เพราะฉะนั้น…”
เขารู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยเพราะคิดไม่ถึงว่าเธอจะมีเพื่อนอยู่ที่นี่ รอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้าของเขาอีกครั้ง เขาพยักหน้าให้เธอเล็กน้อย “ถ้างั้นผมไม่รบกวนคุณแล้ว” เอ่ยจบแล้วหมุนตัวเดินออกไปทันที
เธอมองแผ่นหลังของเขาที่เดินหายลับไปแล้วถอนหายใจด้วยความโล่งอก รีบโกยข้าวผัดเย็นชืดที่เหลือเข้าปากจนหมด จากนั้นเก็บของอย่างรวดเร็ว คว้ากระเป๋าแล้ววิ่งลงบันไดไปทันที
เธอจำได้ว่าเวลานี้ยังมีรถไฟฟ้าวิ่งอยู่ ครั้งก่อนเธออยู่ทำงานจนดึกดื่นจนทำให้ไม่ทันรถไฟฟ้าเที่ยวสุดท้าย สุดท้ายเธอต้องจ่ายเงินตั้งเยอะเพื่อนั่งรถแท็กซี่กลับบ้าน
ที่เธอบอกว่าเพื่อนจะมารับนั้นเป็นข้ออ้างที่เธอแต่งขึ้นทั้งหมด แม้ในเรื่องงานคริสจะเป็นเจ้านายที่ดีก็เถอะ แต่ในชีวิตส่วนตัวเธอไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเขาเลยสักนิด เพราะฉะนั้น เธอจึงต้องระมัดระวังตัวเป็นพิเศษ ไหนๆ นั่งรถไฟฟ้าก็ไม่ได้เสียเงินเยอะแยะอะไรมากมายอยู่แล้ว
เธอวิ่งออกจากประตูบริษัทอย่างเร่งร้อนแล้วตรงไปยังสถานีรถไฟฟ้าทันที สถานีรถไฟฟ้าอยู่ห่างจากออฟฟิศประมาณสิบนาที โชคดีที่ตอนนี้ยังไม่ดึกมาก ร้านรวงต่างๆ จึงยังเปิดไฟสว่างไสว เธอจึงไม่รู้สึกกลัวสักเท่าไหร่
แต่เธอเดินอยู่ดีๆ พลันรู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่าง ทำไมทุกคนถึงมองมาที่เธอเป็นตาเดียวล่ะ?
เธอหันกลับไปมองแล้วพบว่ามีรถสีดำคันหนึ่งกำลังขับตามหลังเธอมา นั่นมันรถปอร์เช่ไม่ใช่เหรอ?
เธอมองเต็มตาถึงเห็นว่าเจ้านายของตัวเองกำลังฉีกยิ้มสดใส ดวงตาสีเขียวเป็นประกายวิบวับอยู่ใต้แสงไฟ
แม้เธอจะรู้สึกกระอักกระอ่วนใจเล็กน้อยที่ถูกจับได้ว่าโกหก แต่เธอก็รู้สึกเหนื่อยหน่ายใจมากกว่า เขาขับรถเข้ามาขนาบข้างเธอแล้วเอ่ยกับเธอ “คุณเฉียว เชิญขึ้นรถเถอะครับ ผมไม่ได้มีเจตนาร้ายต่อคุณ ผมขอสาบานต่อพระเจ้าก็ได้”
เธอนึกไม่ถึงเลยว่าเขาจะพูดสิ่งที่เธอกำลังเป็นกังวลออกมาแบบนี้ อีกอย่างเขายังเป็นเจ้านายของเธอเสียด้วยสิ เธอลังเลเล็กน้อย ในที่สุดก็เปิดประตูแล้วขึ้นไปนั่งในรถจนได้
เพื่อความปลอดภัยของตัวเอง เธอจึงตัดสินใจขึ้นไปนั่งบนเบาะหลังแทนที่จะนั่งข้างที่นั่งคนขับ
คริสชำเลืองมองเธอแวบหนึ่ง รู้สึกเหนื่อยใจเล็กน้อยที่เธอระวังตัวแจแบบนี้ ถึงเขาจะรู้สึกดีกับเธอ แต่เขาไม่มีวันทำเรื่องที่เป็นการบังคับฝืนใจผู้หญิงอย่างแน่นอน
เฉียวซือมู่รู้สึกว่าตัวเองทำเกินไป และตอนนี้เจ้านายของเธอคงกำลังรู้สึกแย่มากแน่ๆ เธอจึงเอ่ยถามขึ้น “ทำไมจู่ๆ คืนนี้คุณถึงย้อนกลับมาที่ออฟฟิศล่ะคะ?”
เขารู้สึกแปลกใจเล็กน้อยที่อยู่ดีๆ เธอก็ถามเขาแบบนี้ “ผมลืมของเอาไว้น่ะ ก็เลยกลับไปเอา แต่กลับเจอแมวน้อยตัวหนึ่งแอบซ่อนอยู่ใต้โต๊ะและไม่ยอมออกมาสักที”
คำพูดหยอกล้อของเขาทำให้เธอหน้าแดงซ่านด้วยความอับอาย เธอละล่ำละลักอธิบาย “เป็นเพราะว่ารอบตัวเงียบมากเกินไป ฉันก็เลยจินตนาการไกลไปหน่อยน่ะค่ะ”
“เหรอ? ถ้างั้นมันเป็นความผิดของผมใช่ไหมที่ให้คุณทำงานจนดึกขนาดนี้”
“เปล่า ไม่ใช่แบบนั้นนะคะ มันไม่เกี่ยวอะไรกับคุณเลยค่ะ เพราะเอลลี่ต่างหาก…” เธอไม่ชอบพูดจาลับหลังคนอื่น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเธอจะยอมปล่อยให้คนอื่นปฏิบัติกับเธออย่างไม่ยุติธรรม เธอจึงถือโอกาสเอ่ยถึงเล็กน้อย หากเจ้านายใส่ใจจริงๆ เขาก็จะเป็นคนจัดการเรื่องนี้เอง
คริสเข้าใจความหมายของเธอ เขาพยักหน้าเล็กน้อย “คุณวางใจเถอะ ต่อไปจะไม่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีก”
เธอรู้สึกโล่งอก “ถ้างั้นก็ขอบคุณคุณมากนะคะ”
คริสมองเธอยิ้มๆ “ไม่เป็นไรครับ มันเป็นหน้าที่ของผมอยู่แล้ว” เขาหมุนพวงมาลัยรถแล้วขับเข้าไปจอดลงตรงหน้าที่พักของเธอ “ถึงแล้ว”
เธอมองออกไปนอกรถถึงได้รู้ว่าถึงที่พักของตัวเองแล้วจริงๆ เธออยากจะเอ่ยถามว่าเขารู้ที่อยู่ของเธอได้อย่างไร ขณะที่กำลังจะอ้าปากถาม ทันใดนั้น เธอเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตัวเองเป็นคนกรอกที่อยู่ของที่นี่ลงในหนังสือตอบรับเข้าทำงานเอง และเขาคงเห็นที่อยู่เธอจากเอกสารฉบับนั้นนั่นเอง
เธอแอบคิดในใจว่าเป็นเจ้านายมันดีอย่างนี้นี่เอง จากนั้นจึงเอ่ยกับเขาเบาๆ “ขอบคุณค่ะ”
เอ่ยจบแล้วคิดจะลงจากรถทันที เธอยื่นมือไปเปิดประตูรถแต่กลับเปิดไม่ออก รอยยิ้มของเธอค้างอยู่บนใบหน้า เธอหันไปเอ่ยกับเขา “ขอโทษนะคะ คุณช่วยปลดล็อกประตูให้หน่อยได้ไหมคะ?”
แสงไฟที่ส่องผ่านกระจกรถเข้ามาข้างในรถทำให้ใบหน้าของคริสดูน่าหลงใหลมากยิ่งขึ้น มีเสน่ห์น่าดึงดูดและเย้ายวนใจมากยิ่งขึ้น จนหัวใจของเธอเต้นเร็วขึ้นหนึ่งจังหวะโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว
เขาเอียงศีรษะมาด้านหลังเล็กน้อยพลางส่งยิ้มน้อยๆ ให้เธอ “จะไม่เชิญผมขึ้นไปนั่งสักหน่อยเหรอครับ?”
เธอได้ยินแล้วถึงกับตกใจจนตาโต เธอใช้ชีวิตอยู่ที่นี่หลายเดือนแล้ว และเธอเข้าใจดีว่าในประเทศที่เปิดเผยเช่นนี้ คำพูดแบบนี้ของเขานั้นหมายความว่าอย่างไร เธอตกใจจนได้แต่ส่ายศีรษะรัวๆ “ไม่ ไม่ดีกว่าค่ะ บ้านฉัน… บ้านฉันรกมาก ไม่เหมาะที่จะต้อนรับแขกหรอกค่ะ…”
เธอเร่งร้อนจนคิดข้ออ้างได้แค่นี้ โชคดีที่เขาไม่ใช่คนที่ถูกความต้องการครอบงำจนหน้ามืดตามัว เธอได้แต่ส่งยิ้มแหยๆ ให้เขา จากนั้นรีบเปิดประตูแล้วลงจากรถทันที
เธอถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งอกราวยกภูเขาออกจากอก เธอเอ่ยคำว่า “ขอบคุณ” เสร็จแล้วกระโดดลงจากรถทันที ไม่แม้แต่จะเอ่ยคำลากับเขาสักคำ
แต่ดูเหมือนเขาจะไม่ได้โกรธเธอสักนิด เขายังอุตส่าห์โบกมือลาเธอแล้วจึงขับรถจากไป
สิ่งที่ผู้ใหญ่อย่างเขาให้ความสำคัญคือเรื่องของความยินยอมพร้อมใจ ในเมื่อเขาโยนหินถามทางแล้วถูกปฏิเสธ เขาก็ต้องยอมปล่อยมืออย่างสง่างาม
เฉียวซือมู่มองรถของเขาเคลื่อนตัวออกไปจนหายลับเข้าไปในความมืด เธอเม้มริมฝีปากเล็กน้อย รู้สึกว่าเจ้านายคนนี้สง่างามไม่เบา เขากลัวว่าเธอจะรู้สึกอับอายจึงไม่ถามว่าเหตุใดเธอจึงไปแอบซ่อนตัวอยู่ใต้โต๊ะแบบนั้น ต่อมาเขาเพียงแค่เอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมาโดยใช้วิธีหยอกล้อเท่านั้น นั่นทำให้เธอเกิดความรู้สึกดีๆ กับเขาไม่น้อย
แต่มันก็เป็นเพียงแค่ความรู้สึกดีๆ เท่านั้น คนที่ได้รับการอบรมสั่งสอนอย่างเคร่งครัดตั้งแต่เล็กจนโตอย่างเธอไม่มีทางทำอะไรเกินเลยกับผู้ชายที่เพิ่งรู้จักอย่างแน่นอน
เธอค่อยๆ เดินกลับเข้าห้องพักของตัวเอง เธอเปิดไฟแล้วกวาดสายตามองห้องว่างเปล่าอันเงียบสงัด เธอถอนหายใจเบาๆ พลันใบหน้าของจิ้นหยวนปรากฏขึ้นในใจ
ไม่รู้ว่าตอนนี้เขาจะเป็นอย่างไรบ้าง? เขาหายโกรธเธอหรือยัง? หรือว่าเขากำลังใช้ชีวิตร่วมกับหร่วนเซียงเซียงอย่างมีความสุขจนลืมเธอไปหมดแล้ว?
เธอคิดไปต่างๆ นานาจนห่อเ**่ยวใจ เป็นแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน อย่างน้อยเธอก็มีความหวังว่าสามารถรับตัวคุณแม่กลับมาอยู่ด้วยกันได้ เพราะเขาคงไม่ใส่ใจคุณแม่ของผู้หญิงที่เขาลืมไปแล้วหรอก
แต่ว่า เรื่องราวกำลังดำเนินไปตามที่เธอคิดจริงหรือ?
เวลานี้จิ้นหยวนกำลังนั่งอย่างสง่าผ่าเผยอยู่กลางห้องรับแขก เขากำลังจ้องหญิงสาวตรงหน้าที่กำลังร้องห่มร้องไห้ตาเขม็ง ใบหน้าของเขาถมึงทึง “เธอทำแบบนั้นทำไม?”
หร่วนเซียงเซียงร้องไห้จนตัวเองจะกลายเป็นหยดน้ำตาเสียเองอยู่แล้ว “ฉัน… ฉันไม่รู้ ฉันไม่ได้เป็นคนทำเรื่องนี้ ฉันไม่รู้อะไรทั้งนั้น”
จิ้นหยวนโกรธจนหน้าดำหน้าเขียว “เธอบอกว่าไม่รู้งั้นเหรอ? เธอไม่รู้จริงๆ เหรอว่าทำไมอยู่ดีๆ แม่เธอถึงหาศพมาสวมรอยเป็นเฉียวซือมู่?”
หลินจื้อเฉิงสืบจนรู้เรื่องที่มีคนตั้งใจใช้ศพคนอื่นมาสวมรอยเป็นเฉียวซือมู่ภายในคืนเดียว และพบว่าคนของตระกูลหร่วนเป็นคนคอยบงการอยู่เบื้องหลัง จิ้นหยวนรู้เรื่องแล้วโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ พอได้ยินว่าเป็นฝีมือใครเขาก็รู้ทันทีว่าต้องเกี่ยวข้องกับหร่วนเซียงเซียงอย่างแน่นอน
แต่เขาไม่คิดเลยว่าหลังจากเขาพยายามเค้นคอเธออยู่ตั้งนาน เธอเอาแต่ร้องไห้ฟูมฟาย ให้ตายก็ไม่ยอมรับผิด เอาแต่พูดว่าเธอไม่รู้ท่าเดียว